"เปิดเบื้องลึก ๔ ศาสตรา: กูเกิ้ล เฟสบุ๊ค แอปเปิ้ล อเมซอน"

“กูเกิ้ล เฟสบุ๊ค แอปเปิ้ล อเมซอน ในมุมที่เราคาดไม่ถึง”


เมื่อกล่าวถึงกูเกิ้ล เฟสบุ๊ค แอปเปิ้ล และอเมซอน เรามักจะนึกถึงความยิ่งใหญ่ของบริษัทผู้พัฒนาเทคโนโลยีระดับโลกที่นำเสนอนวัตกรรมและบริการดีๆ ให้แก่ผู้บริโภคอย่างเราได้ใช้ เรียกได้ว่าตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งในขณะนอนหลับกันเลยทีเดียว

ในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับพวกเค้าในอีกแง่มุมหนึ่งที่เราอาจจะไม่เคยนึกถึงมาก่อน แน่นอน อาจจะเป็นด้านมืดหรือด้านเทาๆ ก็แล้วแต่จะเรียกกัน ทั้งในเรื่องของการขยายอิทธิพลไปทั่วโลก กลยุทธ์สุดล้ำที่มุ่งการเข้าถึงสัญชาตญาณดิบของมนุษย์ โมเดลธุรกิจชั้นเลิศที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน และความท้าทายบางอย่างของพวกเค้าในอนาคต

แต่ละบริษัททำเงินจากอะไร

แน่นอน ขึ้นชื่อว่าเป็นธุรกิจ ก็ย่อมต้องมีผลตอบแทนหรือกำไรให้คุ้มค่ากับการลงทุน บริษัทยักษ์ใหญ่ 4 แห่งนี้ก็เช่นกัน ย่อมมีรายได้มหาศาลจากสุดยอดนวัตกรรมที่เราใช้กัน เรามาดูกันว่าแต่ละบริษัทมีรายได้หลักๆ จากสินค้าหรือบริการอะไรบ้าง

กูเกิ้ล : รายได้ 88% มาจากค่าโฆษณา
เฟสบุ๊ค : รายได้ 97% มาจากค่าโฆษณา
แอปเปิ้ล : รายได้ 63% มาจากไอโฟน อีก 20% มาจากไอแพดและแม็คพีซี
อเมซอน : รายได้ 72% มาจากการขายสินค้า และ 18% มาจากธุรกิจสื่อ

4 ผู้ทรงอิทธิพลของโลก

ด้วยความที่ทั้ง 4 บริษัทมีขนาดใหญ่มหึมา มูลค่าตลาดของทั้ง 4 บริษัทรวมกัน แซงหน้าจีดีพีของทั้งประเทศอินเดียมาตั้งแต่ปี 2008 แล้ว จนถึงวันนี้ พวกเค้ามีบทบาทสำคัญมากอย่างที่เราคาดไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตส่วนตัวและความเป็นไปของสังคมโดยรวม

ในทุกวันนี้ผู้คนในหลายประเทศแทบจะใช้ชีวิตอยู่ไม่ได้ถ้าขาดบริการของธุรกิจเหล่านี้ และสิ่งที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ บริษัทเหล่านี้เก็บข้อมูลมหาศาลจากผู้ใช้อย่างเราๆ ทั้งในการดำเนินชีวิต ความสนใจ สถานที่ที่เราเดินทาง อาหารที่เรากิน ของที่เราเลือกใช้ ฯลฯ เรียกได้ว่ารู้จักพวกเราดียิ่งกว่าบริษัทใดๆ ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติที่ผ่านมาเสียอีก บางคนถึงขนาดเปรียบว่า ทั้ง 4 บริษัทเปรียบเสมือนเป็นสุดยอดผู้นำหรือรัฐบาลของโลกที่มีทั้งเงินและอำนาจอยู่ในมืออย่างไม่จำกัด โดยสามารถนำมาก่อให้เกิดผลอะไรอย่างที่พวกเค้าต้องการก็ได้เลยทีเดียว

