การบนบานที่ถูกลืม

วันนี้มีเรื่องที่น่าจะเรียกว่าเหนือธรรมชาติมาเล่าให้ฟัง
.
เรื่องของเรื่องคือพ่อผมไม่สบายมาสักพักละ เป็นไข้ ปวดหัว ถือว่าเป็นหนักพอใช้ เพราะปกติไม่สบายนิดหน่อยพ่อจะทำงานปกติ อาบน้ำ ทานข้าวได้ แต่ครั้งนี้ถือว่าหนักมีอาการปวดหัวตลอดเวลา อาบน้ำไม่ได้เพราะเป็นไข้และหนาวมาก (พึ่งหมดหนาวไป โดยหน้าหนาวที่ผ่านมาขึ้นชื่อว่าหนาวจับจิตจับใจแต่ไม่สามารถทำอะไรพ่อได้) เป็นมากถึงขนาดที่แม่ต้องเฝ้าทั้งวัน จากการป่วยครั้งนี้พ่อได้ไปหาหมอมาหลายที่แล้ว ซึ่งตามธรรมดาของเรื่องเหนือธรรมชาติ ผลการรักษาคือไม่หาย
.
จนเมื่อวานหลังจากที่พ่อไปหาหมอมาอีกที่หนึ่ง ระหว่างทางกลับบ้านก็ได้แวะหา “หมอเมื่อ” (วันหลังค่อยคุยเรื่อง “หมอเมื่อ” โดยเฉพาะประเด็นด้านนิรุกติศาสตร์ซึ่งน่าค้นคว้ามิใช่น้อย) โดยการไปหาหมอเมื่อครั้งนี้พ่อไม่ได้ลงรถ มีเพียงแม่ที่นำเสื้อของพ่อไปเท่านั้น
.
ถึงจุดนี้ต้องขอเท้าความนิดหนึ่งว่าคุณพ่อเป็นคนที่เป็นที่นับถือในด้านไสยศาสตร์ อาจจะไม่ถึงขั้นทำคุณไสย เสน่ห์ยาแฝด ฝังรูปฝังรอย มนต์ดำเขมรอะไรเทือกนั้น แต่จะเป็นด้านพุทธคุณ การรักษา เมตตาพวกนี้มากกว่า (อันนี้ตามที่พ่อและคนอื่นๆ บอกนะ) ด้วยเหตุนี้สำหรับพ่อก็ถือว่ามีดีในตัวพอสมควร การจะไปเชื่อหมอดมหมอดูไปทั่วเรื่อยเปื่อยนี่ไม่ใช่นิสัย (ซึ่งนิสัยการเชื่อยากนี่ก็สืบทอดมาที่ลูกด้วย โดยส่วนตัวเชื่อยากทั้งหมอดูและไสยศาสตร์ด้วย) แต่สำหรับหมอเมื่อคนนี้นี่คงจะมีดี (ดีในที่นี้มีหลายความหมายมาก) พอตัวพ่อกับแม่ถึงไปหา
.
ก็ตามปกติที่ไปหาหมอดูแล้วเกิดเรื่องอัศจรรย์ใจนั่นแหละครับ เพราะพอแม่ผมพบเขาและทำพิธีเล็กน้อยเสร็จเขาก็บอกเรื่องที่พ่อผมไม่สบายเป็นฉากๆ ทั้งที่แวะไปหาหมอมา ทานยาละไม่หาย และอะไรต่อมิอะไรอีกเรื่อยเปื่อย จนแม่คงเบรกการพูดเป็นน้ำไหลแล้วตัดเข้าประเด็น (อันนี้ผมเสริมเอง หมอเขาอาจไม่พูดมาก ผมก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่คิดว่าคงประมาณนี้แหละ) จนหมอ (เมื่อ) เขาบอกว่าอาการป่วยนี้ไม่ใช่เรื่องปกติ เกิดจากสิ่งลี้ลับ แต่ระดับพ่อนี่ผีตายห่าตายโหง กะเฬวราดทำอะไรไม่ได้หรอก นี่ต้องเป็นสปิริตที่มีระดับ พ่อไปบนอะไรไว้แล้วลืมแน่นอน
.
ทีนี้แม่ผมก็เถียงสิครับ บอกไม่มี๊ไม่มี สามีอิชั้นไม่ใช่คนแบบนั้น ยิ่งเรื่องขี้ลืมนี่ยิ่งแล้วใหญ่ ไม่เคยมีประวัติ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ (อันนี้ก็แต่งเอง เพราะแม่คงไม่พูดแบบนี้ แต่คิดว่าถ้าเล่นใหญ่แบบนี้คงสนุก) หมอเขาก็บอกว่า มีแน่ๆ เธอว์ ไม่เชื่อไปถามสามีดู เรื่องแบบนี้เราเจอมาเยอะ ลองคิดให้ดีๆ บลาๆๆๆ (อันนี้ก็แต่งเพิ่ม) เสร็จสรรพแม่ก็โบกมือลาคุณหมอ (เมื่อ) แล้วมาถามพ่อที่อยูในรถรอ
.
ซึ่งก็บังเอิญว่าพอมีประวัติไปบนทิ้งไว้พอดี แต่มันก็ไม่เชิงเป็นการบนบานหรอกนะ เรื่องของเรื่องคือพ่อผมไปย้ายศาลเพียงตาที่สวน ทำทั้งหมดสองศาลในสองสวน โดยระหว่างการย้ายนั้นก็ไม่ได้มีพิธีการอะไรมากมาย ถือว่ามีดีเหมือนกันก็ชวนกันย้ายไปตามเรื่อง พ่อคงพูดประมาณว่า
.
