สวัสดีคะ
ก่อนอื่นขอเกริ่นนำก่อนนะคะ
เป็นคุณแม่ลูกอ่อน...แต่งงานมา 1 ปีครบถ้วนพอดิบพอดี มีโซ่ทองคล้องใจหนึ่งคนคะ วัยกำลังน่ารักเลย
สามีเป็นชาวต่างชาติคะ รู้จักกัน 2 ปีครบถ้วน ทำให้เราสองคนตัดสินใจว่าเราสองจะครองรักและดูแลศึกษากันและกัน ตราบจนลมหายใจสุดท้ายที่เหลืออยู่
บุคลิคลักษณะของสามีเป็นที่ดูสุภาพ สุขุม ใจดี ด้วยเหตุนี้ทำให้เราเปิดใจที่จะรับเค้าเข้ามาในชีวิตตั้งแต่ครั้งแรกพบของเราสอง...ความรักแรกเริ่มของเราก็คล้ายๆ กับความฝันทั่วไปของหญิงสาวทั่วๆ ไป คือ รักแรกพบ สามีของเราเขียนจดหมายแนะนำตัวเพื่อขอโอกาสทำความรู้จักกับเรามากขึ้น อาจจะฟังดูตลกๆ นะคะ ปี 2015 กับการเขียนจดหมายบอกรัก แต่นั่นก็คือจุดเริ่มต้นของความรักของเราทั้งสองคนคะ
จากนั้นเราสองได้ทำการศึกษานิสัยใจคอพูดคุยกันผ่านทาง Application ที่ใช้สำหรับส่งข้อความหากันเหมือนคู่รักทั่วๆ ไป พบปะกันตามสถานที่ต่างๆ ใช้เวลาในวันหยุดร่วมกันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เนื่องจากเราสองคนทำงานคนล่ะประเทศที่อยู่ แต่ระยะทางก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคใดใดสำหรับเรา เพราะต่างคนต่างทำเพื่อกันและกัน ด้วยระยะเวลา 2 ปีเต็ม ทำให้เราทั้งคู่ตัดสินใจแต่งงานเนื่องความรักสุขงอมเต็มที่และเนื่องด้วยวุฒิภาวะของเราทั้งคู่ หลังจากแต่งงานเราสองได้รับของขวัญชิ้นสำคัญที่สุดในชีวิตจากคนบนฟ้าซึ่งก็คือโซ่ทองคล้องใจของเราทั้งสอง เหมือนชีวิตจะดูเรียบง่ายสบายๆ แบบในละคร เมื่อพระเอก-นางเอกแต่งงานกัน มีลูกทุกอย่าง จบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง...
จุดเริ่มต้นก็เกิดขึ้นเมื่อ...เราต้องหยุดงานที่ทำในช่วงระยะเวลาที่ตั้งครรภ์ และตัดสินใจเพื่อมาคลอดที่ประเทศเกิดของเราเองเนื่องจากเราต้องการความรักความอบอุ่นจากคนในครอบครัว ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าตั้งแต่แต่งงานกันเราสองคนยังไม่เคยมีโอกาสได้ใช้ชีวิตร่วมกันแบบครอบครัว อย่างมากสุด 14 วันเต็มที่
จนคลอดสามีใส่ใจดูแลเราและลูกน้อยเป็นอย่างดี แต่เราก็ยังไม่ได้มีโอกาสอยู่ร่วมกันแบบครอบครัวจริงๆ จังเสียที เนื่องจากงานที่สามีทำต้องเดินทางไปหลากหลายประเทศด้วยกัน เราเลยเลือกที่จะอยู่ที่บ้านเกิดเมืองนอนของเราเองเนื่องจากอย่างๆ น้อยๆ ก็มีครอบครัวคอยช่วยเหลือดูแล
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านตั้งแต่เริ่มรู้จักจนมีลูกเค้าไม่เคยมีเรื่องให้ระหองระแหงเกี่ยวกับผู้หญิงเลยแม้แต่ 1% แต่แล้วเหมือนฟ้ามีตา หลังจากคริสต์มาสที่ผ่านมา สามีและเราได้ซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ สำหรับเราๆเปลี่ยนเนื่องจากเปลี่ยนตามระยะเวลาอันสมควรแต่ในส่วนสามีคือ โทรศัพท์มือถือเครื่องเก่าหายทำให้ต้องหาเครื่องใหม่มาทดแทน เกือบทุกๆ วันหยุดสุดสัปดาห์สามีจะบินมาหาเราและลูกน้อยเพื่อใช้เวลาอยู่ด้วยกันและสร้างสัมพันธ์ของสายใยรักให้เพิ่มมากขึ้น
อาจจะแปลกใจว่าทำไมเราถึงเกริ่นเกี่ยวกับเรื่องโทรศัพท์มือถือซึ่งดูเหมือนไม่น่าจะเกี่ยวข้องอะไรด้วยเลยกับความรักของเราสอง...แต่มันคือประเด็นสำคัญของต้นเรื่องที่จะกล่าวต่อไปนี้เอง....
