ห้องเพลง *คนรากหญ้า* พักยกการเมือง มุมนี้ไม่มีสี ไม่มีกลุ่ม.มีแต่เสียง 6/02/2018 "สุมาอี้...ผู้ชนะทุกก๊ก"

กระทู้คำถาม
สวัสดีเพื่อนๆทุกคนครับ วันนี้ MC มาริโอ้ จะพาเพื่อนๆมารู้จักกับอีกหนึ่งขวัญใจของ MC ในวรรณกรรมจีนสามก๊ก เขาคือสุดยอดเสนาธิการและแม่ทัพแห่งวุยก๊ก คู่ปรับตัวฉกาจของขงเบ้งแห่งจ๊กก๊ก ผู้สวมบท "ตาอยู่" ในการรบระหว่างสามยอดคน "เล่า-โจ-ซุน" และเป็นคนที่ชิงจังหวะยึดแผ่นดินรวมก๊กที่แตกแยกเข้าด้วยกันได้สำเร็จ ยิ่งใหญ่จริงๆสำหรับสุมาอี้



  พูดถึง"สามก๊ก"..บางคน"ลืม"ไปแล้วว่า สุดท้ายของการสู้รบ ใครชนะ !!!

           คำตอบของสุดยอดวรรณกรรมโลกของจีนเรื่องนี้ มีประโยคหนึ่งสรุปได้ชัดเจน นั่นคือ .."เล่า โจ ซุน ต่อสู้แย่งชิงกันไปชิงกันมา สุดท้ายสุมาได้ครองแผ่นดิน”
           ใช่แล้วครับ...สุดท้าย"สุมา" ได้ครองแผ่นดิน และชายผู้ชนะทุกก๊กก็คือ สุมาอี้ ...


           วิกิพีเดีย..เขียนถึง"สุมาอี้"..ไว้ว่า

          "สุมาอี้ หรือ ซือหม่าอี้ (Sima Yi) (ค.ศ. 179-251) เป็นบุตรชายคนรองของสุมาฮอง ผู้ว่าการแห่งนครหลวงลั่วหยาง เป็นชาวอำเภออุน เมืองเหอเน่ย ( โห้ลาย ) มณฑลเหอหนาน มีชื่อรองว่า "ชงต๊ะ" มีลักษณะ แววตาแหลมเล็กคล้ายตาเหยี่ยว เป็นคนเฉลียวฉลาด ชำนาญตำราพิชัยสงคราม สุมาอี้เริ่มต้นจากการรับราชการตำแหน่งเล็กก่อนที่จะไต่เต้าไปสู่ตำแหน่งเสนาธิการและแม่ทัพ อย่างไรก็ตาม ความสุขุมลุ่มลึกของสุมาอี้นั้น ทำให้แม้แต่โจโฉยังไม่ไว้วางใจ และเคยเตือนบุคคลรอบข้างให้ระวังสุมาอี้ เมื่อโจโฉและโจผีสิ้นลง โจยอยได้ขึ้นครองราชย์ สุมาอี้ได้รับตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของวุยก๊ก และเป็นคู่ปรับคนสำคัญของขงเบ้ง.."

           ใช่แล้วครับ..หลัง"จิวยี่"เสียชีวิต คนที่ขงเบ้งต้องต่อกรและพ่ายแพ้จน"ตรอมใจตาย"ก็คือ"สุมาอี้"คนนี้แหละ

           "สงคราม"ระหว่างขงเบ้งกับสุมาอี้นั้น มีหลายครั้งหลายตอนที่ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ โดยครั้งหนึ่ง สุมาอี้เกือบตายเพราะแผนขงเบ้งที่หลอกกองทัพของสุมาอี้ไปใน"หุบเขาน้ำเต้า" โดยหวังจะสังหารสุมาอี้ทั้งกองทัพด้วยการคลอกไฟ พร้อมระเบิดภูเขาให้ถล่มทับทั้งหมด และทุกอย่างสำเร็จผล เมื่อสามารถลวงกองทัพสุมาอี้ไปในหุบเขาสำเร็จ แต่สุดท้าย...

