บทความดีๆ ที่อยากให้อ่านกันค่ะ
ธีรพงศ์ เธียรพัฒนพล
January 1 ·
ความลับของเศรษฐี EP3
สวัสดีปีใหม่ครับ ผมนั่งเขียนบทความตอนจบนี้ข้ามปีเลยทีเดียวครับ เขียนเสร็จตอนเที่ยงคืนพอดี เขียนเสร็จปุ๊บได้ยินเสียงพลุดังกึกก้องฉลองปีใหม่ ราวกับว่ากำลังฉลองที่ผมเขียนเสร็จเลยครับ 555
ครั้งก่อนผมติดค้างทุกท่านเอาไว้ว่าผมจะมาเฉลยให้ฟังว่าผมค้นพบอะไรจากการที่เริ่มก็อปปี้คนรวยครั้งแรกด้วยการตัดผมครั้งละ 1,300 บาท
อย่างแรกเลยผมพบว่าเตียงที่นอนสระผมมันช่างสบายอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน
ผมพบว่าผ้าที่เค้าเอามาปิดหน้าผมเวลาสระผมมันช่างนุ่ม และหอมอะไรเช่นนี้
ผมพบว่าแชมพูที่เค้าใช้สระให้ผมมันช่างหอมสดชื่นอย่างประหลาด
ผมพบว่าช่างที่ตัดให้ผมทะนุถนอมผมของผมราวกับมันเป็นของมีค่า
ผมบอกกับตัวเองทันทีว่าชีวิตผม และคนที่ผมรักมันต้องได้แบบนี้สิน้อยกว่านี้ไม่ได้
และที่สำคัญที่สุด การตัดผมครั้งนั้นมันทำให้ผมค้นพบความหมายของคำๆหนึ่งซึ่งทรงพลังอย่างยิ่ง นั่นคือคำว่า “ยิ่งให้..ยิ่งได้รับ”
นี่แหละครับคือความลับของคนรวยที่ผมจะเฉลยให้ทราบ
“ยิ่งให้..ยิ่งได้รับ” คำนี้ผมเคยได้ยินมานานมากแล้ว แต่ความหมายที่แท้จริงเป็นอย่างไรเพิ่งจะรู้วันนี้เอง
สำหรับผม “การให้” มี 3 ระดับคือ
1.ให้ตัวเอง
2.ให้คนที่เรารัก
3.ให้กับผู้อื่น
ถ้าคุณผ่านด่านการให้ทั้ง 3 ระดับนี้แล้วชาตินี้ไม่ต้องกลัวจนอีกเลยครับ มีแต่จะมั่งคั่งร่ำรวยขึ้น ผมพิสูจน์มาแล้วด้วยตัวเอง
การให้ขั้นพื้นฐานคือคุณต้องเริ่มที่การ “ให้ตัวเอง” ครับคุณต้องกล้าที่จะให้สิ่งที่ดีที่สุดกับตัวเองก่อน เพราะถ้ากับตัวเองยังไม่กล้าให้ คุณจะไม่มีทางก้าวไปขั้นที่ 2 หรือ 3 ได้อย่างแน่นอน
คุณต้องกล้าที่จะปรนเปรอตัวเอง ตัวคุณเองต้องมีความสุข คุณต้องให้รางวัลตัวเองเมื่อคุณทำอะไรสำเร็จ แม้จะเป็นความสำเร็จเพียงเล็กน้อยก็ตาม
ไม่จำเป็นต้องรางวัลใหญ่โตอะไรครับ อาจจะเพียงแค่อาหารดีๆสักมื้อ หรือแม้กระทั่งน้ำเย็นๆสักขวดก็ยังได้เลย สำคัญคือคุณต้องให้รางวัลตัวเอง ให้บ่อยๆให้มากขึ้นเรื่อยๆตามลำดับขั้นความสำเร็จ
ทำไมต้องทำแบบนี้?