โทรศัพท์เครื่องนี้มักจะตกจากโต๊ะหลายต่อหลายครั้งแบบไม่มีเหตุผล ทั้งๆ วางไว้เป็นอย่างดี จนล่าสุดเราเริ่มแปลกใจปนสงสัย เนื่องจากรอบนี้สามีบอกว่าต้องออกไปประชุมนอกรอบกับเพื่อนร่วมงาน ซึ่งเหตุการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้นเลย แต่เนื่องจากเป็นการคุยนอกรอบกับบริษัทยักษ์ใหญ่ของประเทศเราเอง ถ้าเอ่ยชื่อบริษัททุกคนต้องร้องอ๋อเป็นแน่แท้ ทีแรกเราก็ให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี คิดแค่เพียงว่าเป็นโอกาสสำคัญที่จะได้มาอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวเสียที แต่จริงๆ แล้วเราสามคนมีแผนที่จะย้ายไปอยู่ร่วมกันที่ประเทศสามเช่นกัน แต่รอให้ลูกน้อยทำวัคซีนครบตามกำหนดเสียก่อน
ในเมื่อความลับไม่มีในโลก...เวลาตามกำหนดนัดหมายสามีก็ไม่มีทีท่าว่าจะไปตามที่นัดไว้ เราผู้ซึ่งสนับสนุนอย่างเต็มกำลังก็เกิดความสงสัย เลยลองเช็คดูเวลาที่โทรศัพท์มือถือเค้า เพราะเราอุ้มลูกอยู่ในตอนนั้น
ต้องขอเกริ่นก่อนว่าเราเป็นผู้หญิงประเภทที่ไม่เคยจุกจิก ไม่ชอบจุ้นจ้าน เช็คมือถือหรือเปิดกระเป๋าสตางค์ เพราะถือว่าเป็นความส่วนตัวและความไว้ใจซึ่งกันและกัน
เหมือนอะไรดลบันดาลใจ เพราะสามีมีมือถือ 2 เครื่อง เครื่องแรกสำหรับงาน และอีกเครื่องเป็นเครื่องส่วนตัว (ที่ชอบตก) ว่าแต่มือถืออยู่ไหน? เราเลยแกล้งถามว่า อยากได้รูปที่เค้าถ่ายเรากับลูกเมื่อตอนกลางวันขอดูหน่อย...เค้าก็ทำเป็นเกร๋ไก้หยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าที่ใส่เครื่องอาบน้ำ ซึ่งเราก็ทำเป็นมองไม่เห็น จนความจริงกระจ่างขึ้น...เค้าพยายามแย่งชิงมือถือจากเรา เราเชื่อว่าผู้หญิงทุกคนต้องมีควรมีรู้สึกบ้างแบบเราบ้างหรือว่าเราใจร้อนเกินก็ไม่แน่ใจ เราระเบิดออกมาเลยว่า ผู้หญิงคนนี้คือใคร? สามีของเราบอกว่า เป็นคนที่เจอกันในระหว่างเดินทางและพบกันโดยบังเอิญ 2 ครั้ง ทำให้เรานึกย้อนกลับไป 1 เดือนที่แล้วสามีเราบอกว่า มีเจ้าหน้าที่เอานามบัตรของเค้ามาให้พร้อมทั้งเขียนเบอร์ส่วนตัวให้เพื่อต้องการความช่วยเหลือใดใดในประเทศของเรา และที่น่าละอายใจที่สุดคือ ทั้งคู่แต่งงานแล้วและเป็นคนชาติเดียวกับเรา !!!
เราไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ลึกซึ้งมากน้อยขนาดไหน เพราะฟังความข้างเดียว สามีเราบอกว่ามันคือความรู้สึกที่ไม่สามารถจะอธิบายได้ของคนสองคน แต่ยังไม่ได้มีอะไรล่วงเกินถึงขั้นหลับนอน เราว่าก็แน่สิ มันก็คล้ายคนเรากลับไปเป็นรักแรกพบอีกครั้งโดยที่เค้าทั้งสองฝ่ายไม่รู้สึกผิดชอบชั่วดี หรือความถูกต้องเหมาะสม และรับรู้ว่าต่างฝ่ายต่างมาครอบครัวแล้ว เพียงแต่ผู้หญิงฝ่ายนั่นไม่มีลูก
คำ่คืนนั้นเราได้มีโอกาสผู้คุยกับผู้หญิงคนนั้นด้วย แต่เธอก็คุยกับเราโดยไม่ได้รู้ผิดอะไรใดใดกับการกระทำของเธอเลยแม้แต่น้อย สามีเราบอกว่าด้านสามีของเธอก็รู้เรื่องเป็นอย่างดี บอกแค่เพียงว่าถ้าสามีเราดูแลเธอได้เป็นอย่างดีก็ไปอยู่กับเค้าซะ...
เหตุการณ์ในค่ำคืนนั้นจบลงที่สามีเราร้องไห้ คร่ำครวญ ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่เราเคยเห็นเค้าร้องไห้หนักมากและรู้สึกผิดขนาดนี้ และเค้าบอกว่าขอเวลาเค้าจะจัดการเรื่องทุกอย่างโดยขอเวลาไปพูดคุยกับสามีของผู้หญิงคนนั้น ซึ่งจนทุกวันนี้เราไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องคุยกับสามีเค้า เพราะฉะนั้นผู้หญิงคนนั้นก็ต้องเข้ามาคุยเคลียร์ปัญหากับเราด้วยใช่หรือมั้ย?
รุ่งขึ้นเราสามคนพ่อแม่ลูกต้องเดินทางไปอีกจังหวัดหนึ่งเพื่อไปร่วมงานสำคัญของเพื่อนรักของเราทั้งคู่ แต่เนื่องด้วยผู้หญิงคนนี้ต้องการให้สามีของเราเดินทางกลับไปอีกประเทศนึงกับเค้า หลังจากการเดินทางของครอบครัวเรา ก็มีข้อความต่อว่าขึ้นมาในมือถือของสามีมากมายว่า...
