เริ่มด้วยคำถามทางหลังไมค์ ที่ได้ขออนุญาตเจ้าของข้อความ นำมาตั้งเป็นกระทู้แล้ว
คำตอบ
ให้อ่านข้อความในกรอบน้ำเงินของภาพประกอบ เป็นแนวทางที่ผมจะตอบ
คำถาม
ต้องมีขนาดพอร์ตหุ้นเท่าไร? จึงจะสามารถลงทุนในตลาดหุ้นได้ โดยไม่ต้องทำงานอย่างอื่น
คำตอบ
ต้องตอบคำถามตามนี้ก่อนครับ
๑ อะไรยากกว่ากัน ระหว่างลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินชีวิตโดนไม่กระทบต่อสภาพจิตใจ กับการเพิ่มรายได้ที่จะทำได้สม่ำเสมอ
สำหรับบางคน การลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในดำเนินชีวิต จะทำได้ง่ายกว่า
แต่สำหรับคนที่มีความสามารถ คงตอบว่า การเพิ่มรายได้ที่จะได้สม่ำเสมอทำได้ง่ายกว่า
เอาเป็นว่า ผมขอตั้งต้นที่ ลดค่าใช้จ่ายลงง่ายกว่าก็แล้วกัน
คนที่อยู่ในตลาดหุ้นไปนานๆ ย่อมรู้ดีว่า การหากำไรส่วนเกินทุน ให้ได้สม่ำเสมอจะทำได้ยาก
อาจจะง่ายสำหรับคนส่วนหนึ่ง แต่ผมเชื่อว่ามันยาก สำหรับคนในตลาดหุ้นโดยทั่วไป (รวมทั้งผมด้วย

)
๒ ความต้องการความสะดวกสบายทางร่างกายของเรา คิดออกมาเป็นค่าใช้จ่ายประมาณเท่าไร ต่อเดือน ต่อปี
คงต้องคำนวณกันเอาเอง เพราะไม่มีใครรู้ว่า ระดับความต้องการความสะดวกสบายทางร่างกายของแต่ละคนคือเท่าไร
เช่นซื้ออาหารวัตถุดิบมาทำกินเอง ประหยัดกว่าซื้อกินตามห้าง
ซื้อของตามตลาดสด ประหยัดกว่าซื้อจากซุบเปอร์มาร์เก็ตตามห้าง
ขึ้นรถเมล์ประหยัดเงินกว่าขับรถส่วนตัว ขึ้นรถไฟฟ้า นั่งแท็กซี่
ทนรอรักษาไข้จากบัตรทอง ประหยัดกว่าไปโรงพยาบาลเอกชนที่ใช้บัตรทองไม่ได้
ลูกได้เรียนมหาวิทยาลัยของรัฐ ประหยัดกว่าเรียนมหาวิทยาลัยเอกชน ฯลฯ
๓ ความพึงพอด้านจิตใจ ต้องมีค่าใช้จ่ายเท่าไร ในการตอบสนองความพึงพอใจนั้น
ความพึงพอใจส่วนหนึ่ง มาจากการความคุ้นเคยที่เรามีมานาน
ถ้าพอใจจะนั่งรถเบนซ์เพื่อซื้อหน้าตาทางสังคม และความปลอดภัยในการขับขี่
ก็ต้องจ่ายมากกว่านั่งวีออส ซึ่งอาจจะปลอดภัยกว่านั่งเบนซ์ก็ได้ ถ้าขับอย่างระมัดระวัง
เดินทางแบบแบ็คแพ็กเกอร์แล้วมีความสุข ก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินแพงๆเพักโรงแรมสี่ห้าดาว
ขึ้นสายการบินโลว์คอสได้ ก็ประหยัดได้มากกว่าขึ้นสายการบินที่บริการเต็มรูปแบบ ฯลฯ
๔ ต้นทุนทางสังคมมีอะไรบ้าง ?
