ห้องเพลง**คนรากหญ้า**พักยกการเมือง มุมเสียงเพลง มุมนี้ไม่มีสีไม่มีกลุ่ม มีแต่เสียง 4/2/2561 - USO ยานลึกลับใต้น้ำ

กระทู้คำถาม


สวัสดีครับอมยิ้ม17 สมาชิกห้องเพลงทุกๆท่าน วันนี้วันอาทิตย์ MC แอ๊ด (WANG JIE) เข้าประจำการอีก 1 วันครับ อมยิ้ม36

วันนี้เอาเรื่องลึกลับมาฝากอีกเรื่อง เมื่อก่อน MC เคยนำเรื่อง UFO มานำเสนอแล้ว UFO นั้นเป็น "วัตถุบิน" ครับ ซึ่งแน่นอนว่ามันจะปรากฏบนฟ้าบนอากาศ แต่มันยังมี The Unidentified Object อีกอย่างหนึ่งที่เป็นคู่ของ นั่นคือ USO ย่อมาจาก Unidentified Submerged Object หรือ ยานลึกลับที่โผล่ขึ้นมาจากใต้น้ำซึ่งระบุไม่ได้ (ว่าเป็นอะไร มาจากไหน ใครสร้าง) วันนี้เรามาทำความรู้จักกับ USO กันครับ



USO หรือ "ยานลึกลับใต้น้ำ" เป็นส่วนหนึ่งของการพบเห็น UFO นั่นเอง จัดเป็น "การเผชิญหน้า" ชนิดที่ 1 (Close Encounter of the 1st Kind) ในหลายๆกรณีของการพบเห็น UFO นั้น มีหลายรายที่ได้พบเห็นวัตถุลึกลับ โผล่ขึ้นมาจากใต้น้ำ หรือปรากฏอยู่ใต้น้ำ รายงานการพบเห็นมีมาก จน "นักจานบินวิทยา" (Ufologist) กำหนดให้เรียกยานลึกลับพวกนี้ว่า USO = Unidentified Submerged Object
โดยหมายถึงวัตถุใดๆ หรือการพบปรากฏการณ์แสงหรือเครื่องยนต์ซึ่งไม่รู้ที่มา อันสังเกตเห็นใต้น้ำหรือโผล่ขึ้นมาจากน้ำ และยังคงไม่สามารถระบุให้แน่ชัดได้แม้ว่าจะมีการตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วก็ตาม (อย่าสับสนกับ USO ซึ่งย่อมาจาก United Services Organisation) มันคือวัตถุทางทะเลที่คล้ายคลึงกับ UFO ซึ่งอยู่ใต้น้ำที่ระบุไม่ได้ จากรายงานการพบเห็นซึ่งเก็บข้อมูลโดยนักจานบินวิทยา การพบเห็นในทำนองเดียวกันของ USO มีจำนวนมากที่เป็น "UFO" ที่ขึ้นมาจากน้ำ ซึ่งมีมากรองลงมาจากการพบเห็น UFO ปกติ
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ดังนั้น USO จึงเป็นปรากฏการณ์เช่นเดียวกับหรือคล้ายคลึงกับยูเอฟโอ ความแตกต่างคือ ผู้คนมองเห็นมันลงไปในน้ำหรือว่าโผล่ขึ้นมาจากน้ำเท่านั้น และส่วนใหญ่มักจะเป็น UFO ทั่วไปที่เกิดขึ้นจากน้ำ คนส่วนมากจึงแยกไม่ออก (ว่าเป็น UFO หรือว่า USO ถ้าไม่เห็นมันขึ้นจากน้ำหรือลงไปในน้ำหรืออยู่ในน้ำ) แม้ว่า UFO โดยทั่วไปมีนัยสำคัญต่อทางกองทัพทหารในฐานะที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ แต่การพบเห็น USO มีนัยเช่นนั้นค่อนข้างน้อยกว่า USO ไม่เคยถูกรายงานว่าเป็นภัยคุกคามระดับชาติ หรือทำให้เกิดความรู้สึกผิดปกติเหมือนอย่างที่ปรากฏการณ์ UFO ทั่วไปมักจะเป็น

