ว่าด้วยเรื่องมหากาพย์สงครามสื่อ(แท้) กับสื่อ(เทียม)
หลังเจ้าหน้าที่กรมการปกครอง ออกอิทธิฤิทธิ์ลงพื้นที่จับอาบอบนวดชื่อดัง จนเป็นที่มาของการไล่ล่าเปิดชื่อเจ้าของตัวจริงเสียงจริงว่ารายได้มหาศาลนั้นตกไปเป็นของใครกันแน่ ใครน่ะที่อยู่เบื้องหลังธุรกิจสีเทา ที่ข้ามเส้นไปแตะพื้นที่การค้ามนุษย์เข้าด้วยแล้ว
ไล่เรียงกันมาตั้งแต่วันแรกที่มีการลงพื้นที่จับกุม สายรายงานมาว่าทางด้านของสื่อเอง มีการเตรียมความพร้อมในการร่วมทำข่าวกับเจ้าหน้าที่กรมการปกครองล่วงหน้ามาเป็นอาทิตย์ กระทั่งถึงวันลงพื้นที่จับกุมจริง ก็มีสื่อบางสำนักแฝงตัวเข้าไปร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมการปกครองเพื่อเก็บภาพภายในระหว่างเข้าทำการจับกุม สื่อบางสำนักที่ว่า ก็ประกอบด้วยสถานีโทรทัศน์ดิจิตอลทีวีหลายสำนัก บางสำนักอย่าง สปริงนิวส์ ถึงขั้นไลฟ์สดการจับกุม
ว่าด้วยเรื่องการไลฟ์สด ก็ให้สงสัยต่อไปว่า หากไม่มีการเตรียมตัวล่วงหน้า สถานีข่าวจะเผยแพร่ภาพไลฟ์สดการจับกุมได้หรือไม่ โดยสามัญสำนักคิดกันอย่างไวๆ ก็เชื่อว่า การจะทำได้แบบนี้อย่างน้อยก็ต้องมีการเตรียมตัวมาระดับหนึ่ง
แต่ที่เห็นชัดเจนจากกรณีนี้อย่างนึงก็คือ สื่อหลายสำนักก็พร้อมทำหน้าที่ของตัวเองเมื่อรับทราบหมายข่าวว่าจะมีการบุกจับกุมดังกล่าว ต่างก็พร้อมรายงานข่าวที่เกิดขึ้น แตกต่างวิธีการและช่องทางกันไปตามแต่จะคิดสรรหามานำเสนอกัน
นั่นว่าด้วยเรื่องการทำงานของสื่อ(แท้) ทีนี้หันมามอง สื่อ(เทียม) อีกด้านหนึ่งบ้าง พวกที่ผันตัว ฟอกตัว พยายามลบภาพอดีตนักธุรกิจสีเทา ให้กลับมาเป็นคนดีของสังคม ทำหน้าที่อะไรบ้างในช่วงเวลาที่เกิดการจับกุมดังกล่าวของกรมการปกครอง
การเทคแอคชั่นของสื่อ(เทียม) ดังกล่าวเริ่มขยับเข้ามาใกล้เรื่องราวนี้ในภายหลังที่มีการจับกุมเกิดขึ้น อ้างว่ารู้ไส้รู้พุงวงการธุรกิจนี้ดี ถึงขั้นให้ชื่อคนที่เกี่ยวข้อง ที่ครั้งหนึ่งในอดีตก็เป็นคนที่จ่ายเงินซื้อกิจการสีเทาของตนเองไปนั่นแหละ ถือว่าเป็นการเหยียบคนล้ม โดยตกแต่งคำพูดให้สวยหรูด้วยการออกตัวว่าพร้อมเปิดโปง ในขณะที่กล่าวหาสื่อ(แท้)ว่าไม่กล้าเพราะกลัวอำนาจเงิน ไอ้แบบนี้วงการนักเลงหรือแม้แต่วงการสามัญชนคนธรรมดา เขาก็ไม่นิยมทำกัน มันเป็นการซ้ำเติมคนล้ม ให้กระบวนการมันดำเนินต่อไปตามขั้นตอน เจ้าหน้าที่คงไม่โง่ข้ามการเรียกอดีตเจ้าของมาสอบถาม ไม่ต้องรีบเปิดเวทีให้ตัวเองสวมบทฮีโร่สังคมมาเปิดโปงแบบนี้ก็ได้ แต่....