ทำไมต้องมากับเราและลูก??? และเค้าล่ะ เรามีเรื่องต้องคุยกันกับสามีเรา ต่อหน้าเราและลูกน้อย เค้าสองคนโทรศัพท์และแชตหากันโดยเฉพาะผู้หญิงคนนั้นไม่ได้รู้สึกว่าเป็นการล้ำเส้นแต่อย่างใด
เราอึดอัดใจมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงได้ปรึกษากับเพื่อนเรา สุดท้ายเพื่อนเราสงสารกับที่สิ่งที่เกิดขึ้นเลยได้ส่งข้อความไปหาครอบครัวของผู้หญิงคนนั้น ทั้งสามีและพี่สาวของเค้า...โดยที่เรามาทราบในภายหลังว่า
ฝ่ายสามีของผู้หญิงคนนั้นไม่มีการตอบโต้ใดใด แต่ฝ่ายของพี่สาวได้มีข้อความมากมายตอบกลับมาประนึงว่า เค้าทราบเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดจากน้องสาวเค้าและรู้สึกสงสารคนทั้งสองฝ่ายมากๆ อยากให้มีสติและสมองในการตัดสินใจ และก้าวผ่านปัญหาไปให้ได้ เพราะตัวเธอศรัทธาในความรักและมีครอบครัวที่สมบูรณ์ แต่เหมือนทุกอย่างจะดูดีในตอนท้ายๆ ของประโยคมีการบอกว่าให้บอกข้อเสียของสามีเรามา เพราะน้องสาวเค้าเป็นมองเห็นแต่ข้อดีของสามีเราและมีแสตนดาทสูง แต่ถ้าตัวเค้าพูดอะไรไปน้องสาวเค้าจะเชื่อฟังเค้าเป็นอย่างดี เมื่อทางเราไม่ได้มีการตอบโต้ใดใดกลับไป ข้อความต่อจากนั้นก็คือ...ให้เราหยุดเวิ่นเว้อได้ล่ะ, อย่ามัวแต่มาพล่ามพรรณา ไม่คิดว่าตัวเราเองมีข้อบกพร่องอะไร ขนาดมีลูกด้วยกันยังไม่สามารถคล้องใจได้เลยและยังย้ำอีกว่าไม่บอกก็ไม่เป็นไร จะกลับไปบอกน้องสาวของเค้าว่า สามีของเราดีมากๆ เลย
พอเราได่อ่านข้อความทั้งหมดแล้วเรารู้สึกว่าอย่าไปเสียเวลาอะไรอีกเลยกับคนประเภทนี้ ชีวิตเราและลูกมีค่ามากกว่าเอาเรื่องพวกนี้มาใส่ใจ นึกรู้สึกตลกมากๆ และดีใจเป็นที่สุดที่ไม่ต้องลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยวกับคนประเภทนี้
ตอนนี้เราได้แต่รอดำเนินการทางกฎหมาย เพราะเราได้จดทะเบียนอย่างถูกต้องทั้งสองประเทศ ไม่รู้ว่าสิ่งที่เราตัดสินใจถูกต้องหรือไม่ แต่เรารู้สึกว่าการกระทำที่เกิดขึ้น มีครั้งแรกได้ก็ต้องมีครั้งที่ 2,3 ตามมาได้อีก เพราะฉะนั้นตัดไฟแต่ต้นลมและในส่วนของเรื่องลูกนั้น ค่อยว่ากันไปตามกฎหมาย เพราะกฎหมายของประเทศที่สามีเราอยู่ค่อยข้างรุนแรงเมื่อฝ่ายนึงฝ่ายใดผิดเพราะมีบุคคลที่ 3 เข้ามาเกี่ยวข้อง...อำนาจสิทธิ์ก็เป็นของอีกฝ่าย
ปอลิง นับว่าเป็นโชคดีของเราที่มีหลักฐานข้อความการสนทนาของคนทั้งคู่อย่างชัดเจนที่สามารถนำไปต่อสู้ในชั้นศาลต่อไป...
ปอลิง2 ถ้าบังเอิญครอบครับของฝ่ายผู้หญิงคนนั้นได้มาอ่านกระทู้นี้ อยากบอกว่าดิฉันไม่ได้เว้อเวิ้นนะคะ แค่อยากแชร์ให้เป็นอุทาหรณ์สอนใจให้กับเพื่อนๆ ผู้หญิงด้วยกันในโลกใบนี้ และถ้าเรื่องถึงขั้นศาลสามีของดิฉันก็มีความผิดแบบเต็มๆ ในการคบชู้และตามหลักกฎหมายของบ้านเมืองประเทศเค้าคะ อาจจะหมดตัวเลยก็เป็นได้ ต่อไปก็ไม่ต้องมาสงสัยอีกนะคะว่าสามีดิฉันมีข้อเสียอะไรบ้าง!!!
