สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 48
Hate speech ไงครับ มันอยู่ที่คนเราถือไม่ถือ
ผมว่าเรื่องนี้พูดในคนไทยให้เข้าใจยาก
เพราะคนไทย ไม่ถือ เอ็นดู หยวนๆ เอาเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้าง
อย่าอ้างเรียกพวกนี้มาเป็นข้ออ้างในการพูดเลย
ถ้าหลักสากลคงไม่มีใครอยากเอาตัวเองไปเทียบกับสัตว์มั้งครับ
ผมไม่ได้บอกว่าสัตว์ไม่ดีนะครับ แต่เราไม่ใช่สัตว์ไงครับ
เหมือนคนไทยทักกันมานานแล้ว ไม่เจอกันนานอ้วนจัง ไปทำไรมาดำเชียว
บางทีผมว่าคนไทยชินชากับ Hate speech เวลาเจอคนที่ถือ คนที่ไม่ชอบ
ว่าเป็นพวกแปลกแยก
ปล.1 เด็กที่ไม่ถือก็มี เด็กที่ถือก็มี เด็กที่ถือเอาจริงก็ทำอะไรไม่ได้มาก หลายๆความเห็น
บอกเรียกหลานมานาน ก็ไม่ได้อะไร คือไปตรัสรู้ได้ไงว่าหลานเขาจะเฉยๆ
คือแสดงความไม่พอใจก็โดนหาว่าไร้สาระ ก้าวร้าว หรือเขายังเห็นหัวว่าเป็นผู้ใหญ่
เลยปล่อยๆไป รู้ได้ไงว่าเขาเต็มใจให้เรียก
สำหรับเด็กเต็มใจ ผมยินดีด้วยนะครับที่คุณไม่ถือ แต่ยังไงก็ขอที่ยืนให้กับเด็กที่ไม่เต็ม
ใจไม่ชอบให้ถูกเรียกแบบนั้นด้วยครับ
ปล.2 แต่ผมไม่เห็นด้วยนะที่สามีคุณใช้อารมณ์ใส่ ควรพูดกันดีๆมากกว่า
ปล.3 ก็อยากให้คุณแม่หรือคุณพ่อ หรือใครที่คิดจะเป็นคุณพ่อคุณแม่ลองคิดดูนะครับว่า
อยากเลี้ยงลูกให้เคยชินกับวัฒนธรรม Hate speech ตั้งแต่เด็กๆหรือสอนเขาว่าเราไม่ควรใช้
Hate speech กับใคร เพราะเรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่บ่มเพาะกันตั้งแต่เด็ก เชื่อเถอะครับมันสอน
ให้เด็กเกิดพฤติกรรมเลียนแบบได้ง่าย สังเกตได้เลยจากความเห็นว่า
บ้านเลี้ยงมาอย่างงี้เลยเฉยๆ พ่อแม่ฉันก็เรียกแบบนี้ แล้วคิดว่าน่ารักดีก็จะทำต่อไป
มีเด็กมากมายที่ไม่อยากไปโรงเรียนเพราะเพื่อนเรียกชื่อตัวเองด้วยชื่ออื่นแทน
พฤติกรรมเนี่ยเกิดการเรียนรู้ได้จากทั้งเพื่อน และสถาบันครอบครัวนะอยากให้ลูกของคุณ
และสังคมไทยยังตกเป็นเหยื่อจากวัฒนธรรม Hate speech หรือไม่
ปล.4 ถ้าเห็นว่ามันซีเรียสไปก็ข้ามๆไปก็ได้นะครับ
ผมว่าเรื่องนี้พูดในคนไทยให้เข้าใจยาก
เพราะคนไทย ไม่ถือ เอ็นดู หยวนๆ เอาเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้าง
อย่าอ้างเรียกพวกนี้มาเป็นข้ออ้างในการพูดเลย
ถ้าหลักสากลคงไม่มีใครอยากเอาตัวเองไปเทียบกับสัตว์มั้งครับ
ผมไม่ได้บอกว่าสัตว์ไม่ดีนะครับ แต่เราไม่ใช่สัตว์ไงครับ
เหมือนคนไทยทักกันมานานแล้ว ไม่เจอกันนานอ้วนจัง ไปทำไรมาดำเชียว
บางทีผมว่าคนไทยชินชากับ Hate speech เวลาเจอคนที่ถือ คนที่ไม่ชอบ
ว่าเป็นพวกแปลกแยก
ปล.1 เด็กที่ไม่ถือก็มี เด็กที่ถือก็มี เด็กที่ถือเอาจริงก็ทำอะไรไม่ได้มาก หลายๆความเห็น