อย่างเมื่อปลายปี 2016 จะเห็นได้ว่า พาดหัวข่าวในเฟสบุ๊คและกูเกิ้ลสามารถกระทบต่อผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ และเมื่อหันมามองทางด้านการทำมาค้าขาย บริษัทเหล่านี้ก็เข้ามาเป็นตัวกำหนดรูปแบบการทำธุรกิจของร้านค้ารายย่อยต่างๆ รวมถึงการจ้างงานของธุรกิจต่างๆ ด้วย

อีกเรื่องสำคัญคือ บรรดา 4 เจ้าใหญ่นี้ต่างก็มีโปรเจคเกี่ยวกับการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence: AI) ซึ่งก็จะมีผลต่อแนวโน้มการทำธุรกิจหรือจ้างงานของบริษัทต่างๆ จนกระทั่งการทำธุรกิจแบบดั้งเดิมที่เราเห็นๆ กันอยู่ทุกวันนี้ ก็จะต้องเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปเรื่อยๆ ตามแต่เทคโนโลยีที่บริษัทเหล่านี้คิดค้นขึ้นมา

กูเกิ้ล เฟสบุ๊ค แอปเปิ้ล และอเมซอน ยังรับบทบาทเสมือนเป็นรัฐบาลของประเทศใหญ่ๆ อย่างอเมริกาที่กำลังสร้างสรรค์ระบบการขนส่งแห่งอนาคตทั้งในอเมริกาและแผ่ขยายไปทั่วโลก อย่างที่เรารู้ว่าพวกเค้าต่างกำลังพยายามพัฒนารถยนต์ที่ขับขี่ได้เองโดยไร้คนขับ และกำลังสร้างโดรนที่ล้ำสมัย อย่างบริษัทอเมซอนเองก็มีทั้งกองทัพเครื่องบินและโดรนจำนวนมหาศาล เรียกได้ว่าอเมซอนเป็นเจ้าของธุรกิจขนส่งที่ล้ำหน้าแห่งหนึ่ง แน่นอนว่าพวกเราจะต้องถูกกระทบจากธุรกิจและการของบริษัทเหล่านี้ไม่ว่าวันใดก็วันหนึ่ง อย่างในอนาคตเราอาจจะเริ่มเห็นรูปแบบการขนส่งสินค้าใหม่ๆ ที่นำระบบหรือเทคโนโลยีมาจากบริษัทเหล่านี้

โจมตีจุดอ่อนของสัญชาตญาณมนุษย์

เราเคยรู้ไหมว่าทั้ง กูเกิ้ล เฟสบุ๊ค แอปเปิ้ล และอเมซอน ต่างก็ใช้ดูกลยุทธ์สุดล้ำในการตอบโจทย์ความต้องการตามสัญชาตญาณดิบของมนุษย์อย่างเราๆ กันทั้งนั้น

กูเกิ้ลช่วยเราตอบสนองความต้องการที่จะเป็นผู้วิเศษที่รู้ไปหมด ตอบคำถามได้สารพัดเรื่อง หรือกูเกิ้ลได้พยายามมอบอำนาจศักดิ์สิทธิ์ในการหาคำตอบกับทุกคำถามบนโลกใบนี้ ในสมัยรุ่นปู่ย่าตายาย แทบทุกครั้งที่มีลูกคนไหนป่วยหนักโดยไม่ทราบอาการหรือโรคที่แน่ชัด คนที่เป็นพ่อแม่อาจต้องประนมมือขึ้นเหนือหัวแล้วภาวนาถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพว่า ขอให้ลูกหายเป็นปกติไวๆ ด้วยเถิดเจ้าพระคู้น..แล้วก็ประคับประคองไปตามอาการโดยไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันแน่ แต่ทุกวันนี้เวลาเด็กป่วยเป็นอะไร ยังไม่ทันได้ไปหาหมอ เราแค่กรอกอาการป่วยต่างๆ โดยละเอียดลงไปในช่องค้นหาของกูเกิ้ล ‘อากู๋’ ก็ทำหน้าที่เหมือนคุณหมอที่บอกได้หมดว่า ที่เขียนมานั้นเป็นอาการของโรคอะไร ต้องจ่ายยาอะไร โดสละเท่าไหร่ ซื้อที่ไหน ต้องดูแลรักษาอย่างไรบ้าง ฯลฯ เราจะเห็นได้ว่าเรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นที่ไหนมาก่อนในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ!