เมื่อคุณให้รางวัลกับตัวเองคุณจะเกิดความภาคภูมิใจ สมองจะแจ่มใส จิตใจจะเบิกบาน ผมขอใช้คำว่า “ใจสมดุลย์” และเมื่อใจเราสมดุลย์โลกจะดึงดูดเรื่องดีๆจะเข้ามา
เศรษฐีทุกคนรู้ความลับเรื่องนี้ครับ พวกเค้าจะให้รางวัลตัวเองเสมอๆ ส่วนใหญ่เป็นของมีค่าอย่างนาฬิกา หรือรถยนต์หรูๆ และเมื่อพวกเค้าขับมัน หรือสวมใส่มัน ใจพวกเค้าจะสมดุลย์ และเมื่อใจสมดุลย์พวกเค้าจะยิ่งมั่งคั่งร่ำรวยขึ้นอีก
อ้อ..อีกอย่างเศรษฐีซื้อนาฬิกานอกจากให้รางวัลตัวเองแล้ว มันยังเป็นการลงทุนครับ ไม่ใช่เอาไว้ใส่เท่ๆอย่างเดียว นาฬิกาที่พวกเค้าซื้อราคาขึ้นทุกปีครับ ผมขอยืนยันว่าพวกเค้าไม่โง่ครับ อิอิ
ผมอยากให้คุณลองก็อปปี้เศรษฐีดูบ้างเริ่มจากบางอย่างที่ไม่เดือดร้อนครอบครัว อะไรก็ได้ที่คุณพอจ่ายไหว แต่ไม่ใช่พยายามก็อปปี้จนเกินตัวแบบไร้สติ
อาจจะเป็นการลองตัดผมในร้านที่เศรษฐีชอบไปตัดแบบที่ผมทำก็ได้ หรืออาจจะลองไปทานอาหารร้านหรูๆที่ไม่เคยกล้าเข้าดูสักครั้ง ลองไปสัมผัสรสชาติของความวีไอพีดูบ้างว่ามันเป็นอย่างไร รู้สึกอย่างไร ไม่เอาแบบที่คนอื่นจ่ายให้นะครับมันไม่ได้ผล คุณต้องกล้าที่จะจ่ายเพื่อได้รับครับ หรือว่าลองนั่งเครื่องบินในชั้นบิสซิเนส คลาสในประเทศดูก็ไม่เลวนะครับ
ผมนั่งประจำจ่ายแพงกว่าไม่กี่พันแต่ผมว่าคุ้มค่า ได้ใช้เล้าท์ มีอาหาร-เครื่องดื่มให้ทานระหว่างรอขึ้นเครื่อง คุณจะได้ขึ้น และลงเครื่องก่อนคนอื่น ได้รับกระเป๋าก่อนคนอื่น ประหยัดเวลาได้เยอะเลยทีเดียว ผมเอาเวลาที่ประหยัดได้ไปหาเงินได้มากกว่าที่จ่ายเพิ่มไม่กี่พันบาทอีก แถมบนเครื่องยังได้รับการปฏิบัติแบบวีไอพี ที่นั่งสบายกว้างขวางไม่ต้องนั่งเบียดๆกัน โอยคุ้มครับ ใจสมดุลย์สุดๆ ต้องลองครับต้องลอง 555
เมื่อเราให้ตัวเองแล้ว การให้ขั้นต่อมาคือ “ให้คนที่เรารัก” ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ ภรรยา ลูก ฯลฯ ต้องให้เค้าไม่น้อยไปกว่าที่เราให้กับตัวเองครับ สำคัญมากนะครับ ต้องให้คนที่เรารักไม่น้อยไปกว่าที่เราให้ตัวเอง ให้มากกว่ายิ่งดี ผมให้ภรรยา และลูกมากกว่าให้ตัวเองเสมอ ไม่ใช่เราสุขสบายอยู่คนเดียวแต่ลูกเมียลำบากแบบนี้ออกแนวเห็นแก่ตัว โลกจะไม่มอบสิ่งดีๆให้กับคนแบบนี้ครับ
ต่อมานี่เรียกว่าการให้ขั้นสุดนั้นคือ “ให้กับผู้อื่น” ครับ
ผมเคยสงสัยมากๆว่าเพราะอะไรอภิมหาเศรษฐีของโลกถึงชอบบริจาคให้กับสาธารณะกันจัง แล้วไม่ได้บริจาคน้อยๆ แต่ให้กันถึง 80-90% ของทรัพย์สินที่มีกันเลยทีเดียว อะไรทำให้พวกเค้าทำแบบนั้น