บอกเรียกหลานมานาน ก็ไม่ได้อะไร คือไปตรัสรู้ได้ไงว่าหลานเขาจะเฉยๆ
คือแสดงความไม่พอใจก็โดนหาว่าไร้สาระ ก้าวร้าว หรือเขายังเห็นหัวว่าเป็นผู้ใหญ่
เลยปล่อยๆไป รู้ได้ไงว่าเขาเต็มใจให้เรียก
สำหรับเด็กเต็มใจ ผมยินดีด้วยนะครับที่คุณไม่ถือ แต่ยังไงก็ขอที่ยืนให้กับเด็กที่ไม่เต็ม
ใจไม่ชอบให้ถูกเรียกแบบนั้นด้วยครับ
ปล.2 แต่ผมไม่เห็นด้วยนะที่สามีคุณใช้อารมณ์ใส่ ควรพูดกันดีๆมากกว่า
ปล.3 ก็อยากให้คุณแม่หรือคุณพ่อ หรือใครที่คิดจะเป็นคุณพ่อคุณแม่ลองคิดดูนะครับว่า
อยากเลี้ยงลูกให้เคยชินกับวัฒนธรรม Hate speech ตั้งแต่เด็กๆหรือสอนเขาว่าเราไม่ควรใช้
Hate speech กับใคร เพราะเรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่บ่มเพาะกันตั้งแต่เด็ก เชื่อเถอะครับมันสอน
ให้เด็กเกิดพฤติกรรมเลียนแบบได้ง่าย สังเกตได้เลยจากความเห็นว่า
บ้านเลี้ยงมาอย่างงี้เลยเฉยๆ พ่อแม่ฉันก็เรียกแบบนี้ แล้วคิดว่าน่ารักดีก็จะทำต่อไป
มีเด็กมากมายที่ไม่อยากไปโรงเรียนเพราะเพื่อนเรียกชื่อตัวเองด้วยชื่ออื่นแทน
พฤติกรรมเนี่ยเกิดการเรียนรู้ได้จากทั้งเพื่อน และสถาบันครอบครัวนะอยากให้ลูกของคุณ
และสังคมไทยยังตกเป็นเหยื่อจากวัฒนธรรม Hate speech หรือไม่
ปล.4 ถ้าเห็นว่ามันซีเรียสไปก็ข้ามๆไปก็ได้นะครับ
ความคิดเห็นที่ 112
การเรียกคนอื่นด้วยชื่อสัตว์หรือสิ่งของเป็นการลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ของคนอื่นครับ
การเรียกเด็กๆด้วยวิธีเหล่านี้ผู้เรียกหวังว่า(อาจจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจไม่รู้แต่ในใจหวังว่า)เด็กจะยอมรับอำนาจของผู้เรียกได้ง่ายขึ้น
เพราะเด็กถูกลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ไปแล้วด้วยกระบวนการดังกล่าว
เมื่อเป็นแบบนั้น สิ่งที่จะส่งผลต่อไปในอนาคตก็คือ เด็กที่ถูกเรียกแบบนั้นจะมีความนับถือตนเองน้อยลง
ไม่ค่อยนับถือศักดิ์ศรีของคนเอง ดังนั้นจะทำให้ละทิ้งความดีในตนเองได้ง่าย เข้าสู่อบายมุขได้ง่าย
และไม่ค่อยมีพลังเชิงบวกในการที่จะทำอะไรบางอย่างจนสุดความสามารถ หรือมุ่งมั่นทำจนสำเร็จ
ระเบียบวินัยก็ฝึกไม่ค่อยได้ ตอนมีคนดูอาจจะทำ พอไม่มีคนดูก็โกง
แถมยังเชื่อเรื่องงมงาย
กลับกัน เด็กที่ถูกเลี้ยงมาโดยพ่อแม่ที่ยอมรับเขาในฐานะมนุษย์คนหนึ่งจะมีความมั่นใจ มีความเป็นผู้นำ
กล้าคิด กล้าทดลองทำสิ่งต่างๆตามหลักการที่ตนเองได้เรียนรู้มา มีความมุ่งมั่นในการจะทำสิ่งต่างๆให้สำเร็จ
สังคมไทยไม่ค่อยมีมุมมองการเลี้ยงลูกแบบมองเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง แต่จะเลี้ยงแบบต้องการให้ลูกเชื่อฟัง