อุทธาหรณ์สอนใจหญิง...ไม่อยากให้เกิดกับครอบครัวใครซ้ำแล้วซ้ำอีก!
ก่อนอื่นขอเกริ่นนำก่อนนะคะ
เป็นคุณแม่ลูกอ่อน...แต่งงานมา 1 ปีครบถ้วนพอดิบพอดี มีโซ่ทองคล้องใจหนึ่งคนคะ วัยกำลังน่ารักเลย
สามีเป็นชาวต่างชาติคะ รู้จักกัน 2 ปีครบถ้วน ทำให้เราสองคนตัดสินใจว่าเราสองจะครองรักและดูแลศึกษากันและกัน ตราบจนลมหายใจสุดท้ายที่เหลืออยู่
บุคลิคลักษณะของสามีเป็นที่ดูสุภาพ สุขุม ใจดี ด้วยเหตุนี้ทำให้เราเปิดใจที่จะรับเค้าเข้ามาในชีวิตตั้งแต่ครั้งแรกพบของเราสอง...ความรักแรกเริ่มของเราก็คล้ายๆ กับความฝันทั่วไปของหญิงสาวทั่วๆ ไป คือ รักแรกพบ สามีของเราเขียนจดหมายแนะนำตัวเพื่อขอโอกาสทำความรู้จักกับเรามากขึ้น อาจจะฟังดูตลกๆ นะคะ ปี 2015 กับการเขียนจดหมายบอกรัก แต่นั่นก็คือจุดเริ่มต้นของความรักของเราทั้งสองคนคะ
จากนั้นเราสองได้ทำการศึกษานิสัยใจคอพูดคุยกันผ่านทาง Application ที่ใช้สำหรับส่งข้อความหากันเหมือนคู่รักทั่วๆ ไป พบปะกันตามสถานที่ต่างๆ ใช้เวลาในวันหยุดร่วมกันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เนื่องจากเราสองคนทำงานคนล่ะประเทศที่อยู่ แต่ระยะทางก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคใดใดสำหรับเรา เพราะต่างคนต่างทำเพื่อกันและกัน ด้วยระยะเวลา 2 ปีเต็ม ทำให้เราทั้งคู่ตัดสินใจแต่งงานเนื่องความรักสุขงอมเต็มที่และเนื่องด้วยวุฒิภาวะของเราทั้งคู่ หลังจากแต่งงานเราสองได้รับของขวัญชิ้นสำคัญที่สุดในชีวิตจากคนบนฟ้าซึ่งก็คือโซ่ทองคล้องใจของเราทั้งสอง เหมือนชีวิตจะดูเรียบง่ายสบายๆ แบบในละคร เมื่อพระเอก-นางเอกแต่งงานกัน มีลูกทุกอย่าง จบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง...
จุดเริ่มต้นก็เกิดขึ้นเมื่อ...เราต้องหยุดงานที่ทำในช่วงระยะเวลาที่ตั้งครรภ์ และตัดสินใจเพื่อมาคลอดที่ประเทศเกิดของเราเองเนื่องจากเราต้องการความรักความอบอุ่นจากคนในครอบครัว ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าตั้งแต่แต่งงานกันเราสองคนยังไม่เคยมีโอกาสได้ใช้ชีวิตร่วมกันแบบครอบครัว อย่างมากสุด 14 วันเต็มที่
จนคลอดสามีใส่ใจดูแลเราและลูกน้อยเป็นอย่างดี แต่เราก็ยังไม่ได้มีโอกาสอยู่ร่วมกันแบบครอบครัวจริงๆ จังเสียที เนื่องจากงานที่สามีทำต้องเดินทางไปหลากหลายประเทศด้วยกัน เราเลยเลือกที่จะอยู่ที่บ้านเกิดเมืองนอนของเราเองเนื่องจากอย่างๆ น้อยๆ ก็มีครอบครัวคอยช่วยเหลือดูแล
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านตั้งแต่เริ่มรู้จักจนมีลูกเค้าไม่เคยมีเรื่องให้ระหองระแหงเกี่ยวกับผู้หญิงเลยแม้แต่ 1% แต่แล้วเหมือนฟ้ามีตา หลังจากคริสต์มาสที่ผ่านมา สามีและเราได้ซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ สำหรับเราๆเปลี่ยนเนื่องจากเปลี่ยนตามระยะเวลาอันสมควรแต่ในส่วนสามีคือ โทรศัพท์มือถือเครื่องเก่าหายทำให้ต้องหาเครื่องใหม่มาทดแทน เกือบทุกๆ วันหยุดสุดสัปดาห์สามีจะบินมาหาเราและลูกน้อยเพื่อใช้เวลาอยู่ด้วยกันและสร้างสัมพันธ์ของสายใยรักให้เพิ่มมากขึ้น
อาจจะแปลกใจว่าทำไมเราถึงเกริ่นเกี่ยวกับเรื่องโทรศัพท์มือถือซึ่งดูเหมือนไม่น่าจะเกี่ยวข้องอะไรด้วยเลยกับความรักของเราสอง...แต่มันคือประเด็นสำคัญของต้นเรื่องที่จะกล่าวต่อไปนี้เอง....