ส่วนเฟลบุ๊คนั้น ก็หันมาเล่นกับสัญชาติญาณดิบของมนุษย์ที่มีความต้องการเป็นที่รักของผู้อื่นและความต้องการแสดงความรักต่อผู้อื่นด้วย เพียงใช้รูปภาพต่างๆ พร้อมคำบรรยาย รวมถึงการแสดงความรู้สึก ก็สามารถนำมาเป็นสื่อที่ช่วยให้ความสัมพันธ์ของญาติสนิทมิตรสหายของเราแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นได้

อเมซอนเองแม้จะยังไม่ได้เข้ามาเจาะตลาดอีคอมเมิร์ซในบ้านเรา แต่ผู้คนในแถบประเทศที่มีการใช้งาน ก็ถูกหลอกล่อด้วยความอยากกิน อยากใช้ อยากมี อยากได้สินค้าต่างๆ เพราะเค้าตระหนักดีว่า คนเราก็มักอยากได้อะไรต่อมิอะไรไปเรื่อยๆ ไม่มีวันจบสิ้น ลองพิสูจน์ดูก็ได้ พวกเราจำนวนไม่น้อยเลย หากลองสำรวจตู้เก็บของ หรือตู้เสื้อผ้าในบ้านดูก็จะพบว่า มีข้าวของและเสื้อผ้าเป็นจำนวนมากกว่าที่เราจำเป็นต้องใช้จริงๆ ไม่รู้กี่เท่า บางทีอาจจะมากถึง 10 – 100 เท่า!

มาดูกลเม็ดของแอปเปิ้ลกันบ้าง ใครเลยจะรู้ว่าแอปเปื้ลเข้าจู่โจมสัญชาติญาณการสืบพันธุ์ของมนุษย์อย่างไม่รู้ตัว จากแต่ก่อนที่เราใช้เสื้อผ้า นาฬิกา รองเท้า หรือเครื่องประดับราคาแพงเป็นสัญลักษณ์ของความดูดีมีระดับ แต่ไอโฟนกลับกลายเป็นทางเลือกใหม่ในการประกาศให้รู้ว่าเรามียีน (gene) ที่มีคุณภาพสูง ราวกับว่าเราเกิดมาจากสายพันธุ์ที่เต็มไปด้วยนวัตกรรมชั้นสูง และยังเป็นเครื่องตอกย้ำความเชื่อที่ว่าเราจะประสบความสำเร็จมากกว่าผู้อื่น (ที่ไม่ได้ใช้ไอโฟน) และยังทำให้เราเชื่อ (หรือหลอกตัวเอง) ว่าเราสามารถดึงดูดเพศตรงข้ามได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

