บทความนี้บทวิเคราะห์ของผมเองน่ะครับซึ่งเกิดจากการกลั่นกรอง และ วิเคราะห์ประวัติศาสตร์สงครามที่ผมได้ศึกษามาทั้งหมด เพราะฉะนั้นทุกท่านสามารถเสริมหรือโต้แย้งตามความเห็นของท่านได้น่ะครับ
สงครามนั้นคือ ความขัดแย้งระหว่างรัฐต่อรัฐ หรือ ระหว่างชนเผ่าต่อชนเผ่าในสมัยโบราณซึ่ง อาจจะมีเหตุผลของการทำสงครามนั้นได้หลากหลายประการ อาจจะเป็นการช่วงชิงทรัพยากรในพื้นที่ใดที่ 1 อาจเป็นเพราะต้องการแสดงอำนาจหรือแสนยานุภาพให้ศัตรูเห็น หรือจะเป็นเพราะต้องการแผ่ขยายอำนาจทางการเมือง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ทุกสงครามนั้นล้วนต้องการกองกำลังหรือกองทัพ เพื่อประหัตประหารกับฝั่งตรงข้ามและนำมาซึ่งชัยชนะ .. แต่หากท่านเป็นผู้นำกองทัพ และสงครามที่ท่านก่อนั้นกำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่นาน ท่านคงจะไม่กล่าวกับทหารของท่านว่า "ทหาร!! จงไปสังหารพวกมันให้ด้าวดิ้น จงไปแย่งชิงผืนดินของพวกมัน ผู้หญิงของพวกมันเพื่อข้า!! กษัตริย์แห่ง บุรุนแลนด์" ซึ่งบางทีมันอาจทำให้ ทหารของท่านหลายนายเกิดข้อสงสัยขึ้นมา "เอ๊ะ เราจะไปสู้เพื่อมันทำไม" "อยากได้นักก็ไปเอาเองสิ" ถึงแม้จะไม่แสดงออกมาแต่แน่นอนว่า มันย่อมส่งผลต่อกำลังใจของกองทัพของท่าน เพราะพวกเขานั้นยังไม่มีจุดหมายแน่ที่ชัดในการทำสงครามและพวกเขานั้นยังไม่ได้รู้สึกว่าตนนั้นเป็นส่วนหนึ่งของสงครามนั้นเองครับ ซึ่งด้วยเหตุผลประการนี้ล่ะ มันอาจทำให้กองทัพของท่านประสบความพ่ายแพ้
เพราะฉะนั้น ในยุคแรกๆนั้น ผู้นำที่ชาญฉลาดจึงมักผูกเรื่องของ "ศาสนาและความเชื่อ" เข้ามาในสงคราม ความเชื่อท้องถิ่น และ ศาสนา นั้นเป็นสิ่งที่คนในสมัยโบราณนั้นให้ความสำคัญเป็นระดับต้นๆเลยทีเดียว เนื่องด้วยวิทยาการที่ยังมินำสมัยนี้ล่ะครับ เพราะมันสามารถตอบคำถามคนสมัยนั้นได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะฟ้าผ่า น้ำท่วม พ่อตาย แท้งลูก หรืออื่นๆ คำตอบของพวกเขานั้นก็คือ "เพราะ เทพองค์นี้ทำแบบนี้ เพราะเทพองค์นี้ทำอย่างงี้ ผลมันเลยออกมาเป็นเช่นนี้" จึงไม่แปลกใจที่ความเชื่อนั้นจะฝังรากลึกลงในจิตใจคนยุคนั้น จนกลายเป็นส่วนหนึ่งในการดำรงชีวิตไปเสียแล้ว และในขณะเดียวกัน หากผู้นำกองทัพหรือผู้นำรัฐนั้นต้องการปลุกระดมทหารของเขา ให้พวกเขานั้นรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของสงคราม หรือ พวกเขานั้นจำเป็นที่จะต้องสละชีพในการสู้รบครั้งนี้ ผู้นำก็มักจะยกประเด็นของศาสนามาเป็น หัวข้อ ในการปลุกระดม ไม่ว่าจะเป็น สงครามครูเสด ที่ใช้ข้ออ้างเรื่อง เยรูซาเล็ม เมืองอันศักสิทธิ์ ทั้งๆที่เนื้อแท้ของสงครามเป็นเหตุผลทางการเมือง หรือ สงครามขยายจักรวรรดิอิสลามอับบาสิด นั้นก็ใช้ประเด็นของศาสนาในการปลุกระดมเช่นกัน

