ร้านนี้เปิดมาได้สักพักแล้วค่ะ เจ้าของร้านว่า 7 เดือน เห็นรูปจาก IG ของคนอื่นที่ไปทานกัน เห็นว่าร้านสวยๆ แล้วมีเพื่อนสาวคนหนึ่งชอบทานอาหารร้านสวยๆ และเป็นช่วงเวลาที่ต้องเอาใจนางเป็นพิเศษ เราก็เลยเลือกที่จะไปทานร้านนี้ โดยไม่ได้คาดหวังไว้มากมาย
อย่างแรกเลยที่ควรรู้คือ เค้ามีเป็น Course Menu เท่านั้น และแต่ละ course มีให้เลือก 3 อย่าง ราคา Fix อยู่ที่ 1,590 บาท ++ รวมความจริงๆแล้วก็คือตกประมาณคนละ 2,000 บาท โชคดีที่เค้าใช้น้ำเปล่าธรรมดา ไม่ใช้แบบ Import เลยไม่ต้องเสียค่าน้ำขวดละเป็นร้อย เวลาเห็นร้านอาหารเอาน้ำนอกมาเสิร์ฟ เห็นแล้วรู้สึกบาดใจเหมือนโดนขูดรีด ยอมรับว่าน้ำแต่ละอย่างมันรสชาติต่างกันจริง แต่ต่างแบบยอมจ่ายสิบบาท ไม่ใช่ร้อยบาท
เมนูเค้าก็ตามนี้ค่ะ

ร้านนี้เค้าสวยจริง อยู่ในเอกมัยซอย 2 ถ้าเอารถมาต้องเอาไปจอดที่ตึก somerset ข้างๆ ที่ต้องเอารถจอดเข้าเครื่อง ซึ่งจะถูกยามสั่ง ให้ปฎิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพราะนางบอกว่าถ้าไม่ทำตามอันตรายมาก (คือถ้าไม่ทำตาม เลี้ยวครั้งเดียวก็เข้าเครื่องละ) แต่นี่ให้หักอยู่นั้นแหละ จอดได้แล้วก็เดินมานิดเดียว ก็ถึงร้าน เป็นร้านเล็กๆ คูหาเดียว ร้านสวยบรรยากาศดี แบบหรูๆหน่อย วันที่เบนไปทาน ทุกโต๊ะเป็นคู่รักหมด เพราะมันเป็นบรรยากาศแบบโรแมนติก fairy tale และมีโต๊ะเราโต๊ะเดียวที่คุยกัน(ธรรมดา) แต่รู้สึกเหมือนเสียงดังมาก เพราะโต๊ะอื่นเค้ากระซิบกัน แม้แต่คนเสิร์ฟยังกระซิบเวลาบอกเมนูเลย
อาหารจานที่เห็นบ่อยที่สุดของร้านนี้ คือใครมาก็ต้องถ่ายภาพและ Post รุปคือจานนี้

ข้างบนเป็นไข่ออนเซนให้มาตอกเอง หมี่กรอบ แล้วด้านล่างเป็นไข่ฉีก รสชาติดีเหมือนกัน
คือบอกตามตรงว่าจำคำอธิบายอาหารไม่ค่อยได้เท่าไหร เพราะเอาจริงๆคือไม่ค่อยได้ยิน ที่เหลือเอาหน้าตาอาหารมาให้ดูแล้วกันค่ะ แล้วเดี่ยวสรุปให้ฟังตอนท้าย
เบนได้ทานทุกอย่างครบที่เค้ามีอยู่ทั้งหมด เพราะว่า ไปทานกับเพื่อนสามคน แล้วแต่ละ course มีให้เลือกสามอย่าง ก็เลยสั่งมาลองทุกอย่างเลย

ร้าานหรูๆเค้าต้องเริ่มด้วยของฟรีก่อน นั้นก็คือ ไอ้สี่อย่างนี้ ที่ทุกอย่างมีส่วนผสมของใบมะกรูด

