การพบกันของคนสูงที่สุดกับคนเตี้ยที่สุดในโลก


The Worlds Tallest Man And Smallest Woman Just Met For A Photoshoot



มันมักจะเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดใจ/ลำบากใจกับการเป็นสาวตัวเตี้ยในกลุ่ม
คุณจะต้องเดินเร็วขึ้นกว่าเดิมหรือมากกว่าคนอื่น ๆ เพื่อติดตามเพื่อนฝูงให้ทัน
และไม่สามารถมองเห็นในฝูงชนท่ามกลางงานมหกรรมดนตรี/การจัดกิจกรรมสำคัญ ๆ ต่าง ๆ ได้
พนันได้เลยตอนนี้ยังไม่มีใครที่รู้สึกว่าน่าอึดอัดใจ/ลำบากใจ
มากกว่า Jyoti Amge วัย 24 ปี จากอินเดีย




เธอเป็นผู้หญิงตัวเล็กที่สุดและเตี้ยที่สุดในโลกที่สูงราว 2 ฟุตเศษ
เมื่อเร็ว ๆ นี้เธอได้พบกับชายคนที่สูงที่สุดในโลก Sultan Kosen อายุ 35 ปีจากตุรกี
ชายที่สูงราว 8 ฟุต 1 นิ้ว เสมือนตึกระฟ้าเมื่อยืนเทียบกับ Jyoti  Amge
ซึ่งดูเหมือนจะมีความสูงแค่หัวเข่าของ Sultan Kosen




เมื่อเร็ว ๆ นี้ทั้งคู่ได้พบปะกันเพื่อถ่ายภาพในประเทศอียิปต์เพื่อถ่ายภาพที่งดงามและน่าอัศจรรย์  
ตามโครงการของคณะกรรมการส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศอียิปต์
ที่มีแนวคิดว่าจะเป็นการสร้างความสนใจและประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี
(ใช้กระแสข่าวดังกล่าวให้สื่อมวลชนต่างตีพิมพ์โดยไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทน
แบบมหาเธร์  มาเลย์ โฆษณาเกาะลังกาวี โดยใช้ ตำนานพระนางเลือดขาว
ซึ่งมีความลึกลับเจือปนด้วยไสยเวทย์ในประเทศที่คนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม)




Jyoti Amge มีร่างรูปแคระแกร็นและไม่สูงมากนักเพราะ Achondroplasia
เป็นความผิดปกติทางพันธุกรรมที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของกระดูก
มีผลทำให้สัดส่วนร่างกายสั้นและแขนขาสั้นไม่สมดุล
เธอได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้หญิงที่เตี้ยที่สุดในโลกในปี 2001
ตอนเธออายุ 18 ปีและในขณะนั้นมีน้ำหนักเพียงแค่ 11 ปอนด์
โดย Guinness Book of World Records




Jyoti Amge ต้องใช้เสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้
ที่จัดทำขึ้นเป็นพิเศษเพื่อให้เหมาะสมกับร่างกายของเธอ
Sultan Kosen ก็ต้องมีเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้
ที่จัดทำขึ้นเป็นพิเศษเพื่อให้เหมาะสมกับร่างกายของตนเอง
ในทำเองเดียวกัน แต่ด้วยเหตุผลที่ตรงกันข้ามกัน




รูปร่างขนาดมหึมาของ Sultan Kosen เกิดจากความผิดปกติภายในสมอง
กล่าวคือ ต่อมใต้สมองผลิตฮอร์โมนการเจริญเติบโตมากเกินไป
ทำให้ร่างกายเจริญเติบโตและทำให้สูงมากเกินไป
(โรคสูงผิดปกติ  Gigantism)
Sultan Kosen ได้รับการยอมรับว่าเป็นคนที่สูงที่สุดในโลกในปี 2001
โดย Guinness Book of World Records

Sultan Kosen เป็นผู้ชายคนแรกที่มีการวัดส่วนสัดต่าง ๆ
และรวบรวมไว้ในหนังสือเป็นเวลากว่า 20 ปี
และในเวลานั้นยังได้รับการบันทึกว่า มีมือที่ใหญ่ที่สุด
จากข้อมือไปที่ปลายนิ้วกลางมีความยาวถึง 11.2 นิ้ว




" ผมไม่เคยคิดเลยว่า ผมจะได้รับการจดบันทึกในหนังสือ "  Sultan Kosen
(Guinness Book of World Records)
แต่มันไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจเลย
เพราะเพียง 10 คนในโลกเท่านั้น
ที่เคยได้รับการบันทึกว่ามีความสูงกว่า 8 ฟุต




ก่อนหน้านี้ Sultan Kosen ได้เข้าร่วมงาน
เฉลิมฉลองประจำปีของ Guinness World Records ที่ลอนดอน
ซึ่งเขาได้พบกับผู้ชายคนที่เตี้ยที่สุดในโลก Chandra Bahadur Dangi จากประเทศเนปาล
Chandra Bahadur Dangi มีอายุ 74 ปีมีความสูงเพียง 21.5 นิ้วและน้ำหนักเพียง 32 ปอนด์




Chandra Bahadur Dangi  เป็นช่างทอผ้าและยังช่วยเลี้ยงปศุสัตว์
ในหมู่บ้านหุบเขา Reemkholi ของเนปาล