นอกจากนี้ความเชื่อและศาสนานั้นยังมีผลต่อจิตใจมากในยามเข้าปะทะกับฝั่งตรงข้าม หากเพียงผู้นำบอกว่า พระเจ้าอยู่ข้างเรา หรือ เทพรา , เทพซุส จูปิเตอร์ อะไรทั้งหลายแหล่นั้นอยู่ข้างพวกเขา ทหารจะเกิดความรู้สึกว่าตนเองนั้นชนะได้อย่างแน่นอน เพราะสิ่งที่พวกเขายึดมั่นศรัทธานั่นอยู่ข้างเดียวกับเขา และมันก็ยังทำให้ทหารหลายนายนั้น อึด ถึก ทน เกิน มนุษย์ โดนฟันแทงเท่าไหร่ก็ไม่ตายนั้นก็เพราะใจของเขานั้นเชื่อสนิทว่า พวกเขาต้องชนะ
ในการใช่ศาสนาเป็นแรงผลักดันในการทำสงครามนั้น ยังมีอิทธิพลต่อโลกมาอีกหลายร้อยปี แม้จะเริ่มเข้าสู่ยุค เรเนซองส์ ก็ตาม เช่น สงคราม 30 ปี ในยุโรปนั้นก็เป็นสงครามที่ใช่ศาสนาเป็นเครื่องมือ หรือแม้แต่กองทัพ Carolean ของ สวีเดน ก็ใช้ศาสนาสร้างระเบียบวินัยให้กองทัพ จนกระทั่งถึง ยุคแห่งการรู้แจ้ง เมื่อราวๆ ศตวรรษที่ 18 อาจจะกล่าวได้ว่า คนในยุคนี้ฉลาดขึ้น และ เริ่มมีนักปรัชญาต่างๆมากมายทั้ง รุสโซ่ , วอลแตร์ เริ่มให้กำเนิดแนวคิดใหม่ๆขึ้นมา ทั้ง ความเท่าเทียมกับ เสรีภาพ เสมอภาพ และ แนวคิดที่มีความชาตินิยม ทำให้คนในยุคนี้เริ่มมีความรู้สึกผูกผันกับชาติมากกว่า ศาสนา ที่นับวันเริ่มเสื่อมความเชื่อลง และก็เข้า อีหรอป เดิมครับ นั้นคือผู้นำที่ชาญฉลาดก็ใช้ ความรู้สึกชาตินิยมนี่แหละมาเป็นแรงผลักดันในการทำสงคราม
เช่น สงครามปฎิวัติฝรั่งเศสนั้น เหล่าประชาชนฝรั่งเศสต่างจับอาวุธขึ้นสู้มหาอำนาจต่างๆที่รายล้อมด้วยความกล้าหาญ เนื่องด้วยพวกเขากลัวว่า หากแพ้สาธารณรัฐฝรั่งเศสจะล่มสลาย และนั้นหมายความว่าชาติที่เต็มไปด้วย เสรีภาพ และ เสมอภาพแห่งนี้จะล่มลง!! ผลคือฝรั่งเศสชนะสงคราม ในขณะเดียวกัน นโปเลียนก็ใช้กระแสชาตินินมที่มาแรงนี่ในการทำสงครามและพิชิตไปได้ทั่วยุโรป (ก่อนจะพ่ายแพ้ในภายหลัง) ถึงกระนั้นกระแสชาตินิยมก็แพร่กระจายไปทั่วยุโรปและทำให้โลกใบนี้เปลี่ยนไปตลอดกาล ไม่ว่าจะเป็นเยอรมัน ที่ใช้กระแสชาตินิยมพัฒนาตนเอง และรวมชาติจนแข็งแกร่ง และใช้มันเป็นแรงผลักดันในการทำสงคราม ไม่ต่างจาก ญี่ปุ่น อิตาลี และ แม้แต่ไทยก็ใช้กระแสชาตินิยมเช่นเดียวกัน
อาจจะกล่าวได้ว่าแม้โลกนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหนแต่การห่ำหั่นกันของมวลมนุษย์นั้นเกิดขึ้นตลอดเวลา เพียงแต่เปลี่ยนวิธีการไปเท่านั้น
ปล. ความจริงกะจะเขียนให้ยาวกว่านี้แต่เนื่องด้วยเวลาจำกัดจงเขียนได้แค่นี้ล่ะครับ 55