ซึ่งพ่อแม่ที่ต้องการให้ลูกเชื่อฟังก็จะเริ่มจากการลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ของลูกไปเรื่อยๆก่อน
เพราะคนที่รับรู้ว่าตนเองมีคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์มากพอ เขาจะมีศักดิ์ศรี กล้าอภิปรายทำให้ความรู้เขาพัฒนาเร็ว
และถ้าเขามีความรู้ เขาจะไม่ยอมเชื่อฟังใครง่ายๆ แบบคนงมงาย
ซึ่งคนญี่ปุ่นส่วนมากจะเลี้ยงลูกด้วยมุมมองแบบนี้คือมองเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ให้ความยอมรับนับถือเขา
ทำให้เด็กญี่ปุ่นมีความนับถือในคุณค่าความเป็นมนุษย์ของตนเอง ไม่งมง่าย มีวินัย มีความมุ่งมั่น
เมื่อผู้ใหญ่ในสังคมไทย ชอบเลี้ยงดูด้วยวิธีลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ของเด็กต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จากรุ่นสู่รุ่น
เราจึงเห็นคนไทยจำนวนมากมีความงมงายมากมาย เคารพกราบไหว้ทุกอย่าง ยกเว้นกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ของสังคม
การที่เด็กที่เกิดมาในสังคมแบบนี้จะปลดแอกตัวเองจนสามารถนับถือในคุณค่าความเป็นมนุษย์ของตนเองได้นั้น
จะต้องมีอย่างน้อย 2 ปัจจัยคือ เด็กคนนั้นไม่โดนผู้ใหญ่ทำลายคุณค่าความเป็นมนุษย์ของเด็กมากเกินไป และ
เด็กคนนั้นพัฒนาความฉลาดของตนเองได้เร็วกว่าคุณค่าความเป็นมนุษย์ที่ถูกทำลายไปจนได้รับความยอมรับจากผู้ใหญ่ได้เร็ว
ดังนั้น เราจะพบว่า คนที่สามารถพัฒนาตนเองจนเป็นคนที่มีความมุ่งมั่น มีความสามารถในการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ในระดับสูง
รักษาวินัยในตนเองได้ดี แม้จะไม่มีคนคอยดู คนเหล่านี้ล้วนเคยเป็นเด็กเรียนเก่งมาก่อนแทบทั้งนั้น
การเรียกเด็กๆด้วยวิธีเหล่านี้ผู้เรียกหวังว่า(อาจจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจไม่รู้แต่ในใจหวังว่า)เด็กจะยอมรับอำนาจของผู้เรียกได้ง่ายขึ้น
เพราะเด็กถูกลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ไปแล้วด้วยกระบวนการดังกล่าว
เมื่อเป็นแบบนั้น สิ่งที่จะส่งผลต่อไปในอนาคตก็คือ เด็กที่ถูกเรียกแบบนั้นจะมีความนับถือตนเองน้อยลง
ไม่ค่อยนับถือศักดิ์ศรีของคนเอง ดังนั้นจะทำให้ละทิ้งความดีในตนเองได้ง่าย เข้าสู่อบายมุขได้ง่าย
และไม่ค่อยมีพลังเชิงบวกในการที่จะทำอะไรบางอย่างจนสุดความสามารถ หรือมุ่งมั่นทำจนสำเร็จ
ระเบียบวินัยก็ฝึกไม่ค่อยได้ ตอนมีคนดูอาจจะทำ พอไม่มีคนดูก็โกง
แถมยังเชื่อเรื่องงมงาย
กลับกัน เด็กที่ถูกเลี้ยงมาโดยพ่อแม่ที่ยอมรับเขาในฐานะมนุษย์คนหนึ่งจะมีความมั่นใจ มีความเป็นผู้นำ
กล้าคิด กล้าทดลองทำสิ่งต่างๆตามหลักการที่ตนเองได้เรียนรู้มา มีความมุ่งมั่นในการจะทำสิ่งต่างๆให้สำเร็จ