เช่นคนรอบข้างมีรายได้ประจำ ไม่เป็นภาระรายจ่ายประจำของเรา
ของผม ภรรยามีรายได้ประจำจากการเป็นข้าราชการ
ซึ่งเมื่อเกษียณ จะมีเงินบำนาญเป็น passive income ประมาณสี่หมื่นบาท
แม้แต่การที่คนรอบข้าง ไม่เคยกดดันเราในการซื้อขายหุ้น
ก็เป็นทุนทางสังคมที่มีค่ามาก สำหรับคนบางคน
ไม่เชื่อก็ลองถามคนที่โดนคนรอบข้าง
เซ้าซี้ถามหากำไรจากหุ้นตลอดเวลา
ข้อนี้ ต้นทุนทางสังคมของผมเต็มร้อยเปอร์เซนต์
เพราะภรรยาผมไม่เคยรู้เลยว่า ผมซื้อขายหุ้นตัวไหน ถ้าไม่เล่าให้ฟัง
๕ ถ้าเลือกใช้แค่ตลาดหุ้น เป็นที่แสวงหาเงิน
ต้องตอบตัวเองว่า
ระหว่าง ตลาดหุ้นเป็นใจ จิ้มตัวไหนเดี๋ยวมันก็ขึ้น กับราคาหุ้นที่ซื้อเป็นใจ
เรื่องไหนทำได้ยากกว่ากัน
สำหรับผม ราคาหุ้นที่ซื้อเป็นใจ ยากกว่าตลาดหุ้นเป็นใจ
แต่ผลตอบแทนมันดีกว่ามากๆ
* ควรมีเงินออม ที่ไม่เกี่ยวกับการซื้อขายหุ้น ไว้สำรองค่าใช้จ่ายในการดำเนินชีวิตอย่างน้อยซัก ๕ ปี
เมื่อหาคำตอบทั้งห้าได้แล้ว
ก็ถึงคราวลงมือแน่วแน่ไปในเส้นทาง การเดินทางแสวงหาเงินในตลาดหุ้น
ผมแบ่งรายได้จากตลาดหุ้นออกเป็นสองส่วน
๑ ต้องลงมือทำถึงจะได้ หรือที่เขาเรียกกันว่า active income จากการซื้อๆขายๆหุ้น
เอากำไรส่วนเกินทุน
(ไม่แน่ใจว่าเรียกถูกหรือเปล่า เพราะไม่ค่อยรู้ศัพท์วิชาการ)
๒ อยู่เฉยๆก็จะมีรายได้ หรือที่เขาเรียกกัน passive income
เพื่อนในเฟซบุคเคยถามว่า ถ้าไม่ทำงาน เงินมันจะมาหาเราได้อย่างไร
จำได้ว่า ตอบไปว่า
แรกๆเราทำงานเพื่อหาเงิน แต่ตลาดหุ้นมีปัจจัยที่พิเศษกว่านั้นคือ
ตอนแรก เราเอาเงินไปแลกกับราคาหุ้น
หลังจากนั้น เงินก็จะเดินมาหาเราเอง
ถ้าราคาหุ้นที่ซื้อ มีแต้มต่อมากพอจะสร้างกำไรส่วนเกินทุนจากราคาหุ้นและจากเงินปันผลรับ
บางครั้ง ทำแค่สั่งซื้อหุ้นสองสามครั้ง
เงินก็จะเดินมาหาเราเอง
อาจจะนานต่อเนื่องนับสิบปี จนเงินที่เดินมาหาเราท่วมจำนวนเงินที่ใส่เข้าไปหลายเท่าก็มี
passive income จากตลาดหุ้นเมื่อปีที่แล้ว ได้ตามภาพประกอบ
ในปีนี้จะต้องลดลงไม่น้อยกว่าสามสิบเปอร์เซนต์อย่างแน่นอน
งบรายจ่ายประจำปี จึงต้องคำนวณจากpassive income ที่ลดลงด้วย
เงินปันผลรับ หลังหักภาษีเงินปันผล ปี 2560

เครดิตภาษีจากเงินปันผลรับปี 2560
สรุปแล้ว
สำหรับตัวผมเอง
ซึ่งเชื่อว่าพอร์ตและความสามารถของแต่ละคนมีไม่เหมือนกัน
ผมจะเดินทางแสวงหาเงินในตลาดหุ้นแบบศิลปินเดี่ยวได้
เงินปันผลรับแต่ละปี ต้องสามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายประจำ
ส่วนกำไรส่วนเกินทุนจากราคาหุ้น เมื่อถึงจุดอิ่มตัว
ไม่สามารถโตต่อ เพราะความสามารถของเรามีไม่พอ
เมื่อขายหุ้นทิ้งหมดในราคาส่วนลดครึ่งราคาจากราคาปัจจุบัน
