เมื่อไม่มีใครว่างไปด้วย ได้...ไปคนเดียวก็ได้! เป็นผู้หญิงไปเที่ยวญี่ปุ่นคนเดียวมันจะยากสักแค่ไหนเชียว
ขอเริ่มต้นรีวิวการเที่ยวญี่ปุ่นคนเดียววันแรกด้วยตารางการเดินทางนะคะ^^
ITINERARY - Day 1 (22 Aug 17)
00.45 hrs. - Departure from Don Mueang Int. Airport, Terminal 1
08.50 hrs. - Arrival at Narita Int. Airport, Terminal 2
09.30 hrs. - Keisei & JR East Service Center (B1 floor)
10.00 hrs. - Narita Airport Terminal 2 Station (Keisei Skyliner)
10.45 hrs. - Nippori Station (transfer to JR Yamanote Line)
11.15 hrs. - Shin-Okubo Station
11.20 hrs. - LAI’s House (Accomodation)
13.30 hrs. - Shin-Okubo Station
13.35 hrs. - Shinjuku Station (to buy Fuji Hakone Pass at Odakyu Sightseeing Service Center, West exit)
14.25 hrs. - Asakusa Station (Azumabashi Bridge & Sensoji Temple)
16.00 hrs. - Asakusa Station (to buy Nikko All Area Pass at Tobu Tourist Information Center, 1st floor)
16.30 hrs. - Ueno Station (Ueno Park & Ameyoko Market & Takeya)
19.00 hrs. - Akihabara Station
20.00 hrs. - Shin-Okubo Station

เริ่มต้นจากการไปเข้าแถวรอเช็คอินที่สนามบินดอนเมือง เคาน์เตอร์ Scoot no. 6 โดยเช็คอินขอที่นั่งริมหน้าต่างด้านซ้าย ชั่งน้ำหนักกระเป๋าได้ 14 กิโลกว่า + กระเป๋าถือขึ้นเครื่อง 4 กิโลกว่า
ปล.ใครที่อยากจะเช็คอินล่วงหน้าของ Scoot เค้าไม่เปิดให้เช็คอินออนไลน์นะคะ ทำได้ถ้าบินออกจากสิงคโปรเท่านั้น

หลังจากเช็คอินเสร็จ ก็เดินหาเคาน์เตอร์ AIS เพื่อแวะไปลงทะเบียนการใช้งานซิม โดยให้เจ้าหน้าที่ช่วยจัดการให้ทั้งหมด เราแค่ไปใส่ซิมตอนบินไปถึงสนามบินที่ญี่ปุ่น เปิดเครื่องแล้วก็ใช้ได้เลยค่ะ
ระหว่างอยู่บนเครื่องแอร์จะเดินแจกเอกสารเป็นใบตมขาเข้ากับใบศุลกากร เรากรอกทั้ง 2 ใบตั้งแต่บนเครื่อง จะได้ไม่เสียเวลาไปยืนกรอกก่อนเดินผ่านเข้าตม. และตอนที่เช็คอินขอที่นั่งริมหน้าต่างด้านซ้าย เพราะอ่านรีวิวจากในพันทิปว่าจะมองเห็นฟูจิ สุดท้ายก็เห็นภูเขาจิ๋วอันนี้อันเดียว แล้วก็มโนว่านี้แหละฟูจิ ซึ่งใช่ฟูจิจริงรึป่าวก็ไม่รู้ 555

หลังจากลงจากเครื่องก็ผ่านตม.ได้แบบฉลุย ใช้เวลาแปปเดียว ตอนออกมารอรับกระเป๋าก็ใช้เวลาแปปเดียว (จริง ๆ เผื่อเวลาไว้ 1 ชั่วโมง แต่โชคดีที่รีบเดินออกมาก่อนที่คนจะทยอยออกมา) ส่วนใครที่เดินทางคนเดียวไม่ต้องกังวลนะคะ เจ้าหน้าที่ไม่ได้น่ากลัว เราเตรียมข้อมูลให้พร้อมก็พอแล้ว ของเราเจ้าหน้าที่แทบจะไม่ถามอะไรเลย แฮ่
หลังจากได้กระเป๋าแล้ว ก็ถามเจ้าหน้าที่ว่าเคาน์เตอร์ Keisei อยู่ตรงไหน เจ้าหน้าที่แนะนำให้เดินออกไปตามทาง ลงไปที่ชั้น B1 จะเจอเคาน์เตอร์ JR & Keisei อยู่ติดกันด้านซ้ายมือ แล้วเราก็แวะเข้าไปซื้อบัตร Suica ที่ JR แล้วก็ซื้อบัตร Keisei Skyliner & Tokyo Subway 1 day กับ Nikko All Area Pass ที่ Keisei
จะบอกว่าที่นี่สามารถซื้อ Nikko All Area Pass ได้ แต่ไม่สามารถจองตั๋วเดินทางให้ได้ ต้องเอาใบที่เค้าให้มาไปแลกเป็นตั๋วที่ Tobu Tourist Information Center อยู่ดี เพราะฉะนั้นบัตรนี้จะรอไปซื้อที่ Asakusa station ก็ได้นะคะ
ปล.เจ้าหน้าที่ที่ Keisei มีคนไทยด้วยนะคะ เห็นเค้าคุยภาษาไทยกับคนไทยข้างๆ แต่เราซื้อกับคนญี่ปุ่น