           "คนคำนวณหรือจะสู้ฟ้าลิขิต"..เพราะระหว่างที่ดินระเบิดกำลังถล่มกองทัพของสุมาอี้นั้น ก็เกิดฝนตกหนักจนดับไฟ

           สุมาอี้..จึงรอดตายเพราะสวรรค์เป็นใจ และกลับมารบจนชนะขงเบ้งถึงขั้น"จนมุม" ที่จุดยุทธศาสตร์เกต๋ง แต่กลับไม่ชนะเด็ดขาด เพราะเจอเกมลักไก่ของขงเบ้ง ที่"ขึ้นไปนั่งบนกำแพงแกล้งตีขิม พยักยิ้มให้ข้าศึกนึกฉงน" พร้อมเปิดประตูเมือง จนสุมาอี้ระแวงแล้วไม่กล้าบุกทัพเข้าไป ...ขงเบ้งจึงรอดตายในศึกนั้น

           แต่สุดท้าย ขงเบ้งก็ต้องตรอมใจตายเพราะกลยุทธ์"ไม่รบด้วย" แต่ยังสร้างหุ่นหลอกสุมาอี้จนแตกทัพ โดยเจ้าตัวยอมรับว่า"ข้าพเจ้าไม่เคยแพ้คนเป็น แต่ต้องแพ้คนตาย"



ขงเบ้ง ..คู่ปรับตลอดกาลของสุมาอี้


น่าเสียดายที่ "โจโฉแตกทัพเรือ" ไม่มีสุมาอี้ !!!

           เหตุการณ์นั้น เกิดขึ้นเมื่อ"สุมาอี้"ยอมมาเป็นขุนนางในกองทัพของ"โจโฉ"ในสถานะ"มหาอุปราช" ซึ่งเมื่อทำสงครามปราบปรามอ้วนเสี้ยวทางภาคเหนือสำเร็จจนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ควบคุมแผ่นดินภาคเหนือและกลางของประเทศได้ทั้งหมด โจโฉก็เตรียมตัวรุกลงใต้เพื่อรวมประเทศให้เป็นหนึ่งเดียว

           สุมาอี้เป็นคนเดียวที่ค้าน ในฐานะ"เสนาธิการทหาร"ของโจโฉ !!!

           "สุมาอี้"อธิบายว่า ตระกูลซุนแห่งง่อก๊ก ที่ปกครองภาคใต้นั้น มีความเข้มแข็ง และมีชัยภูมิดี ยากแก่การตีแตกได้ง่าย และที่สำคัญก็คือ กองทัพโจโฉก็เพิ่งจะปราบอ้วนเสี้ยวลงได้ ดังนั้น แม้จะอยู่ในช่วงฮึกเหิม แต่พลรบที่ได้มาจากอ้วนเสี้ยว ก็ยังไม่พร้อมที่จะทำการรบใหญ่กับพวกที่มีความเชี่ยวชาญพื้นที่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นน้ำของง่อก๊กได้

           แต่โจโฉก็ตัดสินใจยกทัพไป"เซ็กเพ็ก" หรือ"ผาแดง" เพราะที่ปรึกษาเก่าๆไม่ได้ทัดทานจนพ่ายแพ้กลับมา

           โจโฉก็ระแวงคนๆนี้มาโดยตลอด !!!

           ความจริงแล้ว โจโฉระแวงสุมาอี้ก่อนร่วมงานด้วยซ้ำ เพราะในปี ค.ศ.201 ขณะที่"สุมาอี้"มีตำแหน่งเป็น"ส้างจีหยวน"ในเมืองลำหยง "โจโฉ" ซึ่งเป็นซือคง(หัวหน้ากองโยธาธิการ) ของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ได้ทำหนังสือมาเรียนเชิญสุมาอี้ ที่มีสายรายงานว่ามีสติปัญญา เดินทางไปเมืองฮูโต๋ เพื่อเลื่อนเป็นขุนนางใหญ่
           แต่สุมาอี้ปฏิเสธ ...อ้างว่า"ป่วย" โดยบอกนายทหารของโจโฉไปว่า "บัดนี้ข้อแลกระดูกเราผิดประหลาดไป แต่จะลุกเดินให้จำเริญใจเป็นที่สบายก็ไม่ได้ ซึ่งจะให้ไปเป็นขุนนางอยู่เมืองหลวงนั้นเห็นขัดสนนัก.."

