เรื่องไม่เป็นเรื่อง ๕ ก.พ.๖๑

เรื่องไม่เป็นเรื่อง

" เพทาย "

ผมเป็นคนชอบเขียนหนังสือ ผมหัดเขียนเรื่องสั้นมาตั้งแต่อายุสิบหก แล้วก็เขียนเรื่องอะไรต่ออะไรเรื่อยมาจนบัดนี้ แม้จะได้ลงพิมพ์ในวารสารต่าง ๆ ตามโอกาส แต่ก็ไม่มีชื่อเสียง ไม่เคยมีเรื่องรวมเล่มที่ขายได้มาก เป็นหมื่นเป็นแสนกับใครเขา แต่ผมก็ไม่เลิกเขียน

ในปัจจุบันเรื่องที่ผมชอบเขียน ก็คือเรื่องของตนเอง เพราะผมคงไม่รู้จักผู้ใดในโลกนี้ มากเท่ากับตนเอง แล้วก็ขยายวงออกไปเป็นเรื่องของเพื่อน เรื่องของผู้คนรอบตัวที่ผมได้สัมผัส เรื่องของหนังสือที่ผมชอบอ่าน เรื่องในแวดวงที่ผมเคยทำงาน เรื่องของนาย เรื่องของลูกน้อง เพียงแต่ว่า ผมไม่ได้เขียนทุกเรื่องที่ผมรู้เห็น ผมจะเขียนแต่เรื่องราวที่ดี ๆ ของผมเท่านั้น

เมื่อผมเลิกรับราชการแล้ว ผมก็สมัครเข้าเป็นสมาชิกขาประจำในคลีนิคสูงอายุของโรงพยาบาล และตลอดเวลาหลายปีหลังจากนั้น สุขภาพของผมก็ดีมากมาตลอด ไม่มีวี่แววว่าจะเป็นโรคที่คนแก่ชอบเป็นกันเลย ความดันปกติ น้ำตาลไม่เกินเกณฑ์ ไขมันในเส้นเลือดอยู่ในระดับปลอดภัย ยูริคเท่านั้นที่ดูเหมือนจะสูงสักนิด คือใกล้ขีดที่กำหนดให้สูงได้ กระดูกไม่ผุ แม้แต่ต่อมลูกหมากก็ทำงานอย่างปลอดโปร่ง โล่งใจได้

แต่มีโรคเกี่ยวกับดวงตา มักจะเกิดอาการเคืองตาแสบตาอยู่บ่อย ๆ หมอก็ให้ยาหยอดตาแก้ระคายเคือง หรือที่เรียกว่าต้อลมมาหยอด ทุเลาไปได้ไม่กี่วันก็เป็นอีก ผมจึงต้องใส่แว่นตาดำมาก ๆ เพื่อตัดแสงแดด ช่วยให้ลดอาการระคายเคืองในเวลากลางวัน และต้องเปลี่ยนเป็นแว่นสายตาไกลสีจาง ในเวลากลางคืน ครั้นจะอ่านหนังสือก็ต้องใส่แว่นใสสำหรับอ่านอีกอันหนึ่ง เป็นเรื่องยุ่งยากมาก

วันหนึ่งผมทนระคายเคืองไม่ได้ จึงไปหาหมอรักษาโรคตาโดยตรง ที่โรงพยาบาลตำรวจ เมื่อผ่านกรรมวิธีวัดสายตาสั้นสายตาเอียง และวัดความดันลูกตาแล้ว ก็เข้าไปหาคุณหมอซึ่งมียศเป็นพันตำรวจเอกพิเศษ ท่านก็ส่องกล้องขยายดูดวงตา และแก้วตาอย่างถี่ถ้วนแล้วก็บอกว่า ไม่ได้เป็นโรคอะไรหรอก แต่เนื่องจากหนังตาด้านบนมันหลุบลงมา ทำให้ขนตาทิ่มเข้าไปโดนดวงตา จึงเกิดอาการระคายเคืองเป็นประจำ แล้วท่านก็สั่งให้พยาบาลจัดการให้ ผมต้องไปนอนให้นางพยาบาลแหกตา ถอนขนตาเส้นที่มันเกเรไม่เข้าที่เข้าทาง ทนเจ็บนิดหน่อย พอ ๆ กับถอนขนจมูก ชั่วเวลาเดี๋ยวเดียวก็เรียบร้อย หายระคายเคืองเป็นปลิดทิ้ง