บางคนอาจจะคิดว่าก็พวกเค้ามีจนล้นแล้วไงใช้เท่าไหร่ก็ไม่หมดเค้าถึงได้บริจาค แต่ผมว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้น วิธีคิดของพวกเค้าไม่น่าจะตื้นเขินแบบนี้
แต่คิดเท่าไหร่ผมก็คิดไม่ออกสักที และตามสไตล์ผมครับ ในเมื่อคิดไม่ออกก็ไม่ต้องคิด ก็อปปี้

เลยแล้วกัน นั่นเป็นเหตุผลที่เมื่อเร็วๆนี้ผมบริจาคเงินให้กับโครงการก้าวคนละก้าวของตูน บอดี้แสลมเป็นเงินจำนวน 999,999.99 บาทดังที่หลายๆท่านได้ทราบ
ตอนแรกผมตั้งใจว่าจะซื้อนาฬิกาให้ตัวเองอีกซักเรือนเป็นของขวัญปีใหม่ เป็นรางวัลให้กับตัวเองหลังจากเหนื่อยมาทั้งปีใจจะได้สมดุลย์เหมือนที่เคยทำทุกครั้ง
ก่อนตัดสินใจบริจาคผมชั่งใจอยู่นานว่าจะทำเพื่อตัวเอง หรือทำเพื่อคนอื่นดี
1 ล้านบาทหากอยู่กับผมมันอาจเป็นแค่นาฬิกาเรือนเดียวเก็บอยู่ในตู้นานๆผมจะหยิบมาใส่สักที แต่หากเงินก้อนเดียวกันนี้ได้นำไปช่วยโรงพยาบาลที่ขาดแคลนอาจช่วยชีวิตคนได้เป็นร้อยเป็นพันคน
คิดได้แบบนี้ผมตัดสินใจไม่ทำเพื่อตัวเองครับ ผมจะลองเสียสละทำเพื่อคนอื่นดูบ้าง ตอนแรกมันมีเสียงในหัวบอกว่าก็ซื้อนาฬิกาสิให้รางวัลตัวเองก็สำคัญนะ บริจาคซักแสนนึงก็พอ
จริงๆแล้วเรื่องบริจาคนี่ผมทำเป็นประจำอยู่แล้วครับคนที่รู้จักผมจะทราบดี แต่ผมอยากรู้ว่าถ้าบริจาคในจำนวนเงินที่มันบีบหัวใจเราจะเอาชนะใจตัวเองได้หรือเปล่า อารมณ์เดียวกับตอนตัดสินใจซื้อนาฬิกาเรือนละ 1 ล้านบาทครั้งแรกเลยครับ
หลังจากได้บริจาคไปแล้วผมรู้เลยครับว่าทำไมอภิมหาเศรษฐีเหล่านั้นถึงได้บริจาคเงินกันเป็นว่าเล่น ก็มันมีความสุขไง เป็นความสุขแบบที่ผมไม่สามารถอธิบายเป็นตัวอักษรได้ มันเกินกว่าคำว่า “ใจสมดุลย์” ไปอีกครับ
คราวนี้ทุกครั้งที่ผมจ่ายเงินผมคิดเสมอว่าผมกำลังบริจาคให้กับอะไรสักอย่างเช่น เมื่อผมจ่ายเงินค่าอาหารผมก็คิดว่าผมกำลังบริจาคเงินอยู่ ผมจะคิดว่าเงินที่ผมจ่ายไปมันกำลังเดินทางช่วยใครอยู่บ้าง ค่าอาหารที่ผมจ่ายไปส่วนหนึ่งมันจะกลายเป็นเงินเดือนของพนักงานในร้าน เมื่อพนักงานของร้านรับเงินเดือนเค้าจะเอาไปเลี้ยงครอบครัว เค้าอาจจะเอาไปซื้อของเล่นให้ลูก หรืออาจเอาไปรักษาแม่ที่กำลังป่วย คิดไปเรื่อยเลยครับ เพราะมันมีความสุขไง ผมกำลังเสพติดความสุขจากการบริจาคครับ 555
ตอนนี้ผมเชื่อมั่นอย่างที่สุดว่าจากนี้เป็นต้นไปผมได้ก้าวข้ามความจนไปแล้วตลอดกาล เพราะผมค้นพบความลับของมหาเศรษฐี