กล่องดำของเฟสบุ๊คและกูเกิ้ล

จากความที่ทั้งเฟสบุ๊คและกูเกิ้ลต่างทำตัวเหมือนเป็นธุรกิจสื่อ แต่ปรากฏว่าการควบคุมดูแลเนื้อหาที่อาจส่งผลกระทบร้ายแรงอาจยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ตัวอย่างเช่น การแกล้งหรือแบลค์เมล์ใส่กันจนกระทั่งไม่สามารถดำเนินชีวิตได้เหมือนปกติ (หลายเคสในต่างประเทศถึงขนาดต้องจบชีวิตตัวเอง) หรือการถูกแฮคโดยกลุ่มก่อการร้ายที่ต้องการบิดเบือนหรือกระจายข่าวสารบางอย่างให้แก่สาธารณชน ถึงแม้ว่าล่าสุดเฟสบุ๊คพยายามเพิ่มบุคคลากรทางด้านนี้จาก 250 คนเป็น 1,000 คน แต่ก็ดูจะไม่เพียงพอต่อการกลั่นกรองเนื้อหาจำนวนมหาศาลหรือสามารถป้องกันการถูกแฮคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โมเดลธุรกิจชั้นเลิศ

เราอาจไม่เคยทราบว่าผู้คนในหลายประเทศรวมถึงประเทศไทย มีการเสพติดโซเชียลมีเดียกันอย่างหนัก อย่าง คนอเมริกันจำนวนกว่า 60% เสพเนื้อหา (content) และสื่อต่างๆ ผ่านโซเชียลมีเดียเป็นประจำ เราจะเห็นได้ว่า โมเดลธุรกิจของเฟสบุ๊คนั้นเป็นอะไรที่สุดยอดมากคือ มีผู้ใช้จำนวนมหาศาลทำหน้าที่สร้างเนื้อหาให้กับเฟสบุ๊คฟรีๆ แถมเฟสบุ๊คก็ไม่มีการเข้ามาแทรกแซงหรือกลั่นกรองผู้สร้างเนื้อหาหรือสื่อโฆษณาเหล่านั้นแต่อย่างใด นี่แหละสุดยอดโมเดลธุรกิจที่สร้างกำไรให้แก่เฟสบุ๊คจำนวนมหาศาล การที่ไม่มีใครมาคัดกรองตรวจสอบเนื้อหาหรือสื่อต่างๆ นี่แหละทำให้ผู้ใช้งานในโลกโซเชียลของเรากำลังตกอยู่ในภาวะที่เปราะบางต่อข้อมูล แนวคิด หรือค่านิยมต่างๆ ที่ซ่อนอยู่เกินกว่าที่เราจะคาดคิดได้

ธุรกิจที่ (ซ่อน) อยู่ภายใต้บริษัทเหล่านี้

เฟสบุ๊คนอกจากจะทำตัวเฟสบุ๊คแล้ว ก็เป็นเจ้าของไอจี (Instagram) ซึ่งเป็น social network ยอดฮิตระดับโลก รวมถึงเป็นเจ้าของ WhatsApp แอพรับส่งข้อความที่หลายประเทศนิยมใช้กัน ด้วยแพลทฟอร์มต่างๆ เหล่านี้ ทำให้เฟสบุ๊คสามารถเข้าถึงผู้คนทั่วโลกได้กว่า 2 พันล้านคนในเวลาเพียงหนึ่งเดือน

อย่างกูเกิ้ลเองก็ยังเป็นเจ้าของ Google Map ที่พวกเราหลายคนใช้งานอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะเวลาไปเสาะหาร้านอาหารอร่อยหรือสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมต่างถิ่น นอกจากนี้กูเกิ้ลยังเป็นเจ้าของ Youtube สุดยอดฟรีวิดีโอที่หลายคนขาดไม่ได้ แถมยังมีบริษัทพัฒนา AI ที่เรียกว่า Google Brain ซึ่งในปัจจุบันถูกพัฒนาให้สามารถนำมาใช้ในการวินิจฉัยโรคได้แล้ว และก็มีบริษัท Waymo ที่ใช้ในการสร้างรถยนต์ไร้คนขับ