โทรศัพท์เครื่องนี้มักจะตกจากโต๊ะหลายต่อหลายครั้งแบบไม่มีเหตุผล ทั้งๆ วางไว้เป็นอย่างดี จนล่าสุดเราเริ่มแปลกใจปนสงสัย เนื่องจากรอบนี้สามีบอกว่าต้องออกไปประชุมนอกรอบกับเพื่อนร่วมงาน ซึ่งเหตุการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้นเลย แต่เนื่องจากเป็นการคุยนอกรอบกับบริษัทยักษ์ใหญ่ของประเทศเราเอง ถ้าเอ่ยชื่อบริษัททุกคนต้องร้องอ๋อเป็นแน่แท้ ทีแรกเราก็ให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี คิดแค่เพียงว่าเป็นโอกาสสำคัญที่จะได้มาอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวเสียที แต่จริงๆ แล้วเราสามคนมีแผนที่จะย้ายไปอยู่ร่วมกันที่ประเทศสามเช่นกัน แต่รอให้ลูกน้อยทำวัคซีนครบตามกำหนดเสียก่อน
ในเมื่อความลับไม่มีในโลก...เวลาตามกำหนดนัดหมายสามีก็ไม่มีทีท่าว่าจะไปตามที่นัดไว้ เราผู้ซึ่งสนับสนุนอย่างเต็มกำลังก็เกิดความสงสัย เลยลองเช็คดูเวลาที่โทรศัพท์มือถือเค้า เพราะเราอุ้มลูกอยู่ในตอนนั้น
ต้องขอเกริ่นก่อนว่าเราเป็นผู้หญิงประเภทที่ไม่เคยจุกจิก ไม่ชอบจุ้นจ้าน เช็คมือถือหรือเปิดกระเป๋าสตางค์ เพราะถือว่าเป็นความส่วนตัวและความไว้ใจซึ่งกันและกัน
เหมือนอะไรดลบันดาลใจ เพราะสามีมีมือถือ 2 เครื่อง เครื่องแรกสำหรับงาน และอีกเครื่องเป็นเครื่องส่วนตัว (ที่ชอบตก) ว่าแต่มือถืออยู่ไหน? เราเลยแกล้งถามว่า อยากได้รูปที่เค้าถ่ายเรากับลูกเมื่อตอนกลางวันขอดูหน่อย...เค้าก็ทำเป็นเกร๋ไก้หยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าที่ใส่เครื่องอาบน้ำ ซึ่งเราก็ทำเป็นมองไม่เห็น จนความจริงกระจ่างขึ้น...เค้าพยายามแย่งชิงมือถือจากเรา เราเชื่อว่าผู้หญิงทุกคนต้องมีควรมีรู้สึกบ้างแบบเราบ้างหรือว่าเราใจร้อนเกินก็ไม่แน่ใจ เราระเบิดออกมาเลยว่า ผู้หญิงคนนี้คือใคร? สามีของเราบอกว่า เป็นคนที่เจอกันในระหว่างเดินทางและพบกันโดยบังเอิญ 2 ครั้ง ทำให้เรานึกย้อนกลับไป 1 เดือนที่แล้วสามีเราบอกว่า มีเจ้าหน้าที่เอานามบัตรของเค้ามาให้พร้อมทั้งเขียนเบอร์ส่วนตัวให้เพื่อต้องการความช่วยเหลือใดใดในประเทศของเรา และที่น่าละอายใจที่สุดคือ ทั้งคู่แต่งงานแล้วและเป็นคนชาติเดียวกับเรา !!!
เราไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ลึกซึ้งมากน้อยขนาดไหน เพราะฟังความข้างเดียว สามีเราบอกว่ามันคือความรู้สึกที่ไม่สามารถจะอธิบายได้ของคนสองคน แต่ยังไม่ได้มีอะไรล่วงเกินถึงขั้นหลับนอน เราว่าก็แน่สิ มันก็คล้ายคนเรากลับไปเป็นรักแรกพบอีกครั้งโดยที่เค้าทั้งสองฝ่ายไม่รู้สึกผิดชอบชั่วดี หรือความถูกต้องเหมาะสม และรับรู้ว่าต่างฝ่ายต่างมาครอบครัวแล้ว เพียงแต่ผู้หญิงฝ่ายนั่นไม่มีลูก
คำ่คืนนั้นเราได้มีโอกาสผู้คุยกับผู้หญิงคนนั้นด้วย แต่เธอก็คุยกับเราโดยไม่ได้รู้ผิดอะไรใดใดกับการกระทำของเธอเลยแม้แต่น้อย สามีเราบอกว่าด้านสามีของเธอก็รู้เรื่องเป็นอย่างดี บอกแค่เพียงว่าถ้าสามีเราดูแลเธอได้เป็นอย่างดีก็ไปอยู่กับเค้าซะ...
เหตุการณ์ในค่ำคืนนั้นจบลงที่สามีเราร้องไห้ คร่ำครวญ ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่เราเคยเห็นเค้าร้องไห้หนักมากและรู้สึกผิดขนาดนี้ และเค้าบอกว่าขอเวลาเค้าจะจัดการเรื่องทุกอย่างโดยขอเวลาไปพูดคุยกับสามีของผู้หญิงคนนั้น ซึ่งจนทุกวันนี้เราไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องคุยกับสามีเค้า เพราะฉะนั้นผู้หญิงคนนั้นก็ต้องเข้ามาคุยเคลียร์ปัญหากับเราด้วยใช่หรือมั้ย?
รุ่งขึ้นเราสามคนพ่อแม่ลูกต้องเดินทางไปอีกจังหวัดหนึ่งเพื่อไปร่วมงานสำคัญของเพื่อนรักของเราทั้งคู่ แต่เนื่องด้วยผู้หญิงคนนี้ต้องการให้สามีของเราเดินทางกลับไปอีกประเทศนึงกับเค้า หลังจากการเดินทางของครอบครัวเรา ก็มีข้อความต่อว่าขึ้นมาในมือถือของสามีมากมายว่า...