“ยิ่งให้..ยิ่งได้รับ”
ขอให้ปีใหม่นี้เป็นปีที่ดีที่สุดของทุกคนนะครับ
ธีรพงศ์ เธียรพัฒนพล
เครดิต
https://www.facebook.com/TrapongsGenX/posts/1648940831833375
"ความลับของเศรษฐี EP3" บทความดีๆ ที่อยากให้อ่านค่ะ / น้ำมิตร
ธีรพงศ์ เธียรพัฒนพล
January 1 ·
ความลับของเศรษฐี EP3
สวัสดีปีใหม่ครับ ผมนั่งเขียนบทความตอนจบนี้ข้ามปีเลยทีเดียวครับ เขียนเสร็จตอนเที่ยงคืนพอดี เขียนเสร็จปุ๊บได้ยินเสียงพลุดังกึกก้องฉลองปีใหม่ ราวกับว่ากำลังฉลองที่ผมเขียนเสร็จเลยครับ 555
ครั้งก่อนผมติดค้างทุกท่านเอาไว้ว่าผมจะมาเฉลยให้ฟังว่าผมค้นพบอะไรจากการที่เริ่มก็อปปี้คนรวยครั้งแรกด้วยการตัดผมครั้งละ 1,300 บาท
อย่างแรกเลยผมพบว่าเตียงที่นอนสระผมมันช่างสบายอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน
ผมพบว่าผ้าที่เค้าเอามาปิดหน้าผมเวลาสระผมมันช่างนุ่ม และหอมอะไรเช่นนี้
ผมพบว่าแชมพูที่เค้าใช้สระให้ผมมันช่างหอมสดชื่นอย่างประหลาด
ผมพบว่าช่างที่ตัดให้ผมทะนุถนอมผมของผมราวกับมันเป็นของมีค่า
ผมบอกกับตัวเองทันทีว่าชีวิตผม และคนที่ผมรักมันต้องได้แบบนี้สิน้อยกว่านี้ไม่ได้
และที่สำคัญที่สุด การตัดผมครั้งนั้นมันทำให้ผมค้นพบความหมายของคำๆหนึ่งซึ่งทรงพลังอย่างยิ่ง นั่นคือคำว่า “ยิ่งให้..ยิ่งได้รับ”
นี่แหละครับคือความลับของคนรวยที่ผมจะเฉลยให้ทราบ
“ยิ่งให้..ยิ่งได้รับ” คำนี้ผมเคยได้ยินมานานมากแล้ว แต่ความหมายที่แท้จริงเป็นอย่างไรเพิ่งจะรู้วันนี้เอง
สำหรับผม “การให้” มี 3 ระดับคือ
1.ให้ตัวเอง
2.ให้คนที่เรารัก
3.ให้กับผู้อื่น
ถ้าคุณผ่านด่านการให้ทั้ง 3 ระดับนี้แล้วชาตินี้ไม่ต้องกลัวจนอีกเลยครับ มีแต่จะมั่งคั่งร่ำรวยขึ้น ผมพิสูจน์มาแล้วด้วยตัวเอง
การให้ขั้นพื้นฐานคือคุณต้องเริ่มที่การ “ให้ตัวเอง” ครับคุณต้องกล้าที่จะให้สิ่งที่ดีที่สุดกับตัวเองก่อน เพราะถ้ากับตัวเองยังไม่กล้าให้ คุณจะไม่มีทางก้าวไปขั้นที่ 2 หรือ 3 ได้อย่างแน่นอน
คุณต้องกล้าที่จะปรนเปรอตัวเอง ตัวคุณเองต้องมีความสุข คุณต้องให้รางวัลตัวเองเมื่อคุณทำอะไรสำเร็จ แม้จะเป็นความสำเร็จเพียงเล็กน้อยก็ตาม
ไม่จำเป็นต้องรางวัลใหญ่โตอะไรครับ อาจจะเพียงแค่อาหารดีๆสักมื้อ หรือแม้กระทั่งน้ำเย็นๆสักขวดก็ยังได้เลย สำคัญคือคุณต้องให้รางวัลตัวเอง ให้บ่อยๆให้มากขึ้นเรื่อยๆตามลำดับขั้นความสำเร็จ
ทำไมต้องทำแบบนี้?