หลังจากนั้นก็เป็น Chapter One


รูปบนเป็น Beef Tartar (เนื้อดิบสับ) กับไอติมถ่าย คือ มันรสชาติไม่ได้เข้าอะไรกันมากมาย หน้าตาสวย ทานได้ แต่ไม่ถึงกับอร่อย ส่วนจานล่างเป็นหอยเชลล์ กับน้ำพอนซึ แล้วก็ยอดผักแม้ว ที่เหม็นเขียว จานนี้ก็งั้นๆ เพราะตัวหอยเชลล์ ก็ธรรมดา น้ำพอนซึก็ไม่ใช่ตัวที่รสชาติถูกใจ ถือว่าแค่พอทานได้ ถ้าเค้าใช้หอยเชลล์ที่หวานหอมกว่านี้หน่อยคงจะดี รวมถึงพอนซึด้วย อีกตัวเป็น Salad รมควันกับเป็ด ซึ่งไม่ได้ถ่ายรูปมา พวกผักของร้านนี้ไม่แน่ใจว่าเค้าตั้งใจหรือเปล่า เพราะมันค่อยข้างเหม็นเขียว และทานยาก การเอาผักไปรมควัน เป็นไอเดียที่ดี แต่ผักแก่เกินไปหน่อย ทำให้ค่อยข้างขม
555 ตอนแรกบอกจะสรุปตอนท้าย ได้ที่ไหนได้ เอาทุกรายละเอียด ว่าต่อด้วย Chapter Two ซึ่งไข่ตัวเด่นก็อยู่ใน chapter นี้ด้วย และถือเป็นจานที่อร่อยเลยทีเดียว เข้ากันมาก มี 3 texture ผสมกัน คือไข่เหลวๆ รังนกทอดที่กรอบ และเนื้อไก่ฉีกรสชาติดี


Chapter Two ต้องบอกว่าทำออกมาได้ดีมาก อันด้านบน เป็นข้าว Barley มาทำเป็น Risotto กับแก่นทานตะวัน ออกเป็น Risotto นมหน่อยๆ รสชาติกลมๆ จานนี้เป็นหนึ่งในจานที่เบนชอบสุด แต่เพื่อนคนอื่นดูจะเฉยๆ ส่วนภาพด้านล่างที่เป็นรูป Corrot นั้นด้านในเป็นปู ผสมกับไม่แน่ใจอะไรบ้าง ประมาณว่าเหนียวๆหน่อย เหมือนมันบด ก็ใช้ได้อีกเหมือนกัน
Chapter Three เป็น main course

ปลาย่างหอใบตอง มันกล้วยดิบบด ทำเหมือนมักบดและซอสกล้วย ทำได้ดีมากๆ ปลาสุกกำลังดี และหอมมมม จานนี้ชื่นชมในความคิดสร้างสรรค์และสามารถทำออกมาได้ดีงาม ถึงปลาจะไม่ได้เข้ากับซอสกล้วยเท่าไหร แต่ด้วยตัวมันเองอร่อยมากอยู่แล้ว

อันนี้เป็นหมูกับคะน้า ตัวหมูนั้นตอนใช้มีดตัดรู้สึกเหมือนว่ามันแห้งมาก แต่พอทานจริงๆก็นุ่มและยังฉ่ำอยู่ รสชาติโดยรวมก็พอใช้ได้

เนื้อ dry aged ไทยที่ต้องเพิ่มเงิน 400 บาทถ้าเลือก จานแรกที่มาถึงคือแทบกรี๊ด แค่จิ้มส้อมลงไปก็แบบไม่อยากกินแล้ว super over cook แบบออกมา well done เลยบอกเค้า แล้วเค้าก็ไปเปลี่ยนมาให้ใหม่ ได้ออกมาเป็น medium rare แบบสวยงาม และอร่อย และที่เสิร์ฟคู่กันมา ก็ดอกกุ๋ยช่ายและซอสกุ๋ยช่าย ซึ่ง you either like it or hate it, and I HATE IT คือปกติทานกุ๋ยช่ายนะ ชอบ แต่ดอกกุ๋ยช่ายนี่มันจะกลิ่นแรกเว่ออะไรขนาดนั้น โชคดีที่ทานหลังทานเนื้อเสร็จแล้ว ส่วนตัวซอสเบนโอเค ถือว่าใช้ได้ แต่เพื่อนเบนทานแล้วหน้าเหย่เก
Chapter Four