ขนาดและรูปร่างของ USO ที่พบมากที่สุดคือ เป็นจานกลมแบน หรือรูปทรงกระบอก (ซิการ์) และเดินทางด้วยความเร็วที่ไปได้ไกลเกินกว่ายานใต้น้ำใดๆในโลก ยานเหล่านี้มักเดินทางไปไหนมาไหนได้ด้วยความเร็วระหว่าง 150 ถึง 500 นอตเมื่ออยู่ใต้น้ำ บางลำมีรายงานว่าเดินทางด้วยความเร็วสูงกว่านั้นมาก

ยูเอฟโอถูกพบเห็นจากคนจำนวนมากทั่วโลก และสำหรับโลกนี้ สองในสามของพื้นผิวถูกปกคลุมไปด้วยน้ำ จึงไม่ต้องแปลกใจถ้าจะบอกว่ามีสิ่งชีวิต (ที่ทรงภูมิปัญญา) ซ่อนอยู่ห่างจากสายตาของเรา มากกว่าที่เราเคยเห็นในทีวี

USO ถูกพบเห็นโดยนักสำรวจ กะลาสีเรือ เจ้าหน้าที่ทหารเรือ ชาวประมง และชาวบ้านที่เดินทางทั่วโลกทางเรือ มีสารคดียูเอฟโอในทะเลลึก ซึ่งเกี่ยวกับประวัติปรากฏการณ์ของยูเอฟโอใต้น้ำที่มีกรณีศึกษาที่น่าสนใจ

การเผชิญหน้ากับ USO หารายงานย้อนหลังไปได้จนถึงช่วงเวลาที่ คริสโตเฟอร์โคลัมบัส และลูกเรือของเขา กำลังข้าม สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า (Bermuda Triangle) และมองเห็น ดวงไฟใต้น้ำลึกลับ ซึ่งนักวิจัย UFO ระดับสูงอย่าง แสตนตั้น ฟรีด์แมน เชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องกับรายงานกิจกรรมของ UFO ในยุคปัจจุบัน

แสงประหลาด ซึ่งไม่มีใครรู้จัก ถูกพบเห็นในระหว่างการเดินทางครั้งแรกของคริสโตเฟอร์โคลัมบัส เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม ค.ศ. 1492 เวลา 4 ทุ่ม โดยตัวเขาเอง และลูกเรือบางคนบนเรือซานตามาเรีย (Santa Maria), พินต้า (Pinta) และอาจรวมทั้งเรือ นีน่า (Nina) ด้วยในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ไม่นานก่อนที่จะเข้าเทียบท่าที่กวนนาฮานี่ (Guanahani) มีรายงานการพบเห็นในหนังสือพิมพ์โคลัมบัส หนังสืออื่นๆอีกหลายเล่ม และแหล่งข้อมูลอื่นๆ อีก

โคลัมบัสอธิบายถึงแสงนั้นว่า "เหมือนเทียนขี้ผึ้งเล็กๆ ที่ลอยขึ้นและถูกยกขึ้น ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเครื่องชี้บอกถึงแผ่นดิน (ว่าต้องไปทางทิศไหนถึงจะได้เจอ)" เขาได้รับรางวัลสำหรับการพบเห็นนั้น ลูกชายของเขา เฟอร์ดินาน (Ferdinand) ยังได้บอกลักษณะของมันด้วยว่า "เหมือนเปลวเทียนที่ขึ้นๆลงๆ"

โคลัมบัสเขียนไว้ว่า "มีความเป็นไปได้ที่เราจะไปจากทะเลอันเป็นตำนานนี้ไม่ได้ เข็มทิศของผมผิดเพี้ยนแปลกไป ทะเลนี้ราวกับว่าสามารถวาดสิ่งต่างๆจากทั่วทั้งมหาสมุทรแอตแลนติกมาไว้ เหมือนอ่างล้างหน้า"