ส่วนอเมซอนนอกจากจะทำธุรกิจอีคอมเมริซแล้วก็ยังเปิดร้านค้าเป็นของตัวเอง และเป็นเจ้าของธุรกิจอีกหลายประเภท เช่น Audible ซึ่งเป็นหนังสือเสียง (audio books) และยังเป็นเจ้าของบริษัทขายรองเท้าชื่อ Zappos ทั้งยังมีการลงทุนในธุรกิจ AI นอกจากนี้ยังได้พัฒนาอุปกรณ์อัจฉริยะในบ้านที่เรียกว่า Echo ที่ไม่เพียงแต่เป็นลำโพงชั้นเลิศ แต่เราสามารถสั่งงานด้วยเสียงให้ทำสิ่งต่างๆ เช่น สรุปข่าว ค้นหาข้อมูล พยากรณ์อากาศ เป็นต้น

ภัยคุกคามต่อมนุษยชาติ?

ล่าสุดเมื่อปลายเดือน ม.ค. 61 เจ้าพ่อเฮดจ์ฟันด์ จอร์จ โซรอส ออกมาแสดงความไม่พอใจต่อบริษัทโซเชียลมีเดียอย่างเฟสบุ๊คและกูเกิ้ลว่า เป็นภัยคุกคามต่อมนุษยชาติ เพราะทั้งสองบริษัทมีแพลทฟอร์มที่มีสามารถส่งผลให้ผู้ใช้งานคิดหรือทำในสิ่งใดก็ได้ โดยที่ผู้ใช้งานอย่างเราๆ ก็ไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นการโน้มน้าวให้คนมุ่งความสนใจไปยังข้อมูลบางอย่าง (ผ่านรูปภาพ โฆษณา คอนเทนต์ หรือเพจ) เพื่อประโยชน์ทางการค้า และก็ยังพยายามที่จะสร้างฟีเจอร์หรือคุณสมบัติใหม่ๆ เพื่อดึงดูดให้ผู้ใช้งานติดการใช้โซเชียลมีเดียจนงอมแงม (เช่น การกด Like แสดง emoticon การ tag เพื่อนๆ หรือการแจ้งเตือนอยู่ตลอดเวลา)

จอร์จ โซรอสยังแสดงความกังวลอีกว่า อำนาจในการบังคับความสนใจของคนเรา ตกอยู่ในเงื้อมมือของไม่กี่บริษัทในโลกนี้ คนที่น่าเป็นห่วงจริงๆ ก็คือเด็กๆ ที่เติบโตมากับโซเชียลมีเดียเหล่านี้ เนื่องจากพวกเค้าจะถูกบริษัทเหล่านี้ยัดเยียดข้อมูลบางอย่างให้โดยไม่รู้ตัว และนี่ก็จะทำให้เด็กๆ มีความคิดสร้างสรรค์น้อยลงไปเรื่อยๆ

ทางแก้ที่จอร์จแนะนำคือ รัฐบาลควรก้าวเข้ามากำกับดูแลธุรกิจโซเชียลมีเดียเหล่านี้ โดยควบคุมไม่ให้พวกเค้ามีอิทธิพลต่อผู้ใช้ในทางลบหรือควบคุมให้ผู้ใช้งานเบี่ยงเบนความคิดไปในสิ่งที่บริษัทต้องการ

หลังจากเราได้อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว เราลองหันกลับมาตรวจสอบตัวเราเองกันดีไหมครับว่า เราตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของทั้ง 4 บริษัทนี้ (หรือธุรกิจอื่นที่ใกล้เคียงกัน) มากน้อยเพียงใด เรายังมีความคิดเป็นของตัวเองโดยปราศจากอคติจากสื่อเหล่านี้หรือไม่ และที่สำคัญ เราได้ให้เวลากับคนที่เรารักหรือคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเราอย่างเพียงพอแล้วหรือยังครับ

--------------------------------------------------------------------------------------------------
เฟสบุ๊คเพจ Invest Me: https://www.facebook.com/Invest-Me-244466562725439/

แหล่งอ้างอิง:
knowledge.wharton.upenn.edu
businessinsider.com
theguardian.com

ภาพประกอบจาก: facebook.com/9satramovie
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่