จะต้องได้เงินจริง ที่สามารถนำมาใช้จ่ายไปได้ตลอดชีวิตที่เหลือครับ
มีเรื่องที่ห่วงมากๆคือ
ค่าเงินบาทลดจากวิกฤตเศรษฐกิจ จนเงินเฟ้อเพิ่มเป็นร้อยเปอร์เซนต์
และเจ็บป่วยเรื้อรังจนไม่สามารถดูแลตัวเองได้ (อันนี้ค่าใช้จ่ายจะหนักจนคาดไม่ถึง)
นึกภาวนาในใจ
ถ้าเจ็บป่วย ก็อย่าเรื้อรังจนดูแลตัวเองไม่ได้
ขอให้ได้นอนตายอย่างสงบบนเตียงที่บ้าน
๙ แล้ว ๖ ๖ แล้ว ๙ ตอบหลังไมค์ ว่าด้วย "การเป็นผู้เดินทางแสวงหาเงินในตลาดหุ้น"
ให้อ่านข้อความในกรอบน้ำเงินของภาพประกอบ เป็นแนวทางที่ผมจะตอบ
ต้องมีขนาดพอร์ตหุ้นเท่าไร? จึงจะสามารถลงทุนในตลาดหุ้นได้ โดยไม่ต้องทำงานอย่างอื่น
ต้องตอบคำถามตามนี้ก่อนครับ
๑ อะไรยากกว่ากัน ระหว่างลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินชีวิตโดนไม่กระทบต่อสภาพจิตใจ กับการเพิ่มรายได้ที่จะทำได้สม่ำเสมอ
สำหรับบางคน การลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในดำเนินชีวิต จะทำได้ง่ายกว่า
แต่สำหรับคนที่มีความสามารถ คงตอบว่า การเพิ่มรายได้ที่จะได้สม่ำเสมอทำได้ง่ายกว่า
เอาเป็นว่า ผมขอตั้งต้นที่ ลดค่าใช้จ่ายลงง่ายกว่าก็แล้วกัน
คนที่อยู่ในตลาดหุ้นไปนานๆ ย่อมรู้ดีว่า การหากำไรส่วนเกินทุน ให้ได้สม่ำเสมอจะทำได้ยาก
อาจจะง่ายสำหรับคนส่วนหนึ่ง แต่ผมเชื่อว่ามันยาก สำหรับคนในตลาดหุ้นโดยทั่วไป (รวมทั้งผมด้วย
๒ ความต้องการความสะดวกสบายทางร่างกายของเรา คิดออกมาเป็นค่าใช้จ่ายประมาณเท่าไร ต่อเดือน ต่อปี
คงต้องคำนวณกันเอาเอง เพราะไม่มีใครรู้ว่า ระดับความต้องการความสะดวกสบายทางร่างกายของแต่ละคนคือเท่าไร
เช่นซื้ออาหารวัตถุดิบมาทำกินเอง ประหยัดกว่าซื้อกินตามห้าง
ซื้อของตามตลาดสด ประหยัดกว่าซื้อจากซุบเปอร์มาร์เก็ตตามห้าง
ขึ้นรถเมล์ประหยัดเงินกว่าขับรถส่วนตัว ขึ้นรถไฟฟ้า นั่งแท็กซี่
ทนรอรักษาไข้จากบัตรทอง ประหยัดกว่าไปโรงพยาบาลเอกชนที่ใช้บัตรทองไม่ได้
ลูกได้เรียนมหาวิทยาลัยของรัฐ ประหยัดกว่าเรียนมหาวิทยาลัยเอกชน ฯลฯ
๓ ความพึงพอด้านจิตใจ ต้องมีค่าใช้จ่ายเท่าไร ในการตอบสนองความพึงพอใจนั้น
ความพึงพอใจส่วนหนึ่ง มาจากการความคุ้นเคยที่เรามีมานาน
ถ้าพอใจจะนั่งรถเบนซ์เพื่อซื้อหน้าตาทางสังคม และความปลอดภัยในการขับขี่
ก็ต้องจ่ายมากกว่านั่งวีออส ซึ่งอาจจะปลอดภัยกว่านั่งเบนซ์ก็ได้ ถ้าขับอย่างระมัดระวัง
เดินทางแบบแบ็คแพ็กเกอร์แล้วมีความสุข ก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินแพงๆเพักโรงแรมสี่ห้าดาว
ขึ้นสายการบินโลว์คอสได้ ก็ประหยัดได้มากกว่าขึ้นสายการบินที่บริการเต็มรูปแบบ ฯลฯ
๔ ต้นทุนทางสังคมมีอะไรบ้าง ?