ก็ให้คิดต่อไปอีกว่า ในเมื่อประกาศชัดแจ้งว่ารู้ไส้รู้พุงธุรกิจนี้ดี ให้ชื่อได้ ตอบนั่นตอบนี่ได้สารพัด ทำไมไม่เปิดโปงธุรกิจนี้ตั้งแต่ยังไม่โดนจับ ทำไมไม่เป็นสื่อ(เทียม)ที่นำเจ้าหน้าที่กรมการปกครองเข้าจับกุมด้วยตนเองตั้งแต่แรก แต่กลับต้องรอให้มีเรื่องก่อนแล้วค่อยชิงพื้นที่ไปสร้างความดีความชอบให้ตนเอง โดยเหยียบย่ำคนอื่นขึ้นไปแบบนั้น
กระบวนการยุติธรรมในบ้านเรา หรือแม้กระทั่งตัวเจ้าหน้าที่ที่ทำงานทุกคน คงไม่ไร้ความสามารถขนาดจะตกหล่นเดินเกมผิดจนมีผู้เล็ดรอดไปได้กระมัง ถ้าคิดเช่นนั้นก็เป็นการดูถูกเจ้าหน้าที่แบบตบหน้ากันฉาดใหญ่ ฉวยโอกาสโดดงับความดีความชอบฟอกตัวอีกครั้ง ในภาพคนดีของสังคม
นี่แค่ฉากแรก ก็มีคำถามคาใจ 2 ข้อ ข้อแรก สื่อที่ถูกโจมตีว่ามีส่วนในการนำเงินธุรกิจสีเทามาดำเนินกิจการ กลับเป็นสื่อชุดแรกๆที่ร่วมวางแผนจับกุมกับเจ้าหน้าที่กรมการปกครองไปเสียนี่ ทำแบบนี้ก็ได้เหรอ....
ข้อสอง หากเป็นคนใจถึงพึ่งได้กล้าเปิดโปงไม่กลัวอำนาจเงินแบบที่กล่าวหาคนอื่นไว้ ทำไมไม่เปิดโปงเองตั้งแต่ยังไม่เป็นเรื่อง ทำไมไม่ประสานเจ้าหน้าที่นำเข้าจับกุมเอง แต่รอจังหวะคนล้มแล้วกระทืบซ้ำ
ก็น่าคิดในมุมที่แตกต่าง....
สงครามสื่อ แท้ vs เทียม
หลังเจ้าหน้าที่กรมการปกครอง ออกอิทธิฤิทธิ์ลงพื้นที่จับอาบอบนวดชื่อดัง จนเป็นที่มาของการไล่ล่าเปิดชื่อเจ้าของตัวจริงเสียงจริงว่ารายได้มหาศาลนั้นตกไปเป็นของใครกันแน่ ใครน่ะที่อยู่เบื้องหลังธุรกิจสีเทา ที่ข้ามเส้นไปแตะพื้นที่การค้ามนุษย์เข้าด้วยแล้ว
ไล่เรียงกันมาตั้งแต่วันแรกที่มีการลงพื้นที่จับกุม สายรายงานมาว่าทางด้านของสื่อเอง มีการเตรียมความพร้อมในการร่วมทำข่าวกับเจ้าหน้าที่กรมการปกครองล่วงหน้ามาเป็นอาทิตย์ กระทั่งถึงวันลงพื้นที่จับกุมจริง ก็มีสื่อบางสำนักแฝงตัวเข้าไปร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมการปกครองเพื่อเก็บภาพภายในระหว่างเข้าทำการจับกุม สื่อบางสำนักที่ว่า ก็ประกอบด้วยสถานีโทรทัศน์ดิจิตอลทีวีหลายสำนัก บางสำนักอย่าง สปริงนิวส์ ถึงขั้นไลฟ์สดการจับกุม
ว่าด้วยเรื่องการไลฟ์สด ก็ให้สงสัยต่อไปว่า หากไม่มีการเตรียมตัวล่วงหน้า สถานีข่าวจะเผยแพร่ภาพไลฟ์สดการจับกุมได้หรือไม่ โดยสามัญสำนักคิดกันอย่างไวๆ ก็เชื่อว่า การจะทำได้แบบนี้อย่างน้อยก็ต้องมีการเตรียมตัวมาระดับหนึ่ง
