๙ แล้ว ๖ ๖ แล้ว ๙ ตอบหลังไมค์ ว่าด้วย "การเป็นผู้เดินทางแสวงหาเงินในตลาดหุ้น"

เริ่มด้วยคำถามทางหลังไมค์  ที่ได้ขออนุญาตเจ้าของข้อความ นำมาตั้งเป็นกระทู้แล้ว  




คำตอบ


ให้อ่านข้อความในกรอบน้ำเงินของภาพประกอบ   เป็นแนวทางที่ผมจะตอบ


คำถาม


ต้องมีขนาดพอร์ตหุ้นเท่าไร?  จึงจะสามารถลงทุนในตลาดหุ้นได้ โดยไม่ต้องทำงานอย่างอื่น


คำตอบ

ต้องตอบคำถามตามนี้ก่อนครับ  

๑  อะไรยากกว่ากัน  ระหว่างลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินชีวิตโดนไม่กระทบต่อสภาพจิตใจ  กับการเพิ่มรายได้ที่จะทำได้สม่ำเสมอ

สำหรับบางคน  การลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในดำเนินชีวิต  จะทำได้ง่ายกว่า  
แต่สำหรับคนที่มีความสามารถ  คงตอบว่า การเพิ่มรายได้ที่จะได้สม่ำเสมอทำได้ง่ายกว่า

เอาเป็นว่า  ผมขอตั้งต้นที่ ลดค่าใช้จ่ายลงง่ายกว่าก็แล้วกัน
คนที่อยู่ในตลาดหุ้นไปนานๆ  ย่อมรู้ดีว่า  การหากำไรส่วนเกินทุน ให้ได้สม่ำเสมอจะทำได้ยาก
อาจจะง่ายสำหรับคนส่วนหนึ่ง  แต่ผมเชื่อว่ามันยาก สำหรับคนในตลาดหุ้นโดยทั่วไป (รวมทั้งผมด้วย อมยิ้ม16)


๒  ความต้องการความสะดวกสบายทางร่างกายของเรา  คิดออกมาเป็นค่าใช้จ่ายประมาณเท่าไร ต่อเดือน ต่อปี

คงต้องคำนวณกันเอาเอง  เพราะไม่มีใครรู้ว่า ระดับความต้องการความสะดวกสบายทางร่างกายของแต่ละคนคือเท่าไร

เช่นซื้ออาหารวัตถุดิบมาทำกินเอง  ประหยัดกว่าซื้อกินตามห้าง
ซื้อของตามตลาดสด ประหยัดกว่าซื้อจากซุบเปอร์มาร์เก็ตตามห้าง  
ขึ้นรถเมล์ประหยัดเงินกว่าขับรถส่วนตัว ขึ้นรถไฟฟ้า นั่งแท็กซี่
ทนรอรักษาไข้จากบัตรทอง  ประหยัดกว่าไปโรงพยาบาลเอกชนที่ใช้บัตรทองไม่ได้
ลูกได้เรียนมหาวิทยาลัยของรัฐ  ประหยัดกว่าเรียนมหาวิทยาลัยเอกชน ฯลฯ  


๓  ความพึงพอด้านจิตใจ  ต้องมีค่าใช้จ่ายเท่าไร ในการตอบสนองความพึงพอใจนั้น  

ความพึงพอใจส่วนหนึ่ง  มาจากการความคุ้นเคยที่เรามีมานาน  
ถ้าพอใจจะนั่งรถเบนซ์เพื่อซื้อหน้าตาทางสังคม และความปลอดภัยในการขับขี่  
ก็ต้องจ่ายมากกว่านั่งวีออส ซึ่งอาจจะปลอดภัยกว่านั่งเบนซ์ก็ได้  ถ้าขับอย่างระมัดระวัง
เดินทางแบบแบ็คแพ็กเกอร์แล้วมีความสุข  ก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินแพงๆเพักโรงแรมสี่ห้าดาว  
ขึ้นสายการบินโลว์คอสได้ ก็ประหยัดได้มากกว่าขึ้นสายการบินที่บริการเต็มรูปแบบ ฯลฯ

๔  ต้นทุนทางสังคมมีอะไรบ้าง ?

เช่นคนรอบข้างมีรายได้ประจำ   ไม่เป็นภาระรายจ่ายประจำของเรา
ของผม  ภรรยามีรายได้ประจำจากการเป็นข้าราชการ  
ซึ่งเมื่อเกษียณ จะมีเงินบำนาญเป็น passive income  ประมาณสี่หมื่นบาท

แม้แต่การที่คนรอบข้าง  ไม่เคยกดดันเราในการซื้อขายหุ้น
ก็เป็นทุนทางสังคมที่มีค่ามาก  สำหรับคนบางคน  
ไม่เชื่อก็ลองถามคนที่โดนคนรอบข้าง
เซ้าซี้ถามหากำไรจากหุ้นตลอดเวลา
ข้อนี้ ต้นทุนทางสังคมของผมเต็มร้อยเปอร์เซนต์
เพราะภรรยาผมไม่เคยรู้เลยว่า  ผมซื้อขายหุ้นตัวไหน  ถ้าไม่เล่าให้ฟังอมยิ้ม01