           โจโฉได้รับแจ้งก็โกรธและคิดว่าสุมาอี้ไม่ยินดีร่วมงานด้วย จึงให้มือสังหารเข้าไปลอบฆ่าสุมาอี้ และเมื่อนักฆ่าปีนเข้าไปในบ้านสุมาอี้ ก็ย่องเข้าไปห้องนอนสุมาอี้ แล้วแทงดาบใส่สุมาอี้ ขณะที่สุมาอี้ที่เชื่อว่าโจโฉไม่พอใจและคงให้ทหารมาทำจะสังหารตัวเพื่อดูว่าป่วยจริงหรือไม่ก็นอนเฉย มือสังหารจึงกลับไปรายงานโจโฉ

           อย่างน้อยนั่นทำให้โจโฉลดความระแวงลงไป..บ้าง ...แต่สุมาอี้ก็เพิ่มความระวังตัวมากขึ้น

           กระทั่งปี ค.ศ.208 ทั้งสองผู้ยิ่งใหญ่จึงได้ร่วมงานกัน

           ในปีนั้น โจโฉเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็น"ไจเสี่ยง" หรือผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน จึงให้มีโองการไปให้สุมาอี้เข้ามาเป็นที่ขุนนางเหวินเซียะหยวน ที่เมืองฮูโต๋ โดยคราวนี้ โจโฉสั่งความคนใช้ว่าเมื่อไปยื่นหนังสือให้สุมาอี้แล้ว หากเจ้าตัวบิดพลิ้วไม่ยอมมา ก็ให้จับตัวเอามาจงได้ ไม่ว่าจะจับเป็นหรือจับตาย

           คราวนี้สุมาอี้เป็น"นกรู้" เชื่อว่าการเชิญตัวครั้งนี้ หากไม่ไปแบบ"คนเป็น"ก็ต้องไปแบบ"คนตาย" เพราะคราวนี้ โจโฉมีอำนาจใหญ่ในพระนครหลวง หากปฏิเสธจนโจโฉโกรธขึ้นมา ก็มีอำนาจสั่งตัดศีรษะในข้อหาขัดพระบรมราชโองการ สุมาอี้จึงออกจากเมืองโห้ลาย ไปเมืองฮูโต๋ รับราชการในตำแหน่ง"หวงเหมินซื่อหลาง"

           แม้จะมาอยู่ใกล้ตัว แต่โจโฉก็ระแวงสุมาอี้ตลอด ถึงขั้นสุมาอี้ต้องแกล้งป่วยเพื่อให้โจโฉวางใจ ถึงขั้นแกล้งยอมกินฉี่กินอึของตัวเองเพื่อแสดงว่า"บ้าจริง" จนโจโฉยอมเชื่อ แต่ก่อนตาย โจโฉก็ยังสั่งโจผี บุตรชายที่สืบทอดอำนาจว่า"อย่าให้สุมาอี้คุมทหาร"




เมื่อโจโฉตาย ก็ถึงโอกาสที่สุมาอี้รอคอย...ไม่ว่าจะนานกี่ปี

           โจโฉตายในปี ค.ศ.220 "โจผี" บุตรชายคนโตขึ้นสืบทอดอำนาจต่อ และสถาปนาตัวเป็นฮ่องเต้แห่งราชวงศ์วุยฮั่น ชีวิตของ"สุมาอี้" ดูเหมือนจะดีขึ้น เพราะเขาสนิทสนมกับโจผี ในฐานะที่ปรึกษาคนสนิทมาก่อน จนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหนึ่งในคณะเสนาบดีที่คอยดูแลบ้านเมือง