เฮ้ มายเฟรน เราเข้าใจว่านายอยู่นี่มานาน แต่ตอนนี้เห็นทีจะไม่ได้แล้ว เพราะที่ตรงนี้ต้องนำไปใช้ประโยชน์ เราจะสร้างศาลให้ใหม่ตรงใกล้ทางเข้านู่นนะ เวลาทานข้าวจะได้แบ่งกันกินง่ายๆ วันหลังจะซื้อผลไม้ ของคาวของหวานมาฝาก (อันนี้ก็แต่งเพิ่มอีกเช่นกัน แต่ผมว่าพ่อคงพูดประมาณนี้แหละ อันนี้ผมรู้จักพ่อผมดี)
.
ในการย้ายครั้งนั้นก็เป็นไปด้วยดีทั้งสองศาล เวลาผ่านไปสักระยะ พ่อก็ซื้อของเซ่นต่างๆ ไปฝากซัมติงที่อยู่ในศาลนะครับ แต่ซื้อไปแค่ศาลเดียว เพราะอีกศาลหนึ่งนั้นอยู่ไกลพอสมควร และพ่อก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็นการบนบานที่ “ต้อง” แก้ แต่เป็นการพูดคุยฉันมิตรภาพ ว่างแล้วจะซื้อไปฝาก เลยไม่ได้รีบทำให้ลุล่วง
.
ทีนี้ก็เป็นเรื่องของซัมติงที่อยูในศาลละ ผมอยากบอกไว้ว่าพื้นที่ทั้งสองแห่งที่ทั้งสองศาลตั้งอยู่นั้นขึ้นชื่อว่าเฮี้ยนสุดๆ ที่หนึ่งเป็นที่ที่มีการรบกันในสมัย ผกค. ก่อการ ว่ากันว่าศพเกลื่อนกลาด (อันนี้ไม่ได้เห็นเอง แต่เล่าเอาอรรถรส) อีกที่หนึ่งเป็นที่ที่ใช้ฌาปณกิจพระสงฆ์แก่พรรษามาตั้งแต่อดีต (ซึ่งไม่รู้ทำไมพ่อถึงเลือกทำสวนในสองที่นี้) ซัมติงในศาลหนึ่งอาจจะรับรู้ว่าซัมติงอีกศาลได้บริโภคโภชนาแล้ว แต่เรายัง คงรำพึงขึ้นมาว่า ไม่ได้การละ ตาคนย้านศาลเราส่อแววจะเบี้ยวเสียแล้ว อันเรารึก็ไม่ใช่ธรรมดา ศักดิ์และศรีก็ไม่ด้อยกว่าอีกศาลเลย ชื่อเสียงก็สูสีกัน คนเขาลือกันตั้งแต่หัวบ้านยันท้ายบ้าน จะสองมาตรฐานแบบนี้ไม่ได้ คงต้องเตือนกันหน่อยแล้ว ให้มันรู้ถึงสัจจะเสียบ้าง (อันนี้มโนล้วน ซึ่งก็คงจะประมาณนี้อีกนั่นแหละ)
.
ตั้งแต่วันนั้นพ่อก็คงเริ่มป่วย
.
ซึ่งพอพ่อจำได้ หลังจากออกจากบ้านหมอเมื่อแล้วก็แวะซื้อผลหมากรากไม้ น้ำเขียวน้ำแดง เสร็จแล้วก็แวะที่สวนเลย พ่อบอกว่าระหว่างที่เดินจากรถไปที่ศาลนั้นเหนื่อยแทบขาดใจ พอถึงแล้วก็จัดการถวายเครื่องเซ่นทั้งหลายแหล่ พร้อมกับตัดพ้อว่าเป็นหนี้คนก็ลำบาก เป็นหนี้ผียิ่งลำบาก พูดเรื่อยเปื่อยก็ถือเอาเป็นจริงเป็นจัง วู้ววววว
.
เหตุการณ์มหัศจรรย์มันเกิดขึ้นตรงนี้ครับ คือหลังจากที่ถวายเครื่องเซ่นเสร็จ ระหว่างทางที่เดินกลับมาที่รถ อาการป่วยของพ่อที่หนักหนามานานนั้นก็ค่อยๆ หายเป็นลำดับ จนเมื่อกลับถึงบ้านก็หายดี ตอนบ่ายสามารถลงสวนปลูกเสาวรสได้เลย
.
เหลือเชื่อที่การทำอะไรเช่นนี้จะทำให้พ่อหายได้ มันอาจจะเป็นเพราะหลายสาเหตุ เช่น พ่ออาจจะได้ทำในสิ่งที่ค้างคาใจและลืมไปแล้วทำให้โล่งใจส่งผลต่อร่างกายให้ฟื้นตัว หรือการเดินจากรถไปศาลอาจได้ออกกำลังกายจนไข้เตลิด แต่ความบังเอิญเกี่ยวกับซัมติงในศาลนั้นมันก็ช่างน่าอัศจรรย์เสียเหลือเกิน บวกกับความเคยชินและศรัทธาของพ่อกับแม่แล้ว ศาลนั้นก็จรัสแสงมีออร่าในความรู้สึกทันที
.
งวดต่อไปนายจะเอาอะไรบอกมาเลย (พ่อไม่ได้พูด แต่เชื่อว่าพ่อคิด)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่