จานบนเป็น Yoghurt Marshmallow กับสตอเบอรี่แล้วก็ chocolate ก็อร่อยดี แต่จานที่เด็ดมากคือจานกลาง ที่เป็น Goat Milk Panacotta อร่อยมาก Panacotta เนื้อดี ชื่นชม ส่วนจานล่าง ไม่มีใครเหลียวแล อยากจะบอกให้ที่ร้านเปลี่ยนเมนูอันนี้ออกเถอะ(ความเห็นส่วนตัว อาจจะมีคนอื่นชอบก็ได้ คือมันไม่ได้เลวร้าย แต่ก็หาความอร่อยไม่ได้เหมือนกัน)
เอาจริงๆก็คือ style ร้าน Michelin ถ้าอยู่เมืองนอก แล้วไปทานร้านนี้ ถ้ายังไม่ได้ Michelin ก็คือร้านอาหารที่อยากได้ดาว และรอการมาชิม พิจรณาคิดเลือกอยู่อะไรประมาณนั้น
สรุป ร้านนี้ให้คะแนน 78/100 ถือว่าเป็นคะแนนที่ดีนะคะ เบนคิดว่า สองพันกว่าบาทที่จ่ายไปมันคุ้มค่ามาก ได้ประสบการณ์ที่ดี ร้านสวย บรรยากาศดี บริการยอดเยี่ยม อาหารโดยรวมถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว ถึงจะเคยได้ยินมาเหมือนกันว่า ร้านสวยแต่อย่าหวังอะไรมากกับอาหาร แต่เบนว่าโดยรวมแล้วเค้าทำได้ดีเลยนะ ไม่ว่าจะความคิดสร้างสรรค์ หน้าตา หรือรสชาติ เห็นถึงความตั้งแต่คิดและทำของเค้าจริงๆ ส่วนคนที่ไม่คุ้มเนี้ย เบนคิดว่าเป็นร้าน คือทำขนาดนี้ ขาย 1,650++ นี่คุ้มหรอค่ะ? เพราะระดับนี้ก็จัดเป็น Michelin ได้เลยนะ อะถ้าสมมุติว่าได้ 1 ดาว ปกติไปทานที่ยุโรป ถ้าเป็นมื้อเย็นเต็มคอสแบบนี้ก็ไม่ต่ำกว่า €80 (ซึ่งถือว่าถูกมาก ปกติเกินร้อย) แต่นี่รวมแล้วสองพันกว่าบาทแค่ €50 เอง ถือว่าคุ้มมาก ก็ขอให้เจ้าของร้านสู้ต่อไปนะคะ ถ้ามี set menu มาใหม่ก็คงคิดว่าจะกลับไปทานอีก แต่คงไม่ไปซ้ำ set นี้แล้ว เพราะถ้าไปกินสองพันบ่อยๆก็ไม่ไหวเหมือนกัน
วันไปทาน 3 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 18:00
[CR] รีวิวร้าน Cusine de Garden เค้าระดับ Michelin ได้เลยนะเธอ
อย่างแรกเลยที่ควรรู้คือ เค้ามีเป็น Course Menu เท่านั้น และแต่ละ course มีให้เลือก 3 อย่าง ราคา Fix อยู่ที่ 1,590 บาท ++ รวมความจริงๆแล้วก็คือตกประมาณคนละ 2,000 บาท โชคดีที่เค้าใช้น้ำเปล่าธรรมดา ไม่ใช้แบบ Import เลยไม่ต้องเสียค่าน้ำขวดละเป็นร้อย เวลาเห็นร้านอาหารเอาน้ำนอกมาเสิร์ฟ เห็นแล้วรู้สึกบาดใจเหมือนโดนขูดรีด ยอมรับว่าน้ำแต่ละอย่างมันรสชาติต่างกันจริง แต่ต่างแบบยอมจ่ายสิบบาท ไม่ใช่ร้อยบาท
เมนูเค้าก็ตามนี้ค่ะ