เมื่อคุณให้รางวัลกับตัวเองคุณจะเกิดความภาคภูมิใจ สมองจะแจ่มใส จิตใจจะเบิกบาน ผมขอใช้คำว่า “ใจสมดุลย์” และเมื่อใจเราสมดุลย์โลกจะดึงดูดเรื่องดีๆจะเข้ามา
เศรษฐีทุกคนรู้ความลับเรื่องนี้ครับ พวกเค้าจะให้รางวัลตัวเองเสมอๆ ส่วนใหญ่เป็นของมีค่าอย่างนาฬิกา หรือรถยนต์หรูๆ และเมื่อพวกเค้าขับมัน หรือสวมใส่มัน ใจพวกเค้าจะสมดุลย์ และเมื่อใจสมดุลย์พวกเค้าจะยิ่งมั่งคั่งร่ำรวยขึ้นอีก
อ้อ..อีกอย่างเศรษฐีซื้อนาฬิกานอกจากให้รางวัลตัวเองแล้ว มันยังเป็นการลงทุนครับ ไม่ใช่เอาไว้ใส่เท่ๆอย่างเดียว นาฬิกาที่พวกเค้าซื้อราคาขึ้นทุกปีครับ ผมขอยืนยันว่าพวกเค้าไม่โง่ครับ อิอิ
ผมอยากให้คุณลองก็อปปี้เศรษฐีดูบ้างเริ่มจากบางอย่างที่ไม่เดือดร้อนครอบครัว อะไรก็ได้ที่คุณพอจ่ายไหว แต่ไม่ใช่พยายามก็อปปี้จนเกินตัวแบบไร้สติ
อาจจะเป็นการลองตัดผมในร้านที่เศรษฐีชอบไปตัดแบบที่ผมทำก็ได้ หรืออาจจะลองไปทานอาหารร้านหรูๆที่ไม่เคยกล้าเข้าดูสักครั้ง ลองไปสัมผัสรสชาติของความวีไอพีดูบ้างว่ามันเป็นอย่างไร รู้สึกอย่างไร ไม่เอาแบบที่คนอื่นจ่ายให้นะครับมันไม่ได้ผล คุณต้องกล้าที่จะจ่ายเพื่อได้รับครับ หรือว่าลองนั่งเครื่องบินในชั้นบิสซิเนส คลาสในประเทศดูก็ไม่เลวนะครับ
ผมนั่งประจำจ่ายแพงกว่าไม่กี่พันแต่ผมว่าคุ้มค่า ได้ใช้เล้าท์ มีอาหาร-เครื่องดื่มให้ทานระหว่างรอขึ้นเครื่อง คุณจะได้ขึ้น และลงเครื่องก่อนคนอื่น ได้รับกระเป๋าก่อนคนอื่น ประหยัดเวลาได้เยอะเลยทีเดียว ผมเอาเวลาที่ประหยัดได้ไปหาเงินได้มากกว่าที่จ่ายเพิ่มไม่กี่พันบาทอีก แถมบนเครื่องยังได้รับการปฏิบัติแบบวีไอพี ที่นั่งสบายกว้างขวางไม่ต้องนั่งเบียดๆกัน โอยคุ้มครับ ใจสมดุลย์สุดๆ ต้องลองครับต้องลอง 555
เมื่อเราให้ตัวเองแล้ว การให้ขั้นต่อมาคือ “ให้คนที่เรารัก” ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ ภรรยา ลูก ฯลฯ ต้องให้เค้าไม่น้อยไปกว่าที่เราให้กับตัวเองครับ สำคัญมากนะครับ ต้องให้คนที่เรารักไม่น้อยไปกว่าที่เราให้ตัวเอง ให้มากกว่ายิ่งดี ผมให้ภรรยา และลูกมากกว่าให้ตัวเองเสมอ ไม่ใช่เราสุขสบายอยู่คนเดียวแต่ลูกเมียลำบากแบบนี้ออกแนวเห็นแก่ตัว โลกจะไม่มอบสิ่งดีๆให้กับคนแบบนี้ครับ
ต่อมานี่เรียกว่าการให้ขั้นสุดนั้นคือ “ให้กับผู้อื่น” ครับ
ผมเคยสงสัยมากๆว่าเพราะอะไรอภิมหาเศรษฐีของโลกถึงชอบบริจาคให้กับสาธารณะกันจัง แล้วไม่ได้บริจาคน้อยๆ แต่ให้กันถึง 80-90% ของทรัพย์สินที่มีกันเลยทีเดียว อะไรทำให้พวกเค้าทำแบบนั้น