วัตถุที่จมอยู่ใต้น้ำซึ่งระบุไม่ได้นั้น บางครั้งก็บินเข้าๆออกๆจากน้ำที่แตกกระจายเหมือนถูกกระแทกด้วยน้ำแข็งหนักๆโดยไร้สิ่งกีดขวางใดๆ หลังจากมีรายงานการพบเห็นเหล่านี้แล้ว ก็มีคนสังเกตพบหลุมขนาดใหญ่ที่ไม่ได้เกิดจากผลกระทบของภัยพิบัติ บางคนสันนิษฐานว่า USO เหล่านี้มีความสามารถในการละลายน้ำแข็งเวลาที่เร่งความเร็วออกตัว ตัวอย่างแบบนี้เกิดขึ้นในนอร์เวย์ สวีเดน และรัสเซีย ซึ่งมีรายงานว่ามีวัตถุเหล่านี้เข้าและออกจากน้ำในบริเวณดังกล่าว

มีบางคนเชื่อว่ายูเอฟโอเหล่านี้ มาจากภายในแห่ง "โลกกลวง" และมีต้นกำเนิดจากเมืองโบราณ แอตแลนติส ซึ่งเจริญก้าวหน้าล้ำยุคและตั้งอยู่ที่ไหนสักแห่งในมหาสมุทรแอตแลนติก ชาวบ้านหลายคนที่อาศัยอยู่ตามแนวชายฝั่งของอินเดีย ก็เคยเห็นแสงสีสรรค์สดใสบนท้องฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนที่คลื่นสึนามิจะกระทบชายฝั่งตะวันออก

การเฝ้าสังเกตการณ์ยูเอฟโอพุ่งลงน้ำและโผล่ออกมาจากน้ำไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด มีรายงานข่าวการพบเห็นนับพัน นอกจากนี้ยังมีรายงานจากฐานนอกชายฝั่งของประเทศต่างๆเช่นทางตอนเหนือของอเมริกาใต้ เปอร์โตริโก้ รัสเซีย ใต้ทะเลเหนือ สก็อตแลนด์ ชายฝั่งปาตาโกเนีย อาร์เจนตินา หมู่เกาะอะซอเรสโปรตุเกส สเปน เกาะคานารี่ แคนาดา ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐโดมินิกัน นอร์เวย์ และอีกหลายแห่ง

ที่มอลตา (เป็นกลุ่มของหมู่เกาะในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตอนใต้ของซิซิลี อาณานิคมของอังกฤษ จนกระทั่งปีพ.ศ.2507) มีรายงานข่าวว่า "เราพบว่าบางส่วนของอ่าววิคตอเรียประมาณ 900 ไมล์ทางตะวันออกของอาเดลเลีย (Adalia) ลูกเรือเห็นดวงไฟส่องสว่างสามดวง โผล่ออกมาจากทะเลในอากาศพวกเขามองเห็นได้สิบนาที บินไปครึ่งไมล์จากเรือ" มีพยานคนอื่น ๆ ที่เห็นปรากฏการณ์ UFO นี้จากอาเดลเลีย ซีเรียและมอลตา แสงจากตัวยานที่ส่องสว่างแต่ละดวง มีเส้นผ่านศูนย์กลางกว้างกว่าขนาดพระจันทร์เต็มดวง

เมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2413 ในน่านน้ำเส้นศูนย์สูตรของมหาสมุทรแอตแลนติก ลูกเรือของเรือลาดตระเวนของอังกฤษ "ท่านผู้หญิงแห่งทะเลสาบ" (Lady of the Lake) ได้เห็น "เมฆ lenticular ที่มีหางยาวพุ่งไปข้างหน้าโต้กระแสลมขึ้นไป รูปแบบนี้ปรากฏให้เห็นเป็นเวลาประมาณถึงหนึ่งชั่วโมง กัปตัน เอฟ ดับบลิว แบนเนอร์ (FW Banner) จดบันทึกลงในปูมเดินเรือและวาดภาพประกอบไว้ด้วย ภาพที่เขาวาดประกอบในปูมนั้น เหมือนจานบินอย่างเด่นชัด

วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 1951 ผู้บัญชาการ เกรแฮม เบ็ธธูน (Graham Bethune) แห่งกองทัพเรือสหรัฐฯ (เกษียณแล้ว) กำลังขับเครื่องบินของเขาบินจากไอซ์แลนด์ไปยังนิวฟาวนดแลนด์ (Newfoundland) เมื่อเขาเห็นยูเอฟโอโผล่พ้นจากน้ำ เขาอยู่ห่างจากจุดหมายปลายทางของเขาประมาณ 300 ไมล์ เมื่อเขาและลูกเรือของเขามองเห็นแสงระยิบระยับอยู่ในน้ำ มองดูคล้ายตอนที่ีกำลังจะเข้าเมืองในเวลากลางคืน "ขณะที่เราเข้าใกล้วัตถุเรืองแสงนี้ มันกลับกลายเป็นดวงไฟกลมขนาดมหึมาสีขาวบนผืนน้ำ จากนั้นเราก็เห็นรัศมีสีเหลืองเล็กกว่าสิ่งที่ปล่อยมันออกมา และประมาณ 15 ไมล์ห่างออกไป ในขณะที่ยูเอฟโอบินเข้ามาหาเครื่องบินของผมและบินขนาบข้าง เราสามารถมองเห็นโดมที่ปล่อยแสงโคโรน่าได้"

ในเดือนพฤษภาคม 1958 (17 วัน) ในเดือนตุลาคม 1959 (ห้าวัน) และมกราคม 1960 (24 วัน) ในกอลโฟ นูเอโว (Golfo Nuevo) ประเทศอาร์เจนตินา เรือดำน้ำที่ไม่ปรากฏชื่อถูกไล่ล่าโดยเรือรบอาร์เจนตินา 14 ลำ รวมทั้งเรือบรรทุกเครื่องบินและเครื่องบินกองทัพเรือ 30 ลำ เรือดำน้ำนั้น แม้ว่าจะได้ยินเสียงของมันได้ และบางครั้งอาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ก็ไม่สามารถจะจับได้ด้วยเครื่องโซนาร์ คลื่นโซนาร์ ไฮโดรโฟน หรือเรดาร์ได้ แม้จะมีการทิ้งระเบิดอย่างรุนแรงและการจู่โจมลึกด้วยวัตถุระเบิดของสหรัฐฯ ตอร์ปิโด และปืนยิงเรือโดยส่วนใหญ่ ก็พิสูจน์แล้วว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำลายหรือจมเรือดำน้ำนั้น และการตามล่าก็ถูกยกเลิกไปในแต่ละครั้งเพราะไม่ประสบความสำเร็จ กับตัน เรย์ เอ็ม พลิททส์ ผู้นำกองทัพเรือต่อต้านเรือดำน้ำของกองทัพเรือสหรัฐฯเข้าร่วมการตามล่าครั้งที่สาม หลังจากนั้นเขาก็ยืนยันว่ามันเป็นเรือดำน้ำแน่นอน แต่เขาไม่สามารถพูดอะไรต่อไปมากกว่านั้นได้อีก (อาจจะถูกเบื้องบนสั่งห้าม เหมือนเจ้าหน้าที่ที่ถูกสั่งให้ปิดปากหลังมีเหตุการณ์ UFO ?) กะลาสีเรือและพยานบางคนเล่าว่า มันมีขนาดใหญ่พอๆ กับเรือ ยูโบท (U-boat) ประเภท XXI ซึ่งกองทัพเรือเยอรมันได้พัฒนาเมื่อ 15 ปีก่อน

ในปีพ. ศ. 2509 เกษตรกรผู้ปลูกกล้วยชาวออสเตรเลียอ้างว่า เห็นยูเอสโอ โผล่ออกมาจากบึงในบริเวณใกล้เคียง