ร้านนี้เค้าสวยจริง อยู่ในเอกมัยซอย 2 ถ้าเอารถมาต้องเอาไปจอดที่ตึก somerset ข้างๆ ที่ต้องเอารถจอดเข้าเครื่อง ซึ่งจะถูกยามสั่ง ให้ปฎิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพราะนางบอกว่าถ้าไม่ทำตามอันตรายมาก (คือถ้าไม่ทำตาม เลี้ยวครั้งเดียวก็เข้าเครื่องละ) แต่นี่ให้หักอยู่นั้นแหละ จอดได้แล้วก็เดินมานิดเดียว ก็ถึงร้าน เป็นร้านเล็กๆ คูหาเดียว ร้านสวยบรรยากาศดี แบบหรูๆหน่อย วันที่เบนไปทาน ทุกโต๊ะเป็นคู่รักหมด เพราะมันเป็นบรรยากาศแบบโรแมนติก fairy tale และมีโต๊ะเราโต๊ะเดียวที่คุยกัน(ธรรมดา) แต่รู้สึกเหมือนเสียงดังมาก เพราะโต๊ะอื่นเค้ากระซิบกัน แม้แต่คนเสิร์ฟยังกระซิบเวลาบอกเมนูเลย
อาหารจานที่เห็นบ่อยที่สุดของร้านนี้ คือใครมาก็ต้องถ่ายภาพและ Post รุปคือจานนี้
คือบอกตามตรงว่าจำคำอธิบายอาหารไม่ค่อยได้เท่าไหร เพราะเอาจริงๆคือไม่ค่อยได้ยิน ที่เหลือเอาหน้าตาอาหารมาให้ดูแล้วกันค่ะ แล้วเดี่ยวสรุปให้ฟังตอนท้าย
เบนได้ทานทุกอย่างครบที่เค้ามีอยู่ทั้งหมด เพราะว่า ไปทานกับเพื่อนสามคน แล้วแต่ละ course มีให้เลือกสามอย่าง ก็เลยสั่งมาลองทุกอย่างเลย
ร้าานหรูๆเค้าต้องเริ่มด้วยของฟรีก่อน นั้นก็คือ ไอ้สี่อย่างนี้ ที่ทุกอย่างมีส่วนผสมของใบมะกรูด
รูปบนเป็น Beef Tartar (เนื้อดิบสับ) กับไอติมถ่าย คือ มันรสชาติไม่ได้เข้าอะไรกันมากมาย หน้าตาสวย ทานได้ แต่ไม่ถึงกับอร่อย ส่วนจานล่างเป็นหอยเชลล์ กับน้ำพอนซึ แล้วก็ยอดผักแม้ว ที่เหม็นเขียว จานนี้ก็งั้นๆ เพราะตัวหอยเชลล์ ก็ธรรมดา น้ำพอนซึก็ไม่ใช่ตัวที่รสชาติถูกใจ ถือว่าแค่พอทานได้ ถ้าเค้าใช้หอยเชลล์ที่หวานหอมกว่านี้หน่อยคงจะดี รวมถึงพอนซึด้วย อีกตัวเป็น Salad รมควันกับเป็ด ซึ่งไม่ได้ถ่ายรูปมา พวกผักของร้านนี้ไม่แน่ใจว่าเค้าตั้งใจหรือเปล่า เพราะมันค่อยข้างเหม็นเขียว และทานยาก การเอาผักไปรมควัน เป็นไอเดียที่ดี แต่ผักแก่เกินไปหน่อย ทำให้ค่อยข้างขม
555 ตอนแรกบอกจะสรุปตอนท้าย ได้ที่ไหนได้ เอาทุกรายละเอียด ว่าต่อด้วย Chapter Two ซึ่งไข่ตัวเด่นก็อยู่ใน chapter นี้ด้วย และถือเป็นจานที่อร่อยเลยทีเดียว เข้ากันมาก มี 3 texture ผสมกัน คือไข่เหลวๆ รังนกทอดที่กรอบ และเนื้อไก่ฉีกรสชาติดี
Chapter Two ต้องบอกว่าทำออกมาได้ดีมาก อันด้านบน เป็นข้าว Barley มาทำเป็น Risotto กับแก่นทานตะวัน ออกเป็น Risotto นมหน่อยๆ รสชาติกลมๆ จานนี้เป็นหนึ่งในจานที่เบนชอบสุด แต่เพื่อนคนอื่นดูจะเฉยๆ ส่วนภาพด้านล่างที่เป็นรูป Corrot นั้นด้านในเป็นปู ผสมกับไม่แน่ใจอะไรบ้าง ประมาณว่าเหนียวๆหน่อย เหมือนมันบด ก็ใช้ได้อีกเหมือนกัน
Chapter Three เป็น main course
ปลาย่างหอใบตอง มันกล้วยดิบบด ทำเหมือนมักบดและซอสกล้วย ทำได้ดีมากๆ ปลาสุกกำลังดี และหอมมมม จานนี้ชื่นชมในความคิดสร้างสรรค์และสามารถทำออกมาได้ดีงาม ถึงปลาจะไม่ได้เข้ากับซอสกล้วยเท่าไหร แต่ด้วยตัวมันเองอร่อยมากอยู่แล้ว