แต่ความสบายของดวงตานั้น ก็คงอยู่ไม่นานพอขนตางอกขึ้นมาใหม่ อาการเช่นนั้นก็เกิดขึ้นอีก เวลาผมไปหาหมอ เห็นท่านให้การรักษาคนไข้ที่เป็นโรคตา ชนิดต่าง ๆ ถึงขั้นผ่าตัดด้วยแสงเลเซอร์แล้ว ก็รู้สึกกระดากเพราะตนเองไม่มีโรคร้ายอะไรเลย ต้องทำให้คุณหมอและพยาบาลมาเสียเวลา กับเรื่องขี้ประติ๋วของผม จึงถามคุณหมอว่าถ้าจะแก้ไขให้หายขาดจะต้องทำอย่างไร ท่านก็บอกว่ามีสองวิธี คือผ่าตัดหนังตาด้านบน แล้วเย็บให้มันร่นสูงขึ้นไป อีกวิธีหนึ่งก็ใช้ไฟฟ้าจี้ให้มันละลายถึงราก มันก็จะไม่ขึ้นมาใหม่

ซึ่งผมไม่เห็นด้วย ทั้งสองวิธี เพราะกลัวเจ็บและเสียวไส้ ผมจึงเลิกไปหาหมอแล้วใช้ให้ลูกชายคอยถอนขนตา เวลาที่เคืองตาจนทนไม่ได้ ก็พอประทะประทังไปเป็นครั้งคราว เพราะลูกชายก็มือไม่เที่ยงถอนไม่เรียบร้อย ถ้ามีบางเส้นที่ขาดเป็นตอ เวลามันงอกก็จะยิ่งทิ่มตาให้เจ็บมากกว่าขนที่ขึ้นใหม่เสียอีก

วันหนึ่งผมมาร่วมวงกับเพื่อนอีกสองคน คือนายแมวกับนายหงอก กินกันตั้งแต่เที่ยงจนถึงหกโมงเย็น ที่ร้านไก่ย่างแถวบางขุนนนท์ พวกเขายังมันอยู่ ผมจึงขอแยกตัวกลับก่อน เด็กเสริฟสาวจึงคล้องแขนประคองออกมาส่งที่หน้าร้าน แล้วก็เรียกแท็กซี่กลับบ้านไป คนขับคงไม่ทันมองเห็นผม จึงจอดรถเลยออกไปหน่อยหนึ่ง ผมก็ไม่ได้เดินตามเพราะจะข้ามไปฝั่งพระนคร เด็กจึงกวักมือเรียกให้รถถอยหลังมา ผมบอกคนขับว่าจะไปที่สี่แยกการเรือนหลังสวนรื่น โชเฟอร์ถามว่าจะไปทางไหน ผมก็บอกว่ากลับรถไปออกแยกบางขุนนนท์ แล้วเลี้ยวไปทางพาต้าปิ่นเกล้า ขึ้นสะพานพระรามแปด โชเฟอร์ก็ไม่ว่าอะไร กลับรถไปแต่โดยดี

รถแล่นมาตามเส้นทางที่ผมบอก แต่แม้ผมจะชวนคุยอย่างไร โชเฟอร์ก็ไม่เออออด้วย คงนั่งนิ่งเงียบ จนรถขึ้นสะพานพระรามแปดแล้ว จึงถามว่าจะไปทางไหน ผมก็บอกว่าลงสะพานแล้วก็เลี้ยวซ้ายที่แยกวัดตรี เมื่อรถลงมาตามลาดสะพานแล้ว โชเฟอร์ก็ถามว่าแยกนี้นะ ไม่ใช่ถนนราชดำเนินหรือ ผมก็ย้ำว่า