ในปี 2510 เรือเดินสมุทรของบราซิลลำหนึ่ง ถูกยูเอสโอใต้น้ำ ไล่ตามอยู่หลายนาที

ในเดือนกรกฏาคม 2510 นักธุรกิจชาวดัตช์หลายสัญชาติคนหนึ่ง อ้างว่าได้รับการติดต่อใน Oostscheld ใต้อัมสเตอร์ดัม โดยมนุษย์ต่างดาวที่บอกว่าพวกตนมาจาก "อิอาร์ก้า" (Iarga) ซึ่งไกลจากดวงอาทิตย์ของเราไป 11 ปีแสงตามการคำนวณระยะทางของเรา พวกเขาได้สังเกตการณ์เราจากใต้น้ำ แถมยังอนุญาตให้ชายคนนี้ไปเยี่ยมชมยานอวกาศ ณ ตำแหน่งที่จอดอยู่ใต้น้ำ นี่เป็นรายงานเคสพิเศษที่ได้รับการจัดทำเป็นเอกสารอย่างดี มีข้อมูลมากกว่า 400 หน้า ในหนังสือชื่อ "จานบิน การติดต่อจากดาวอิอาร์ก้า" (UFO Contact From Planet Iarga)

ในประเทศสวีเดน ในปีพ.ศ.2542 มีคนบอกว่า มียูเอสโอร่วงตกลงไปในทะเลสาบ โดยมีผู้พบเห็นอยู่ใกล้ ๆ ด้วย

เหตุการณ์ที่โด่งดังมากที่สุด คือ "เหตุการณ์ที่ท่าเรือแช็ก" (Shag Harbour Incident) ขอเล่าสั้นๆ ก่อน แล้วอาจจะเล่าโดยละเอียดในวันเสาร์หน้าครับ...

ในปีพ.ศ.2510 มียูเอฟโอได้บินไปตกที่ท่าเรือแช็ก,โนว่า สโกเชีย ยานนั้นมีความยาวประมาณถึง 60 ฟุต (18 เมตร) มีรายงานด้วยว่ามันโฉบลงและกระพริบไฟสีส้ม จากนั้นก็เอียงทำมุมประมาณ 45 องศาและจมลงสู่น้ำ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับการแจ้งเตือนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีรายงานว่ามีแสงสีเหลืองในน้ำที่เคลื่อนที่และทิ้งร่องรอยของโฟมสีเหลือง หน่วยยามฝั่งแคนาดาถูกส่งไป แต่พอพวกเขาไปถึงพร้อมกับเรืออื่น ๆ ณ จุดที่ตก ก็มีแต่โฟมสีเหลืองลอยอยู่เป็นทาง

ข้อมูลจากเว็บต่างประเทศ http://www.tarrdaniel.com/documents/Ufology/uso.html MC แปลเองอมยิ้ม36

พบกันใหม่ เสาร์อาทิตย์หน้าครับ หัวใจดอกไม้
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 27
ขอบคุณ MC พี่แอ๊ดค่ะ ที่แปลเรื่อง USO มาให้อ่าน สุดยอดเลยค่ะ เยี่ยมเยี่ยมเยี่ยม

เพิ่งเคยได้ยิน USO นี่แหละ ไปลองหามาเพิ่มค่ะ

กองทัพเรือฟินแลนด์พบเรือดำน้ำไม่ปรากฎสัญชาติใกล้ Helsinki

กองทัพเรือฟินแลนด์ตรวจพบความเคลื่อนไหวของวัตถุใต้น้ำในน่านน้ำใกล้เมืองหลวง Helsinki ซึ่งเป็นทะเลอาณาเขตของฟินแลนด์ตั้งแต่วันที่ 27 เมษายนที่ผ่านมา และมีการตรวจพบวัตถุใต้น้ำเป็นครั้งที่สองในวันที่ 28 เมษายนนั้น