ความรู้จากเพจ History of war thailand ครับ
ศาสนา และ ความชาตินิยม แรงผลักดันในการทำสงคราม
สงครามนั้นคือ ความขัดแย้งระหว่างรัฐต่อรัฐ หรือ ระหว่างชนเผ่าต่อชนเผ่าในสมัยโบราณซึ่ง อาจจะมีเหตุผลของการทำสงครามนั้นได้หลากหลายประการ อาจจะเป็นการช่วงชิงทรัพยากรในพื้นที่ใดที่ 1 อาจเป็นเพราะต้องการแสดงอำนาจหรือแสนยานุภาพให้ศัตรูเห็น หรือจะเป็นเพราะต้องการแผ่ขยายอำนาจทางการเมือง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ทุกสงครามนั้นล้วนต้องการกองกำลังหรือกองทัพ เพื่อประหัตประหารกับฝั่งตรงข้ามและนำมาซึ่งชัยชนะ .. แต่หากท่านเป็นผู้นำกองทัพ และสงครามที่ท่านก่อนั้นกำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่นาน ท่านคงจะไม่กล่าวกับทหารของท่านว่า "ทหาร!! จงไปสังหารพวกมันให้ด้าวดิ้น จงไปแย่งชิงผืนดินของพวกมัน ผู้หญิงของพวกมันเพื่อข้า!! กษัตริย์แห่ง บุรุนแลนด์" ซึ่งบางทีมันอาจทำให้ ทหารของท่านหลายนายเกิดข้อสงสัยขึ้นมา "เอ๊ะ เราจะไปสู้เพื่อมันทำไม" "อยากได้นักก็ไปเอาเองสิ" ถึงแม้จะไม่แสดงออกมาแต่แน่นอนว่า มันย่อมส่งผลต่อกำลังใจของกองทัพของท่าน เพราะพวกเขานั้นยังไม่มีจุดหมายแน่ที่ชัดในการทำสงครามและพวกเขานั้นยังไม่ได้รู้สึกว่าตนนั้นเป็นส่วนหนึ่งของสงครามนั้นเองครับ ซึ่งด้วยเหตุผลประการนี้ล่ะ มันอาจทำให้กองทัพของท่านประสบความพ่ายแพ้
เพราะฉะนั้น ในยุคแรกๆนั้น ผู้นำที่ชาญฉลาดจึงมักผูกเรื่องของ "ศาสนาและความเชื่อ" เข้ามาในสงคราม ความเชื่อท้องถิ่น และ ศาสนา นั้นเป็นสิ่งที่คนในสมัยโบราณนั้นให้ความสำคัญเป็นระดับต้นๆเลยทีเดียว เนื่องด้วยวิทยาการที่ยังมินำสมัยนี้ล่ะครับ เพราะมันสามารถตอบคำถามคนสมัยนั้นได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะฟ้าผ่า น้ำท่วม พ่อตาย แท้งลูก หรืออื่นๆ คำตอบของพวกเขานั้นก็คือ "เพราะ เทพองค์นี้ทำแบบนี้ เพราะเทพองค์นี้ทำอย่างงี้ ผลมันเลยออกมาเป็นเช่นนี้" จึงไม่แปลกใจที่ความเชื่อนั้นจะฝังรากลึกลงในจิตใจคนยุคนั้น จนกลายเป็นส่วนหนึ่งในการดำรงชีวิตไปเสียแล้ว และในขณะเดียวกัน หากผู้นำกองทัพหรือผู้นำรัฐนั้นต้องการปลุกระดมทหารของเขา ให้พวกเขานั้นรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของสงคราม หรือ พวกเขานั้นจำเป็นที่จะต้องสละชีพในการสู้รบครั้งนี้ ผู้นำก็มักจะยกประเด็นของศาสนามาเป็น หัวข้อ ในการปลุกระดม ไม่ว่าจะเป็น สงครามครูเสด ที่ใช้ข้ออ้างเรื่อง เยรูซาเล็ม เมืองอันศักสิทธิ์ ทั้งๆที่เนื้อแท้ของสงครามเป็นเหตุผลทางการเมือง หรือ สงครามขยายจักรวรรดิอิสลามอับบาสิด นั้นก็ใช้ประเด็นของศาสนาในการปลุกระดมเช่นกัน