“ เชื่อผมเถอะเลี้ยวแยกหน้า แล้วไปตรงเด่ถึงบ้านผมเลย “

คนขับกลับเอียงหน้ามาถามว่า

“ แล้วจะลงบ้านถูกไหมเนี่ยะ “

ผมชักฉุนจึงตอบว่า

“ ทำไมจะไม่ถูก ลงสะพานแล้วเลี้ยวซ้าย ที่วัดตรี ผ่านแยกไปห้าไฟแดง ก็ถึงบ้านผม “

คนขับบ่นอุบอิบในลำคอว่า ไม่ค่อยได้ผ่านมาแถวนี้ ดังนั้นเมื่อผ่านแยกไฟแดง ไม่ว่ารถจะติดหรือไม่ติด ผมก็เลยอบรมมาตลอดทาง แยกแรกเรียกว่าแยกเมล์แดง เพราะว่าเมื่อก่อนที่จะมีการรวมรถเมล์มาเป็นรัฐวิสาหกิจนั้น บริษัทรถเมล์แดงของเอกชน มีสำนักงานอยู่ตรงหัวมุมนี้

เมื่อข้ามสะพานแล้ว แยกถัดไปเรียกว่าแยกวังแดง เพราะที่ตั้งของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั้น เดิมเรียกว่าวังแดงกำแพงวังก็ทาสีแดง

แยกต่อไปเป็นที่ตั้งของกองพลที่หนึ่ง รักษาพระองค์ สี่แยกนี้อีกมุมหนึ่งเป็นที่ตั้งของหอประชุมกองทัพบก อีกมุมหนึ่งเป็นวังสวนกุหลาบ อีกมุมหนึ่งเป็นภัตตาคารเก่าแก่ เศรษฐกิจจะตกต่ำอย่างไรก็ไม่มีวันเจ๊ง เพราะมีชื่อว่าไทยเจริญ

แยกถัดไปเป็นแยกอู่ทอง เพราะถนนที่ตัดขวางเข้ามา ถึงสวนอัมพรด้านหลัง ชื่อถนนอู่ทอง

แล้วก็ถึงแยกสุดท้ายที่มีชื่อว่าแยกการเรือน เพราะอยู่ตรงกับสถาบันราชภัฏสวนดุสิต ซึ่งเดิมเรียกว่าโรงเรียนการเรือน สอนแต่วิชาของลูกผู้หญิง เช่นเย็บปักถักร้อยและอาหารการกิน แต่เดี๋ยวนี้เป็นมหาวิทยาลัยไปแล้ว

เมื่อผ่านไฟแดงก็จะเห็นสมาคมหนังสือพิมพ์ ที่ตั้งมาเก่าแก่และเป็นพิพิธภัณฑ์หนังสือพิมพ์ด้วย เลยไปอีกนิดเดียวผมก็บอกให้จอด ตรงกับตรอกที่จะเข้าบ้าน

พอชำระค่าโดยสารตามมิเตอร์ โดยไม่รับเศษเงินทอน และอวยพรให้โชเฟอร์โชคดีแล้วก็เลยแถมว่า แยกที่อยู่ข้างหน้านี่แหละ ที่เรียกว่าแยกสวนรื่น โชเฟอร์ก็ขอบคุณแล้วบอกว่าเดินดี ๆ นะครับ

เมื่อจะก้าวเข้าซอย ผมก็แปลกใจว่า ทำไมมันมืดกว่าปกติ พอรู้สึกตัวก็ถอด แว่นตาสีดำ ที่ใส่มาตั้งแต่กลางวันออก จึงค่อยมองเห็นภูมิประเทศได้รอบตัว ที่สว่างพอควรด้วยแสงไฟจากเสาไฟฟ้า เช่นปกติ