กองทัพเรือฟินแลนด์ได้มีการใช้ระเบิดลึกแรงกระแทกต่ำ( Low-Impact Depth Charge) ซึ่งเป็นระเบิดลึกขนาดเล็กใช้วัตถุระเบิดหนักราว 1kg จุดระเบิดใต้น้ำ

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการเตือนวัตถุใต้น้ำซึ่งน่าจะเป็นเรือดำน้ำไม่ปรากฎสัญชาติดังกล่าวโดยไม่สร้างความเสียหายแก่ตัวเรือ แต่อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบปฏิบัติการของกองทัพเรือฟินแลนด์ ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าวัตถุใต้น้ำดังกล่าวน่าจะเป็นเรือดำน้ำไม่ปรากฎสัญชาติหรือไม่

ทั้งนี้เจ้าหน้าที่กองทัพเรือฟินแลนด์กำลังวิเคราะห์และสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาหลายวันถึงสัปดาห์ในการสรุปข้อมูล



แผนที่ประเทศฟินแลนด์ แสดงให้เห็นว่าเมืองหลวง Helsinki ตั้งอยู่ตอนบนของอ่าวฟินแลนด์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเล Baltic โดยมีพรมแดนติดกับเอสโตเนียคือเมืองหลวง Tallinn และมหานคร Saint Petersburg ของรัสเซีย

โดยอ่าวฟินแลนด์มีพื้นที่ราว 30,000ตารางกิโลเมตร มีระดับความลึกเฉลี่ยเพียง 38m และลึกสุด 115m เท่านั้น
กองเรือ Baltic ของกองทัพเรือรัสเซียนั้น ฐานทัพเรือ Leningrad ที่เมืองท่า Kronstadt ห่างจากมหานคร Saint Petersburg ทางตะวันตก 30km มี

เรือดำน้ำดีเซลไฟฟ้าประจำการอยู่อย่างน้อย 1-2ลำคือ เรือดำน้ำชั้น Project 877 Kilo 2ลำคือ B-227 Vyborg และ Project 877EKM Kilo B-806



1.ตรวจพบวัถตุใต้น้ำครั้งแรก 1100 เวลาท้องถิ่น วันที่ 27 เมษายน 2015
2.ตรวจพบวัถตุใต้น้ำครั้งที่สอง 0130 ตามเวลาท้องถิ่น วันที่ 27 เมษายน 2015 โดยเรือวางทุ่นระเบิดชั้น Hameenmaa ชื่อ Uusimaa พร้อมเรือเร็วโจมตีติดอาวุธปล่อยนำวิถีชั้น Hamina ชื่อ Hanko และเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งหน่วยยามฝั่ง Turva

3.แจ้งเตือนวัตถุต้องสงสัยใต้น้ำโดยการทิ้งระเบิดลึกในเวลาท้องถิ่น 0300

ทั้งนี้ฟินแลนด์เป็นประเทศเป็นกลางที่มีพรมแดนทางทะเลในทะเล Baltic ติดกับรัสเซียที่กำลังอยู่ระหว่างการซ้อมรบในพื้นที่ภาคตะวันตก
ซึ่งในช่วงหลังจากวิกฤตการณ์ยูเครนปี 2014 เป็นต้นมา ฟินแลนด์เผชิญการคุกคามจากรัสเซียบ่อยครั้งมากขึ้น เช่นการล้ำน่านฟ้าของอากาศยานรัสเซีย

และล่าสุดคือการตรวจพบเรือดำน้ำใกล้เมืองหลวง Helsinki นั้นถ้าเป็นเรือดำน้ำรัสเซียจริงย่อมเป็นการแสดงภัยคุกคามด้านความมั่นคงต่อฟินแลนด์อย่างมาก

ซึ่งขณะนี้กองทัพฟินแลนด์กำลังเตรียมพร้อมป้องกันประเทศโดยใช้ยุทโธปกรณ์เฝ้าระวังภัยคุกคามในขั้นสูงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น



ขอบคุณที่มา
http://aagth1.blogspot.com/2015/04/helsinki.html วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2558
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  การ์ตูนการเมือง
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่