๕  ถ้าเลือกใช้แค่ตลาดหุ้น เป็นที่แสวงหาเงิน
ต้องตอบตัวเองว่า  
ระหว่าง  ตลาดหุ้นเป็นใจ  จิ้มตัวไหนเดี๋ยวมันก็ขึ้น  กับราคาหุ้นที่ซื้อเป็นใจ
เรื่องไหนทำได้ยากกว่ากัน
สำหรับผม  ราคาหุ้นที่ซื้อเป็นใจ  ยากกว่าตลาดหุ้นเป็นใจ
แต่ผลตอบแทนมันดีกว่ามากๆ อมยิ้ม16


*  ควรมีเงินออม ที่ไม่เกี่ยวกับการซื้อขายหุ้น  ไว้สำรองค่าใช้จ่ายในการดำเนินชีวิตอย่างน้อยซัก ๕ ปี


เมื่อหาคำตอบทั้งห้าได้แล้ว  
ก็ถึงคราวลงมือแน่วแน่ไปในเส้นทาง  การเดินทางแสวงหาเงินในตลาดหุ้น

ผมแบ่งรายได้จากตลาดหุ้นออกเป็นสองส่วน  

๑  ต้องลงมือทำถึงจะได้  หรือที่เขาเรียกกันว่า active income  จากการซื้อๆขายๆหุ้น
เอากำไรส่วนเกินทุน
(ไม่แน่ใจว่าเรียกถูกหรือเปล่า เพราะไม่ค่อยรู้ศัพท์วิชาการ)




๒  อยู่เฉยๆก็จะมีรายได้  หรือที่เขาเรียกกัน passive income    

เพื่อนในเฟซบุคเคยถามว่า    ถ้าไม่ทำงาน  เงินมันจะมาหาเราได้อย่างไร

จำได้ว่า ตอบไปว่า  

แรกๆเราทำงานเพื่อหาเงิน  แต่ตลาดหุ้นมีปัจจัยที่พิเศษกว่านั้นคือ
ตอนแรก เราเอาเงินไปแลกกับราคาหุ้น
หลังจากนั้น  เงินก็จะเดินมาหาเราเอง

ถ้าราคาหุ้นที่ซื้อ   มีแต้มต่อมากพอจะสร้างกำไรส่วนเกินทุนจากราคาหุ้นและจากเงินปันผลรับ


บางครั้ง  ทำแค่สั่งซื้อหุ้นสองสามครั้ง  
เงินก็จะเดินมาหาเราเอง
อาจจะนานต่อเนื่องนับสิบปี  จนเงินที่เดินมาหาเราท่วมจำนวนเงินที่ใส่เข้าไปหลายเท่าก็มี อมยิ้ม05


passive income  จากตลาดหุ้นเมื่อปีที่แล้ว ได้ตามภาพประกอบ
ในปีนี้จะต้องลดลงไม่น้อยกว่าสามสิบเปอร์เซนต์อย่างแน่นอน
งบรายจ่ายประจำปี  จึงต้องคำนวณจากpassive income ที่ลดลงด้วย  

เงินปันผลรับ หลังหักภาษีเงินปันผล ปี 2560

เครดิตภาษีจากเงินปันผลรับปี 2560



สรุปแล้ว
  
สำหรับตัวผมเอง

ซึ่งเชื่อว่าพอร์ตและความสามารถของแต่ละคนมีไม่เหมือนกัน  

ผมจะเดินทางแสวงหาเงินในตลาดหุ้นแบบศิลปินเดี่ยวได้
เงินปันผลรับแต่ละปี  ต้องสามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายประจำ  
ส่วนกำไรส่วนเกินทุนจากราคาหุ้น  เมื่อถึงจุดอิ่มตัว
ไม่สามารถโตต่อ  เพราะความสามารถของเรามีไม่พอ

เมื่อขายหุ้นทิ้งหมดในราคาส่วนลดครึ่งราคาจากราคาปัจจุบัน  
จะต้องได้เงินจริง ที่สามารถนำมาใช้จ่ายไปได้ตลอดชีวิตที่เหลือครับ  

มีเรื่องที่ห่วงมากๆคือ
ค่าเงินบาทลดจากวิกฤตเศรษฐกิจ จนเงินเฟ้อเพิ่มเป็นร้อยเปอร์เซนต์
และเจ็บป่วยเรื้อรังจนไม่สามารถดูแลตัวเองได้ (อันนี้ค่าใช้จ่ายจะหนักจนคาดไม่ถึง)
นึกภาวนาในใจ  
ถ้าเจ็บป่วย ก็อย่าเรื้อรังจนดูแลตัวเองไม่ได้
ขอให้ได้นอนตายอย่างสงบบนเตียงที่บ้าน






* มีความเห็นเพิ่มเติมในความคิดเห็นที่ ๒๐ และ ๒๓  

https://pantip.com/topic/37336022/comment20
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่