นอกจากนี้ความเชื่อและศาสนานั้นยังมีผลต่อจิตใจมากในยามเข้าปะทะกับฝั่งตรงข้าม หากเพียงผู้นำบอกว่า พระเจ้าอยู่ข้างเรา หรือ เทพรา , เทพซุส จูปิเตอร์ อะไรทั้งหลายแหล่นั้นอยู่ข้างพวกเขา ทหารจะเกิดความรู้สึกว่าตนเองนั้นชนะได้อย่างแน่นอน เพราะสิ่งที่พวกเขายึดมั่นศรัทธานั่นอยู่ข้างเดียวกับเขา และมันก็ยังทำให้ทหารหลายนายนั้น อึด ถึก ทน เกิน มนุษย์ โดนฟันแทงเท่าไหร่ก็ไม่ตายนั้นก็เพราะใจของเขานั้นเชื่อสนิทว่า พวกเขาต้องชนะ
ในการใช่ศาสนาเป็นแรงผลักดันในการทำสงครามนั้น ยังมีอิทธิพลต่อโลกมาอีกหลายร้อยปี แม้จะเริ่มเข้าสู่ยุค เรเนซองส์ ก็ตาม เช่น สงคราม 30 ปี ในยุโรปนั้นก็เป็นสงครามที่ใช่ศาสนาเป็นเครื่องมือ หรือแม้แต่กองทัพ Carolean ของ สวีเดน ก็ใช้ศาสนาสร้างระเบียบวินัยให้กองทัพ จนกระทั่งถึง ยุคแห่งการรู้แจ้ง เมื่อราวๆ ศตวรรษที่ 18 อาจจะกล่าวได้ว่า คนในยุคนี้ฉลาดขึ้น และ เริ่มมีนักปรัชญาต่างๆมากมายทั้ง รุสโซ่ , วอลแตร์ เริ่มให้กำเนิดแนวคิดใหม่ๆขึ้นมา ทั้ง ความเท่าเทียมกับ เสรีภาพ เสมอภาพ และ แนวคิดที่มีความชาตินิยม ทำให้คนในยุคนี้เริ่มมีความรู้สึกผูกผันกับชาติมากกว่า ศาสนา ที่นับวันเริ่มเสื่อมความเชื่อลง และก็เข้า อีหรอป เดิมครับ นั้นคือผู้นำที่ชาญฉลาดก็ใช้ ความรู้สึกชาตินิยมนี่แหละมาเป็นแรงผลักดันในการทำสงคราม
เช่น สงครามปฎิวัติฝรั่งเศสนั้น เหล่าประชาชนฝรั่งเศสต่างจับอาวุธขึ้นสู้มหาอำนาจต่างๆที่รายล้อมด้วยความกล้าหาญ เนื่องด้วยพวกเขากลัวว่า หากแพ้สาธารณรัฐฝรั่งเศสจะล่มสลาย และนั้นหมายความว่าชาติที่เต็มไปด้วย เสรีภาพ และ เสมอภาพแห่งนี้จะล่มลง!! ผลคือฝรั่งเศสชนะสงคราม ในขณะเดียวกัน นโปเลียนก็ใช้กระแสชาตินินมที่มาแรงนี่ในการทำสงครามและพิชิตไปได้ทั่วยุโรป (ก่อนจะพ่ายแพ้ในภายหลัง) ถึงกระนั้นกระแสชาตินิยมก็แพร่กระจายไปทั่วยุโรปและทำให้โลกใบนี้เปลี่ยนไปตลอดกาล ไม่ว่าจะเป็นเยอรมัน ที่ใช้กระแสชาตินิยมพัฒนาตนเอง และรวมชาติจนแข็งแกร่ง และใช้มันเป็นแรงผลักดันในการทำสงคราม ไม่ต่างจาก ญี่ปุ่น อิตาลี และ แม้แต่ไทยก็ใช้กระแสชาตินิยมเช่นเดียวกัน
อาจจะกล่าวได้ว่าแม้โลกนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหนแต่การห่ำหั่นกันของมวลมนุษย์นั้นเกิดขึ้นตลอดเวลา เพียงแต่เปลี่ยนวิธีการไปเท่านั้น
ปล. ความจริงกะจะเขียนให้ยาวกว่านี้แต่เนื่องด้วยเวลาจำกัดจงเขียนได้แค่นี้ล่ะครับ 55
ความรู้จากเพจ History of war thailand ครับ