ผมจึงได้เข้าใจว่าที่โชเฟอร์แท็กซี่พูดมาทั้งหมดนั้น ก็ด้วยความเป็นห่วง แกนึกว่าผมเป็นคนตาบอด เพราะเห็นเด็กต้องคอยประคองให้เดิน และสวมแว่นตาสีดำมืดนี่เอง อนิจจา

ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นคือนายหงอก เพราะเส้นผมบนศรีษะของผม เป็นสีขาวมาตั้งแต่หนุ่มแล้ว นายคนนี้เป็นเพื่อนสนิทกับนายแมวมาตั้งแต่เด็ก เพราะเรียนหนังสือที่วัดแจ้ง รุ่นเดียวกัน จบชั้นมัธยมออกมาพร้อมกัน และเข้ามารับราชการหน่วยเดียวกันแต่คนละกอง เขาเป็นนักเรียนนายสิบรุ่นเดียวกับผม ก็เลยนับไม่ค่อยถูกว่า ใครเป็นเพื่อนใครกันแน่ แต่ว่าเราก็เป็นเพื่อนกันทั้งสามคนนั่นแหละ

วันหนึ่งเขาโผล่หน้ามาเข้าวงกับเพื่อนแล้วไม่ยอมยิ้ม ได้ความว่าฟันหน้าของเขาหายไปสามสี่ซี่ เมื่อเพื่อนถามเขาก็บอกสั้น ๆ ว่าหมากัด

เพื่อนก็ตกอกตกใจไปตาม ๆ กันว่า หมากัดอย่างไรถึงฟันหัก เขาบอกว่าไม่ใช่ฟันจริงหรอก เป็นฟันปลอม ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เพื่อนยังไม่หายข้องใจ หมาอะไรมากัดเอาจนฟันปลอมหลุดไปได้ แล้วปากคอไม่เยินไปหมดหรือ

เขาก็เลยต้องเล่ารายละเอียดให้ฟัง อย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก

เขาว่าเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง เมียของเขาซื้อกระดูกหมูมาต้มยำ หอมน่าอร่อย แต่ยังไม่ทันจะเปื่อยดี เขาอยากจะกินมื้อนั้น แต่ก็แทะไม่ค่อยจะออก จึงถอดฟันปลอมออกวางไว้ แล้วก็กินอย่างเอร็ดอร่อย อิ่มแล้วเหลือแต่กระดูกกองโต ก็เอาไปทิ้งถังขยะหน้าบ้าน พอล้างปากจะหาฟันปลอมใส่ก็หาไม่เจอ

เพื่อนก็ซักว่าแล้วหมามันมากัดตอนไหน นายหงอกโบกไม้โบกมือพัลวัน แล้วก็บอกว่า

“ คืองี้…เวลากินกระดูกหมูแล้ว ก็กองเศษกระดูกไว้กับฟันปลอม พอเอาไปทิ้ง ก็กอบไปทั้งกอง กว่าจะนึกขึ้นมาได้รีบวิ่งไปดู ที่ไหนได้มีไอ้หมาเวรตัวหนึ่ง กำลังกัดแทะฟันเราเพลินไปเลย “

เสียงหัวเราะก็ประสานขึ้นเกือบพร้อมกัน บางคนถึงกับสำลักเบียร์ บางคนน้ำตาไหลต้องเอากระดาษมาเช็ด บางคนกำลังจะซดต้มแซ่บ ต้องทิ้งช้อนลงในชาม เว้นแต่ตัวผู้เล่า คนเดียว ไม่ยอมยิ้มเพราะยังไม่ได้ใส่ฟันใหม่ แทนชุดเก่าที่หมาเคี้ยวแตกไปแล้ว

ผมชอบเขียนแต่เรื่องพรรค์อย่างนี้แหละ จึงไม่มีใครเขาเอาไปรวมเล่ม

และที่เล่ามาทั้งหมดนั่น เป็นเรื่องเพื่อนของเพื่อน ซึ่งดู ๆ ไม่น่าจะเป็นเรื่อง

แต่ก็ดันเป็นเรื่องขึ้นมาจนได้

แล้วจะส่งไปที่ไหนดีละนี่.

##########
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่