สังคมไทยไม่ค่อยมีมุมมองการเลี้ยงลูกแบบมองเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง แต่จะเลี้ยงแบบต้องการให้ลูกเชื่อฟัง
ซึ่งพ่อแม่ที่ต้องการให้ลูกเชื่อฟังก็จะเริ่มจากการลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ของลูกไปเรื่อยๆก่อน
เพราะคนที่รับรู้ว่าตนเองมีคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์มากพอ เขาจะมีศักดิ์ศรี กล้าอภิปรายทำให้ความรู้เขาพัฒนาเร็ว
และถ้าเขามีความรู้ เขาจะไม่ยอมเชื่อฟังใครง่ายๆ แบบคนงมงาย
ซึ่งคนญี่ปุ่นส่วนมากจะเลี้ยงลูกด้วยมุมมองแบบนี้คือมองเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ให้ความยอมรับนับถือเขา
ทำให้เด็กญี่ปุ่นมีความนับถือในคุณค่าความเป็นมนุษย์ของตนเอง ไม่งมง่าย มีวินัย มีความมุ่งมั่น
เมื่อผู้ใหญ่ในสังคมไทย ชอบเลี้ยงดูด้วยวิธีลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ของเด็กต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จากรุ่นสู่รุ่น
เราจึงเห็นคนไทยจำนวนมากมีความงมงายมากมาย เคารพกราบไหว้ทุกอย่าง ยกเว้นกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ของสังคม
การที่เด็กที่เกิดมาในสังคมแบบนี้จะปลดแอกตัวเองจนสามารถนับถือในคุณค่าความเป็นมนุษย์ของตนเองได้นั้น
จะต้องมีอย่างน้อย 2 ปัจจัยคือ เด็กคนนั้นไม่โดนผู้ใหญ่ทำลายคุณค่าความเป็นมนุษย์ของเด็กมากเกินไป และ
เด็กคนนั้นพัฒนาความฉลาดของตนเองได้เร็วกว่าคุณค่าความเป็นมนุษย์ที่ถูกทำลายไปจนได้รับความยอมรับจากผู้ใหญ่ได้เร็ว
ดังนั้น เราจะพบว่า คนที่สามารถพัฒนาตนเองจนเป็นคนที่มีความมุ่งมั่น มีความสามารถในการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ในระดับสูง
รักษาวินัยในตนเองได้ดี แม้จะไม่มีคนคอยดู คนเหล่านี้ล้วนเคยเป็นเด็กเรียนเก่งมาก่อนแทบทั้งนั้น
ความคิดเห็นที่ 5
น่าจะแล้วแต่บ้าน ถ้าใครมาเอ็นดูเราเป็นหมาน้อย ลิงน้อย ฯลฯ ต่อให้ยังอายุน้อยกว่านี้เราก็สะดุ้งกึ่งๆไม่ชอบใจเท่าไหร่เพราะที่บ้านเราไม่เคยเอ็นดูด้วยคำนี้ ถ้าเรามีลูกเล็กๆแล้วคนอื่นมาเรียกหมาน้อย หมู ลิง อะไรแนวนั้นเราก็ไม่ปลื้ม สามีจขกทอาจจะคล้ายๆเราคือไม่ชินและไม่คุ้นที่จะเอ็นดูแบบนี้มากกว่าค่ะ
แสดงความคิดเห็น
เราเรียกลูก ว่า”หมาน้อย”ค่ะ (เพราะความเอ็นดู) แต่...กลายเป็นเรื่องใหญ่
เท่านั้นแหละค่ะ สามีได้ยิน แล้วต่อว่าเราทัน โดยใส่อารมณ์ บอกว่ามันคือคำหยาบ ไม่ดี ไปเอาความเข้าใจผิดนี้มาจากไหน
ตอนนั้น เราเงียบทันทีค่ะ คือ...งงมาก เราทำอะไรผิดขนาดนั้นเลยหรอ
ก็อยากทราบว่า ...นี่มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยหรอค่ะ แล้วมันหยาบหรอค่ะสำหรับเลี้ยงลูกตัวเอง??