บางคนอาจจะคิดว่าก็พวกเค้ามีจนล้นแล้วไงใช้เท่าไหร่ก็ไม่หมดเค้าถึงได้บริจาค แต่ผมว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้น วิธีคิดของพวกเค้าไม่น่าจะตื้นเขินแบบนี้
แต่คิดเท่าไหร่ผมก็คิดไม่ออกสักที และตามสไตล์ผมครับ ในเมื่อคิดไม่ออกก็ไม่ต้องคิด ก็อปปี้
ตอนแรกผมตั้งใจว่าจะซื้อนาฬิกาให้ตัวเองอีกซักเรือนเป็นของขวัญปีใหม่ เป็นรางวัลให้กับตัวเองหลังจากเหนื่อยมาทั้งปีใจจะได้สมดุลย์เหมือนที่เคยทำทุกครั้ง
ก่อนตัดสินใจบริจาคผมชั่งใจอยู่นานว่าจะทำเพื่อตัวเอง หรือทำเพื่อคนอื่นดี
1 ล้านบาทหากอยู่กับผมมันอาจเป็นแค่นาฬิกาเรือนเดียวเก็บอยู่ในตู้นานๆผมจะหยิบมาใส่สักที แต่หากเงินก้อนเดียวกันนี้ได้นำไปช่วยโรงพยาบาลที่ขาดแคลนอาจช่วยชีวิตคนได้เป็นร้อยเป็นพันคน
คิดได้แบบนี้ผมตัดสินใจไม่ทำเพื่อตัวเองครับ ผมจะลองเสียสละทำเพื่อคนอื่นดูบ้าง ตอนแรกมันมีเสียงในหัวบอกว่าก็ซื้อนาฬิกาสิให้รางวัลตัวเองก็สำคัญนะ บริจาคซักแสนนึงก็พอ
จริงๆแล้วเรื่องบริจาคนี่ผมทำเป็นประจำอยู่แล้วครับคนที่รู้จักผมจะทราบดี แต่ผมอยากรู้ว่าถ้าบริจาคในจำนวนเงินที่มันบีบหัวใจเราจะเอาชนะใจตัวเองได้หรือเปล่า อารมณ์เดียวกับตอนตัดสินใจซื้อนาฬิกาเรือนละ 1 ล้านบาทครั้งแรกเลยครับ
หลังจากได้บริจาคไปแล้วผมรู้เลยครับว่าทำไมอภิมหาเศรษฐีเหล่านั้นถึงได้บริจาคเงินกันเป็นว่าเล่น ก็มันมีความสุขไง เป็นความสุขแบบที่ผมไม่สามารถอธิบายเป็นตัวอักษรได้ มันเกินกว่าคำว่า “ใจสมดุลย์” ไปอีกครับ
คราวนี้ทุกครั้งที่ผมจ่ายเงินผมคิดเสมอว่าผมกำลังบริจาคให้กับอะไรสักอย่างเช่น เมื่อผมจ่ายเงินค่าอาหารผมก็คิดว่าผมกำลังบริจาคเงินอยู่ ผมจะคิดว่าเงินที่ผมจ่ายไปมันกำลังเดินทางช่วยใครอยู่บ้าง ค่าอาหารที่ผมจ่ายไปส่วนหนึ่งมันจะกลายเป็นเงินเดือนของพนักงานในร้าน เมื่อพนักงานของร้านรับเงินเดือนเค้าจะเอาไปเลี้ยงครอบครัว เค้าอาจจะเอาไปซื้อของเล่นให้ลูก หรืออาจเอาไปรักษาแม่ที่กำลังป่วย คิดไปเรื่อยเลยครับ เพราะมันมีความสุขไง ผมกำลังเสพติดความสุขจากการบริจาคครับ 555
ตอนนี้ผมเชื่อมั่นอย่างที่สุดว่าจากนี้เป็นต้นไปผมได้ก้าวข้ามความจนไปแล้วตลอดกาล เพราะผมค้นพบความลับของมหาเศรษฐี “ยิ่งให้..ยิ่งได้รับ”
ขอให้ปีใหม่นี้เป็นปีที่ดีที่สุดของทุกคนนะครับ
ธีรพงศ์ เธียรพัฒนพล
เครดิต https://www.facebook.com/TrapongsGenX/posts/1648940831833375