" การที่ได้พบกับจันทราเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก
แม้ว่าเขาจะเตี้ยมากและผมจะสูงมาก
แต่เราทั้งสองคนต่างต้องต่อสู้ดิ้นรน
อย่างคล้ายคลึงกันตลอดชีวิตของเรา
และเมื่อผมมองเข้าไปในดวงตาของเขา
ผมก็มั่นใจได้เลยว่าเขาเป็นคนดี " Sultan Kosen

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
World's tallest man meets world's shortest in London



เรียบเรียง/ที่มา


https://goo.gl/9aaKew








Messi ในวัยเด็กก็เกือบจะเป็นเด็กแคระ
โชคดีที่ได้รับฮอร์โมนสร้างการเจริญเติบโต

เลียวเนล อันเดรส "เลโอ" เมสซี กูซีตีนี  Lionel Andrés "Leo" Messi Cuccitin
ตอนอายุ 10 ปี เขามีอาการขาดฮอร์โมนการเจริญเติบโต ซึ่งมีผลต่อความสุง/สมดุลร่างกาย
จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง แต่ประกันสุขภาพครอบคลุมการรักษาได้เพียงแค่ 2 ปี
ซึ่งค่ารักษาหลังจากนั้นเกินกำลังฐานะครอบครัว
ประกอบกับอาร์เจนตินากำลังเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในขณะนั้น (1999-2001)
ทำให้สโมสรนีเวลล์ส โอลด์ บอยส์ ต้นสังกัดของเขาที่ตอนแรกตกลงจะช่วยเหลือเรื่องค่ารักษา
ไม่สามารถทำได้ตามทีตกลงกันไว้ และถึงแม้ว่า สโมสรอัตเลตีโกรีเบอร์ปลาเต (River Plate)
สโมสรใหญ่ในลีกสูงสุดของอาร์เจนตินา จะแสดงความสนใจในตัวเมสซี
ก็ไม่มีเงินเพียงพอที่จะจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้เขา เป็นเงินถึง 900 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน

แต่นับว่าเมสซียังมีความหวังอยู่บ้าง เพราะครอบครัวของเขา
มีญาติอาศัยอยู่ในเมืองเยย์ดา แคว้นคาเทโลเนีย (ที่พยายามแยกตัวออกจากสเปญ)
ซึ่งช่วยเหลือนำเทปบันทึกการเล่นฟุตบอลของเมสซีส่งให้สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา พิจารณา
หลังผ่านการพิจารณา เมสซีและพ่อของเขาก็เดินทางมาทดสอบฝีเท้าที่บาร์เซโลนา
การ์เลส ราซัก ผู้บริหารด้านกีฬาของสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาในขณะนั้น
ได้เห็นความสามารถของเมสซี ก็ตัดสินใจเซ็นสัญญากับเขาทันที
โดยสัญญาฉบับแรกเขียนขึ้นอย่างคร่าว ๆ ในกระดาษเช็ดปากของร้านอาหาร
ที่ การ์เลส ราซัก นัดพูดคุยกับพ่อเขานั่นเอง
กลายเป็นตำนานสัญญาผ้าเช็ดปากที่กล่าวกันในปัจจุบัน
โดยบาร์เซโลนาเสนอจ่ายค่าพยาบาลให้ทั้งหมด ถ้าเขายินยอมที่จะย้ายมาอยู่สเปน
เมสซีและครอบครัวย้ายมายังยุโรป ในเดือนกุมภาพันธ์ 2001 ขณะที่เขาอายุ 13 ปี
และเริ่มเล่นให้สโมสรเยาวชนของทีมตั้งแต่นั้นมา

แต่ในช่วงขวบปีแรกที่บาร์เซโลนาของเขาก็ไม่ง่ายนัก
เขายังไม่สามารถลงเล่นในเกมเป็นทางการได้
เนื่องจากเป็นนักเตะเยาวชนต่างชาติ ยังไม่ได้รับสัญชาติยุโรป
เขาจึงได้ลงสนามแค่ในเกมกระชับมิตร และเกมในการแข่งขันกาตาลาลีกเท่านั้น
อีกทั้งแม่ พี่ชาย 2 คนและน้องสาวของเขาก็ย้ายกลับไปอาร์เจนตินา
เหลือเพียงตัวเขากับพ่อเท่านั้นที่ยังอยู่บาร์เซโลนา
การปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ของเขาไม่ง่าย
เนื่องจากเป็นเด็กที่ค่อนข้างเงียบ เก็บตัว
และมีความต่างด้านภาษา สำเนียง และวัฒนธรรมค่อนข้างมาก
(บาร์เซโลนาใช้ภาษากาตาลาอย่างแพร่หลาย)
และในปี 2002 เขาก็ได้รับการลงทะเบียนเป็นนักเตะ
สามารถลงแข่งขันได้ทุกรายการ และเริ่มมีเพื่อนเพิ่มมากขึ้น
นักฟุตบอลซึ่งเติบโตมาด้วยกันที่มีชื่อเสียง ได้แก่ ฌาราร์ ปิเก และ เซสก์ ฟาเบรกัส

พออายุ 14 ปี การรักษาภาวะขาดฮอร์โมนการเจริญเติบโตของเขาก็สำเร็จเสร็จสิ้นลง
แต่ก็มีผลต่อเนื่องถึงความสูงของเขาจนถึงทุกวันนี้
จัดว่าไม่สูงมากจากความสูงเฉลี่ยของนักฟุตบอลในยุโรป
รายละเอียด/ที่มา https://goo.gl/xAdr8g




แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่