อันนี้เป็นหมูกับคะน้า ตัวหมูนั้นตอนใช้มีดตัดรู้สึกเหมือนว่ามันแห้งมาก แต่พอทานจริงๆก็นุ่มและยังฉ่ำอยู่ รสชาติโดยรวมก็พอใช้ได้
เนื้อ dry aged ไทยที่ต้องเพิ่มเงิน 400 บาทถ้าเลือก จานแรกที่มาถึงคือแทบกรี๊ด แค่จิ้มส้อมลงไปก็แบบไม่อยากกินแล้ว super over cook แบบออกมา well done เลยบอกเค้า แล้วเค้าก็ไปเปลี่ยนมาให้ใหม่ ได้ออกมาเป็น medium rare แบบสวยงาม และอร่อย และที่เสิร์ฟคู่กันมา ก็ดอกกุ๋ยช่ายและซอสกุ๋ยช่าย ซึ่ง you either like it or hate it, and I HATE IT คือปกติทานกุ๋ยช่ายนะ ชอบ แต่ดอกกุ๋ยช่ายนี่มันจะกลิ่นแรกเว่ออะไรขนาดนั้น โชคดีที่ทานหลังทานเนื้อเสร็จแล้ว ส่วนตัวซอสเบนโอเค ถือว่าใช้ได้ แต่เพื่อนเบนทานแล้วหน้าเหย่เก
Chapter Four
จานบนเป็น Yoghurt Marshmallow กับสตอเบอรี่แล้วก็ chocolate ก็อร่อยดี แต่จานที่เด็ดมากคือจานกลาง ที่เป็น Goat Milk Panacotta อร่อยมาก Panacotta เนื้อดี ชื่นชม ส่วนจานล่าง ไม่มีใครเหลียวแล อยากจะบอกให้ที่ร้านเปลี่ยนเมนูอันนี้ออกเถอะ(ความเห็นส่วนตัว อาจจะมีคนอื่นชอบก็ได้ คือมันไม่ได้เลวร้าย แต่ก็หาความอร่อยไม่ได้เหมือนกัน)
เอาจริงๆก็คือ style ร้าน Michelin ถ้าอยู่เมืองนอก แล้วไปทานร้านนี้ ถ้ายังไม่ได้ Michelin ก็คือร้านอาหารที่อยากได้ดาว และรอการมาชิม พิจรณาคิดเลือกอยู่อะไรประมาณนั้น
สรุป ร้านนี้ให้คะแนน 78/100 ถือว่าเป็นคะแนนที่ดีนะคะ เบนคิดว่า สองพันกว่าบาทที่จ่ายไปมันคุ้มค่ามาก ได้ประสบการณ์ที่ดี ร้านสวย บรรยากาศดี บริการยอดเยี่ยม อาหารโดยรวมถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว ถึงจะเคยได้ยินมาเหมือนกันว่า ร้านสวยแต่อย่าหวังอะไรมากกับอาหาร แต่เบนว่าโดยรวมแล้วเค้าทำได้ดีเลยนะ ไม่ว่าจะความคิดสร้างสรรค์ หน้าตา หรือรสชาติ เห็นถึงความตั้งแต่คิดและทำของเค้าจริงๆ ส่วนคนที่ไม่คุ้มเนี้ย เบนคิดว่าเป็นร้าน คือทำขนาดนี้ ขาย 1,650++ นี่คุ้มหรอค่ะ? เพราะระดับนี้ก็จัดเป็น Michelin ได้เลยนะ อะถ้าสมมุติว่าได้ 1 ดาว ปกติไปทานที่ยุโรป ถ้าเป็นมื้อเย็นเต็มคอสแบบนี้ก็ไม่ต่ำกว่า €80 (ซึ่งถือว่าถูกมาก ปกติเกินร้อย) แต่นี่รวมแล้วสองพันกว่าบาทแค่ €50 เอง ถือว่าคุ้มมาก ก็ขอให้เจ้าของร้านสู้ต่อไปนะคะ ถ้ามี set menu มาใหม่ก็คงคิดว่าจะกลับไปทานอีก แต่คงไม่ไปซ้ำ set นี้แล้ว เพราะถ้าไปกินสองพันบ่อยๆก็ไม่ไหวเหมือนกัน
วันไปทาน 3 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 18:00