           แต่โจผีครองราชย์ไม่ถึง 10 ปีก็สิ้นพระชนม์ "โจยอย" ก็สืบราชบัลลังค์ต่อ แต่เนื่องจากเป็นฮ่องเต้ที่ลุ่มหลงในสุราและนารี และปกครองบ้านเมืองแบบโหดเหี้ยม จนมีขุนนางและประชาชนเริ่มต่อต้านตระกูลโจ และเมื่อโจยอยประชวร ก่อนตายก็ได้ฝากฝัง"โจฮอง" บุตรชายอายุ 9 ขวบให้สุมาอี้ดูแล พร้อม"โจซอง" บุตรชายของ"โจจิ๋น" อดีตแม่ทัพใหญ่ พระญาติใกล้ชิดที่เหลืออยู่ให้คอยดูแลควบคู่กัน แต่"โจซอง" ระแวงว่า"สุมาอี้"จะทำการใหญ่ จึงลิดรอนอำนาจด้วยการเลื่อนยศเขาให้ไปเป็นราชครู ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงแต่ไร้อำนาจทางทหาร

           "สุมาอี้"รู้ตัว และ"ยอมรับ"พร้อมให้ลูกชาย 2 คนคือสุมาสูและสุมาเจียว ลาออกจากราชการฝ่ายทหารไปร่วมกันพัฒนาบ้านเมือง และกลายเป็นขวัญใจประชาชน พร้อมซ่องสุมกำลังคนไว้อย่างลับๆโดย"โจซอง"ไม่รู้เรื่อง



อนุสาวรีย์สุมาอี้ที่เมือง ganzhou


และแผ่นดินจีนที่แตกเป็นสามก๊ก ก็ถูกรวมเป็นหนึ่งเดียวในปี ค.ศ. 280 ในปกครองของฮ่องเต้จากตระกูล"สุมา"
[/url" rel="nofollow" >

ขอบพระคุณ คุณ ลูกเสือหมายเลข9 /
http://oknation.nationtv.tv/blog/chai/2008/09/25/entry-1






ห้องเพลงคนรากหญ้าเปิดขึ้นมามีวัตถุประสงค์ เพื่อ

1. มีพื้นที่ให้เพื่อนๆ ได้มาพบปะ พูดคุยระหว่างกัน ในภาวะที่ต้องระมัดระวังการโพสการเมืองอย่างเคร่งครัด
2. เป็นพื้นที่ พักผ่อน ลดความเครียดทางการเมือง ให้เพื่อนๆ มีกิจกรรมสนุกๆ ร่วมกัน
3. สร้างมิตรภาพและความปรองดอง ซึ่งเราหวังให้สังคมไทยเป็นเช่นนี้ แม้นคิดต่างกัน แต่เมื่อคุยกันแล้วก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม

กระทู้ห้องเพลงเป็นกระทู้เปิด มิได้ปิดกั้นผู้หนึ่งผู้ใด "ขอให้มาดี เราคือเพื่อนกัน" ซึ่งก็เหมือนกับกระทู้ทั่วไป ที่เราไม่จำเป็นต้องทราบว่า User ท่านไหนเป็นใครมาจากไหน  ...ดังนั้น หากมีบุคคลใดที่มีการโพสสิ่งผิดกฎหมายและศีลธรรมอันดีของสังคมนั้น หรือสิ่งรบกวนใดๆ ในบอร์ด เป็นเรื่องส่วนบุคคล ทางห้องเพลงจึงขอแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น....