เช่นคนรอบข้างมีรายได้ประจำ ไม่เป็นภาระรายจ่ายประจำของเรา
ของผม ภรรยามีรายได้ประจำจากการเป็นข้าราชการ
ซึ่งเมื่อเกษียณ จะมีเงินบำนาญเป็น passive income ประมาณสี่หมื่นบาท
แม้แต่การที่คนรอบข้าง ไม่เคยกดดันเราในการซื้อขายหุ้น
ก็เป็นทุนทางสังคมที่มีค่ามาก สำหรับคนบางคน
ไม่เชื่อก็ลองถามคนที่โดนคนรอบข้าง
เซ้าซี้ถามหากำไรจากหุ้นตลอดเวลา
ข้อนี้ ต้นทุนทางสังคมของผมเต็มร้อยเปอร์เซนต์
เพราะภรรยาผมไม่เคยรู้เลยว่า ผมซื้อขายหุ้นตัวไหน ถ้าไม่เล่าให้ฟัง
๕ ถ้าเลือกใช้แค่ตลาดหุ้น เป็นที่แสวงหาเงิน
ต้องตอบตัวเองว่า
ระหว่าง ตลาดหุ้นเป็นใจ จิ้มตัวไหนเดี๋ยวมันก็ขึ้น กับราคาหุ้นที่ซื้อเป็นใจ
เรื่องไหนทำได้ยากกว่ากัน
สำหรับผม ราคาหุ้นที่ซื้อเป็นใจ ยากกว่าตลาดหุ้นเป็นใจ
แต่ผลตอบแทนมันดีกว่ามากๆ
* ควรมีเงินออม ที่ไม่เกี่ยวกับการซื้อขายหุ้น ไว้สำรองค่าใช้จ่ายในการดำเนินชีวิตอย่างน้อยซัก ๕ ปี
เมื่อหาคำตอบทั้งห้าได้แล้ว
ก็ถึงคราวลงมือแน่วแน่ไปในเส้นทาง การเดินทางแสวงหาเงินในตลาดหุ้น
ผมแบ่งรายได้จากตลาดหุ้นออกเป็นสองส่วน
๑ ต้องลงมือทำถึงจะได้ หรือที่เขาเรียกกันว่า active income จากการซื้อๆขายๆหุ้น
เอากำไรส่วนเกินทุน
(ไม่แน่ใจว่าเรียกถูกหรือเปล่า เพราะไม่ค่อยรู้ศัพท์วิชาการ)
๒ อยู่เฉยๆก็จะมีรายได้ หรือที่เขาเรียกกัน passive income
เพื่อนในเฟซบุคเคยถามว่า ถ้าไม่ทำงาน เงินมันจะมาหาเราได้อย่างไร
จำได้ว่า ตอบไปว่า
แรกๆเราทำงานเพื่อหาเงิน แต่ตลาดหุ้นมีปัจจัยที่พิเศษกว่านั้นคือ
ตอนแรก เราเอาเงินไปแลกกับราคาหุ้น
หลังจากนั้น เงินก็จะเดินมาหาเราเอง
บางครั้ง ทำแค่สั่งซื้อหุ้นสองสามครั้ง
เงินก็จะเดินมาหาเราเอง
อาจจะนานต่อเนื่องนับสิบปี จนเงินที่เดินมาหาเราท่วมจำนวนเงินที่ใส่เข้าไปหลายเท่าก็มี
passive income จากตลาดหุ้นเมื่อปีที่แล้ว ได้ตามภาพประกอบ
ในปีนี้จะต้องลดลงไม่น้อยกว่าสามสิบเปอร์เซนต์อย่างแน่นอน
งบรายจ่ายประจำปี จึงต้องคำนวณจากpassive income ที่ลดลงด้วย
เงินปันผลรับ หลังหักภาษีเงินปันผล ปี 2560
เครดิตภาษีจากเงินปันผลรับปี 2560
สรุปแล้ว
ซึ่งเชื่อว่าพอร์ตและความสามารถของแต่ละคนมีไม่เหมือนกัน
ผมจะเดินทางแสวงหาเงินในตลาดหุ้นแบบศิลปินเดี่ยวได้
เงินปันผลรับแต่ละปี ต้องสามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายประจำ
ส่วนกำไรส่วนเกินทุนจากราคาหุ้น เมื่อถึงจุดอิ่มตัว
ไม่สามารถโตต่อ เพราะความสามารถของเรามีไม่พอ
จะต้องได้เงินจริง ที่สามารถนำมาใช้จ่ายไปได้ตลอดชีวิตที่เหลือครับ
มีเรื่องที่ห่วงมากๆคือ
ค่าเงินบาทลดจากวิกฤตเศรษฐกิจ จนเงินเฟ้อเพิ่มเป็นร้อยเปอร์เซนต์
และเจ็บป่วยเรื้อรังจนไม่สามารถดูแลตัวเองได้ (อันนี้ค่าใช้จ่ายจะหนักจนคาดไม่ถึง)
นึกภาวนาในใจ
ถ้าเจ็บป่วย ก็อย่าเรื้อรังจนดูแลตัวเองไม่ได้
ขอให้ได้นอนตายอย่างสงบบนเตียงที่บ้าน
https://pantip.com/topic/37336022/comment20