แต่ที่เห็นชัดเจนจากกรณีนี้อย่างนึงก็คือ สื่อหลายสำนักก็พร้อมทำหน้าที่ของตัวเองเมื่อรับทราบหมายข่าวว่าจะมีการบุกจับกุมดังกล่าว ต่างก็พร้อมรายงานข่าวที่เกิดขึ้น แตกต่างวิธีการและช่องทางกันไปตามแต่จะคิดสรรหามานำเสนอกัน
นั่นว่าด้วยเรื่องการทำงานของสื่อ(แท้) ทีนี้หันมามอง สื่อ(เทียม) อีกด้านหนึ่งบ้าง พวกที่ผันตัว ฟอกตัว พยายามลบภาพอดีตนักธุรกิจสีเทา ให้กลับมาเป็นคนดีของสังคม ทำหน้าที่อะไรบ้างในช่วงเวลาที่เกิดการจับกุมดังกล่าวของกรมการปกครอง
การเทคแอคชั่นของสื่อ(เทียม) ดังกล่าวเริ่มขยับเข้ามาใกล้เรื่องราวนี้ในภายหลังที่มีการจับกุมเกิดขึ้น อ้างว่ารู้ไส้รู้พุงวงการธุรกิจนี้ดี ถึงขั้นให้ชื่อคนที่เกี่ยวข้อง ที่ครั้งหนึ่งในอดีตก็เป็นคนที่จ่ายเงินซื้อกิจการสีเทาของตนเองไปนั่นแหละ ถือว่าเป็นการเหยียบคนล้ม โดยตกแต่งคำพูดให้สวยหรูด้วยการออกตัวว่าพร้อมเปิดโปง ในขณะที่กล่าวหาสื่อ(แท้)ว่าไม่กล้าเพราะกลัวอำนาจเงิน ไอ้แบบนี้วงการนักเลงหรือแม้แต่วงการสามัญชนคนธรรมดา เขาก็ไม่นิยมทำกัน มันเป็นการซ้ำเติมคนล้ม ให้กระบวนการมันดำเนินต่อไปตามขั้นตอน เจ้าหน้าที่คงไม่โง่ข้ามการเรียกอดีตเจ้าของมาสอบถาม ไม่ต้องรีบเปิดเวทีให้ตัวเองสวมบทฮีโร่สังคมมาเปิดโปงแบบนี้ก็ได้ แต่....
ก็ให้คิดต่อไปอีกว่า ในเมื่อประกาศชัดแจ้งว่ารู้ไส้รู้พุงธุรกิจนี้ดี ให้ชื่อได้ ตอบนั่นตอบนี่ได้สารพัด ทำไมไม่เปิดโปงธุรกิจนี้ตั้งแต่ยังไม่โดนจับ ทำไมไม่เป็นสื่อ(เทียม)ที่นำเจ้าหน้าที่กรมการปกครองเข้าจับกุมด้วยตนเองตั้งแต่แรก แต่กลับต้องรอให้มีเรื่องก่อนแล้วค่อยชิงพื้นที่ไปสร้างความดีความชอบให้ตนเอง โดยเหยียบย่ำคนอื่นขึ้นไปแบบนั้น
กระบวนการยุติธรรมในบ้านเรา หรือแม้กระทั่งตัวเจ้าหน้าที่ที่ทำงานทุกคน คงไม่ไร้ความสามารถขนาดจะตกหล่นเดินเกมผิดจนมีผู้เล็ดรอดไปได้กระมัง ถ้าคิดเช่นนั้นก็เป็นการดูถูกเจ้าหน้าที่แบบตบหน้ากันฉาดใหญ่ ฉวยโอกาสโดดงับความดีความชอบฟอกตัวอีกครั้ง ในภาพคนดีของสังคม
นี่แค่ฉากแรก ก็มีคำถามคาใจ 2 ข้อ ข้อแรก สื่อที่ถูกโจมตีว่ามีส่วนในการนำเงินธุรกิจสีเทามาดำเนินกิจการ กลับเป็นสื่อชุดแรกๆที่ร่วมวางแผนจับกุมกับเจ้าหน้าที่กรมการปกครองไปเสียนี่ ทำแบบนี้ก็ได้เหรอ....
ข้อสอง หากเป็นคนใจถึงพึ่งได้กล้าเปิดโปงไม่กลัวอำนาจเงินแบบที่กล่าวหาคนอื่นไว้ ทำไมไม่เปิดโปงเองตั้งแต่ยังไม่เป็นเรื่อง ทำไมไม่ประสานเจ้าหน้าที่นำเข้าจับกุมเอง แต่รอจังหวะคนล้มแล้วกระทืบซ้ำ
ก็น่าคิดในมุมที่แตกต่าง....