เพลงขงเบ้งอกหัก (อี๊ด โอภากุล)

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 19
จากหัวกระทู้ที่พี่โอ้ว่า

...สุมาอี้กลับมารบจนชนะขงเบ้งถึงขั้น"จนมุม" ที่จุดยุทธศาสตร์เกต๋ง แต่กลับไม่ชนะเด็ดขาด
เพราะเจอเกมลักไก่ของขงเบ้ง ที่"ขึ้นไปนั่งบนกำแพงแกล้งตีขิม พยักยิ้มให้ข้าศึกนึกฉงน"
พร้อมเปิดประตูเมือง จนสุมาอี้ระแวงแล้วไม่กล้าบุกทัพเข้าไป ...ขงเบ้งจึงรอดตายในศึกนั้น

ขอขยายความเนื้อเรื่องช่วงนี้ เพราะเป็นตอนที่ชอบมาก

ตอนที่ขงเบ้งกำลังพลาดพลั้ง โดนทัพสุมาอี้มาล้อมเมือง ขงเบ้งจำต้องใช้กลเปิดเมือง หรือกลเมืองร้าง
ซึ่งถือเป็น 1 ใน 36 กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงคราม ที่จริงแล้ว กลเปิดเมืองนี้ ไม่ใช่ขงเบ้งใช้เป็นคนแรก
เพียงแต่เหตุการณ์นี้เป็นตัวอย่างหนึ่งที่เราคุ้นเคยกัน

และมีคนวิเคราะห์ไว้ว่าตอนขงเบ้งดีดพิณนี้ไม่มีจริงในประวัติศาสตร์ แต่ล่อกวนตงแต่งขึ้นมา
โดยมี "บันทึกจ่อจ้วน แคว้นฉู่กลืนแคว้นเล็ก" มาเป็นพื้นฐานแห่งแรงบันดาลใจ
เจตนาก็เพื่อชู ขงเบ้ง ให้สูงเด่นเหนือกว่า สุมาอี้

ไม่ว่าจะมีจริงหรือไม่ เราก็ถือว่าศึกษาในมุมมองของกลยุทธ์แล้วกันค่ะ


ขงเบ้งดีดพิณ ตัวอย่างของกลเปิดเมือง หรือกลเมืองร้าง  

หลังจากขงเบ้งพลาดใช้ม้าเจ๊ก จนเสียทีสุมาอี้ เหลือทหารไม่กี่พัน ต้องรีบถอยทัพโดยด่วน
แต่สุมาอี้ก็ขนทหารเป็นกองทัพมาประชิดเมืองเสียแล้ว จะหนีก็ไม่ทันการ  

ขงเบ้งจึงวางแผนเปิดประตูเมือง ให้ชาวเมืองออกมากวาดใบไม้ ทำเป็นปกติมากที่สุด แล้วตัวเองมานั่งดีดพิณบนหอ

ในหนังสือกล่าวว่า "แล้วขงเบ้งสวมเสื้อครุยขนนกโพกศีรษะ ให้เด็กน้อย 2 คนยกพิณขึ้นไปนั่งบนกำแพง
แลตั้งกระถางธูปบูชาไว้เบื้องหน้า พลางนั่งดีดพิณเล่นอยู่อย่างเพลิดเพลิน"




สุมาอี้จึงระแวงว่าขงเบ้งต้องมีทหารหรือกับดักซุ่มในเมืองแน่ๆ

ขงเบ้งยังรู้อีกว่าสุมาอี้เชี่ยวชาญดนตรี เลยดีดพิณที่ทำนองสุขุมลุ่มลึก แต่แฝงแววฆ่าฟัน
จนสุมาอี้ถึงกลับอกสั่นขวัญแขวน สั่งถอยทัพแบบไม่เป็นขบวน พลาดโอกาสได้ชัยต่อขงเบ้งอย่างน่าเสียดาย



ความลับ

สุมาอี้หารู้ไม่ ขงเบ้งเอง ดีดพิณไป ก็เหงื่อตกไป ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า



พอสุมาอี้ถอยทัพแล้ว ขงเบ้งถึงกับถอนใจว่า "เสี่ยงเหลือเกิน" ไม่จำเป็นก็ไม่ใช้วิธีนี้แน่ๆ

สุดท้าย กว่าสุมาอี้จะรู้ตัวว่าเสียรู้ให้ขงเบ้ง ขงเบ้งก็พ้นวิกฤติในครานั้นไปเสียแล้ว


"ประตูเมืองเปิดกว้างทั้งสี่ด้าน
มีชาวบ้านกวาดกันขยันอยู่
เสียงพิณลอยเรื่อยไหลใครฟังดู