ทำไมต้องมากับเราและลูก??? และเค้าล่ะ เรามีเรื่องต้องคุยกันกับสามีเรา ต่อหน้าเราและลูกน้อย เค้าสองคนโทรศัพท์และแชตหากันโดยเฉพาะผู้หญิงคนนั้นไม่ได้รู้สึกว่าเป็นการล้ำเส้นแต่อย่างใด
เราอึดอัดใจมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงได้ปรึกษากับเพื่อนเรา สุดท้ายเพื่อนเราสงสารกับที่สิ่งที่เกิดขึ้นเลยได้ส่งข้อความไปหาครอบครัวของผู้หญิงคนนั้น ทั้งสามีและพี่สาวของเค้า...โดยที่เรามาทราบในภายหลังว่า
ฝ่ายสามีของผู้หญิงคนนั้นไม่มีการตอบโต้ใดใด แต่ฝ่ายของพี่สาวได้มีข้อความมากมายตอบกลับมาประนึงว่า เค้าทราบเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดจากน้องสาวเค้าและรู้สึกสงสารคนทั้งสองฝ่ายมากๆ อยากให้มีสติและสมองในการตัดสินใจ และก้าวผ่านปัญหาไปให้ได้ เพราะตัวเธอศรัทธาในความรักและมีครอบครัวที่สมบูรณ์ แต่เหมือนทุกอย่างจะดูดีในตอนท้ายๆ ของประโยคมีการบอกว่าให้บอกข้อเสียของสามีเรามา เพราะน้องสาวเค้าเป็นมองเห็นแต่ข้อดีของสามีเราและมีแสตนดาทสูง แต่ถ้าตัวเค้าพูดอะไรไปน้องสาวเค้าจะเชื่อฟังเค้าเป็นอย่างดี เมื่อทางเราไม่ได้มีการตอบโต้ใดใดกลับไป ข้อความต่อจากนั้นก็คือ...ให้เราหยุดเวิ่นเว้อได้ล่ะ, อย่ามัวแต่มาพล่ามพรรณา ไม่คิดว่าตัวเราเองมีข้อบกพร่องอะไร ขนาดมีลูกด้วยกันยังไม่สามารถคล้องใจได้เลยและยังย้ำอีกว่าไม่บอกก็ไม่เป็นไร จะกลับไปบอกน้องสาวของเค้าว่า สามีของเราดีมากๆ เลย
พอเราได่อ่านข้อความทั้งหมดแล้วเรารู้สึกว่าอย่าไปเสียเวลาอะไรอีกเลยกับคนประเภทนี้ ชีวิตเราและลูกมีค่ามากกว่าเอาเรื่องพวกนี้มาใส่ใจ นึกรู้สึกตลกมากๆ และดีใจเป็นที่สุดที่ไม่ต้องลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยวกับคนประเภทนี้
ตอนนี้เราได้แต่รอดำเนินการทางกฎหมาย เพราะเราได้จดทะเบียนอย่างถูกต้องทั้งสองประเทศ ไม่รู้ว่าสิ่งที่เราตัดสินใจถูกต้องหรือไม่ แต่เรารู้สึกว่าการกระทำที่เกิดขึ้น มีครั้งแรกได้ก็ต้องมีครั้งที่ 2,3 ตามมาได้อีก เพราะฉะนั้นตัดไฟแต่ต้นลมและในส่วนของเรื่องลูกนั้น ค่อยว่ากันไปตามกฎหมาย เพราะกฎหมายของประเทศที่สามีเราอยู่ค่อยข้างรุนแรงเมื่อฝ่ายนึงฝ่ายใดผิดเพราะมีบุคคลที่ 3 เข้ามาเกี่ยวข้อง...อำนาจสิทธิ์ก็เป็นของอีกฝ่าย
ปอลิง นับว่าเป็นโชคดีของเราที่มีหลักฐานข้อความการสนทนาของคนทั้งคู่อย่างชัดเจนที่สามารถนำไปต่อสู้ในชั้นศาลต่อไป...
ปอลิง2 ถ้าบังเอิญครอบครับของฝ่ายผู้หญิงคนนั้นได้มาอ่านกระทู้นี้ อยากบอกว่าดิฉันไม่ได้เว้อเวิ้นนะคะ แค่อยากแชร์ให้เป็นอุทาหรณ์สอนใจให้กับเพื่อนๆ ผู้หญิงด้วยกันในโลกใบนี้ และถ้าเรื่องถึงขั้นศาลสามีของดิฉันก็มีความผิดแบบเต็มๆ ในการคบชู้และตามหลักกฎหมายของบ้านเมืองประเทศเค้าคะ อาจจะหมดตัวเลยก็เป็นได้ ต่อไปก็ไม่ต้องมาสงสัยอีกนะคะว่าสามีดิฉันมีข้อเสียอะไรบ้าง!!!