เพลงรื่นหูผ่อนคลายสบายใจ
หน้าขงเบ้งแช่มชื่นครึกครื้นนัก
เสียงสายพิณแน่นหนักมากพลิ้วไหว

สองข้างกายมีเด็กเล็กอ่อนวัย
ถือกระบี่แส้ไว้ไร้ตื่นกลัว
เชิงกำแพงธงรบเก็บหลบเร้น

ภาพขงเบ้งจึงเด่นใครเห็นทั่ว
ส่วนนอกเมืองมองไปใจเต้นรัว
ต่างสุดขั้วทัพใหญ่ได้ประชิด

กำลังพลคับคั่งทั้งเนืองแน่น
เต็มผืนแผ่นพสุธาข้าศึกปิด
ควันฝุ่นฟุ้งธงไสวไปทั่วทิศ

คือทัพติดรุกกร้าวเข้าตีเมือง
แม่ทัพใหญ่โฉมหน้าสุมาอี้
พ่ายกลศึกหลายทีที่ต่อเนื่อง
ชักม้าศึกออกหน้าตาชำเลือง

เพ่งสู่เบื้องกำแพงแหล่งเสียงพิณ
พิเคราะห์ดูตกใจในกลศึก
เกรงขงเบ้งจนนึกลึกเกินสิ้น
เร่งสั่งทัพรีบถอยถ้อยได้ยิน

ทั้งแผ่นดินสะท้านพิณต้านทัพ?"




[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


กลนี้ไม่ใช่ใครๆ ก็ใช้ได้ แต่คนใช้ต้องมีเครดิตพอที่ศัตรูจะประเมินว่าเขาวางกับดัก มีขุมกำลัง หรือมีแผนอะไรหรือไม่
อีกทั้งต้องรู้เขา รู้เรา เป็นคนมีสติ หนักแน่น วัดใจกันอย่างหมดหน้าตัก

ขงเบ้งตีขิม - สุเทพ วงศ์กำแหง

https://www.youtube.com/watch?v=r3dAw6VM4N4
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 36
สวัสดีคุณมาริโอ้และทุกท่านครับ
....



           ขอนุญาตเยี่ยมชมกระทู้พร้อมกับชื่นชมตัวละครต่างๆตามที่ปรากฎในวรรณคดีจีน แอบชื่นชอบเช่นกันครับ คือประวัติศาสตร์จีนมีการสู้รบกันบ่อยครั้งจนกว่าจะรวมแผ่นดินเป็นประเทศจีนที่เราคุ้นในบัจจุบันได้  ว่ากันว่า สงครามสู้กันด้วยอาวุธ แต่ชนะกันด้วยนักรบ และตัวละครในเรื่องสามก๊กที่ข้าพเจ้าหลงใหลคลั่งไคล้ที่สุดเห็นมีอยู่เพียงผู้เดียว



         นักรบคนเดียวใน สามก๊ก ที่ไม่เคยพ่ายศึก เป็นขุนศึกเพียงไม่กี่คนในเรื่องสามก๊ก ที่มีพร้อมทั้งความสามารถในเชิงยุทธและสติปัญญา เป็นผู้ที่ไม่มีข้อด่างพร้อยในเรื่องผู้หญิงเลยสักครั้ง  เป็นยอดนักรับที่สร้างวีรกรรมความกล้าถึงหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเนินเตียงปัน แม่น้ำแยงซีเกียง ที่ราบสูงเมืองฮันต๋ง และที่ราบสูงกิก๊ก  สถานที่เหล่านี้คือที่ๆเขาได้สร้างผลงานความกล้าหาญเอาไว้  



ถูกแล้วครับ เขาผู้นั้น คือ จูล่ง สุภาพบุรุษจากเสียงสาน...นักรบที่ไม่แพ้ใคร



คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


........
ขอขอบคุณเพลงเพราะๆจากพี่ยามหน้าตึกครับ
Cr : http://www.thaisamkok.com/
อมยิ้ม36
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่