หลังจากซื้อบัตรทุกอย่างเรียบร้อย ก็เดินไปขึ้นรถไฟ Keisei skyliner เพื่อจะไปที่สถานี Shin-Okubo และด้วยความรีบกลัวไม่ทันรถไฟรอบที่จองไว้ ก็เลยลืมหยิบบัตรหลังจากที่สอดเข้าไปที่เครื่องแล้วออกมาด้วย ซึ่งขึ้นรถไฟแล้ว รถออกแล้ว เพิ่งมาคิดได้ว่าแล้วที่นั่งตัวเองอยู่ตรงไหนฟะ มันต้องมีบอกบนบัตรนินา ซวยแล้ว 555
ตอนนั้นก็เลยนั่งตรงที่ว่างไปมั่วๆก่อน คิดว่ามีเจ้าหน้าที่มาตรวจตั๋วแล้วค่อยว่ากัน มองไปด้านหลังขบวนจะมีที่สำหรับให้วางกระเป๋าเดินทาง แต่เราเอาไว้ตรงขาเราหน้าเบาะที่นั่ง เพราะนั่งอยู่คนเดียวแล้วมองไปทั้งขบวนก็มีที่เหลือเฟือ เลยไม่อยากทิ้งกระเป๋าไว้ไกลตัว
นั่งไปสักพักก็มีเจ้าหน้าที่เดินมาตรวจจริงๆ เค้าตรวจฝรั่งคู่ที่นั่งข้างๆเราก่อน สรุปว่าคู่นี้เค้าขึ้นผิดขบวน ซื้อบัตรอย่างอื่นมาแต่มาขึ้น Keisei (คิดว่าน่าจะเป็นบัตร JR เพราะจำได้ว่าตอนที่สอดบัตรเข้าเครื่อง มันเข้ามาทางเดียวกับ Keisei แล้วใช้เครื่องเดียวกันเลย แต่ Keisei แยกต้องลงบันไดมาทางซ้าย ส่วน JR ต้องเดินตรงไป มันสับสนง่ายเหมือนกันถ้าไม่สังเกตดีๆ) แล้วเค้าก็เถียงกับเจ้าหน้าที่นานมาก ซึ่งเจ้าหน้าที่แทบจะไม่พูดภาษาอังกฤษเลย พูดแต่ภาษาญี่ปุ่นแล้วก็กดเครื่องคิดเลขยื่นให้ เราเลยหันไปคุยกับฝรั่งว่ายูยอมจ่ายเค้าไปเถอะ ดีกว่าเสียเวลานั่งย้อนไปขึ้นสายที่ซื้อมา เพราะดูท่าเจ้าหน้าที่คงไม่ยอมปล่อยไปแน่ๆ สุดท้ายเค้าก็ต้องจ่ายกัน แอบเห็นใจอยู่เล็กๆ ต้องเสียตังฟรีไปหนึ่งเที่ยว
พอจบเรื่องคู่นี้ก็ถึงคิวตัวเองแล้วจ้า เจ้าหน้าที่ไม่พูดภาษาอังกฤษด้วย แต่เราก็พูดกับเค้าอยู่ดี ลุ้นมากเหมือนกัน 555 บอกไปว่าเราลืมหยิบบัตรจากเครื่องที่สถานี ทำท่าทางสอดบัตรให้เค้ารู้ แล้วก็โชว์บัตรขากลับให้เค้าดูว่าเนี่ยซื้อมาพร้อมกัน เจ้าหน้าที่ก็พูดมานิดนึงว่าไม่เป็นไร ให้บอกเจ้าหน้าที่ที่สถานีตอนออกอีกที เราก็ อ่าววว ทำไมง่าย >.< คิดเอาเองว่าเค้าคงรู้อยู่แล้วว่าถ้าไม่มีบัตรเราคงเข้ามาไม่ได้ แล้วมีบัตรขากลับด้วยเลยปล่อยผ่านไป

ถ้าตามหน้าตั๋วจะต้องนั่งจากสถานี Narita -> Ueno แต่เราคุยกับคุณป้าวรรณ (เจ้าของที่พักที่สถานี Shin-Okubo) มาตั้งแต่เครื่องลง คุณป้าแนะนำให้ลงสถานี Nippori ได้เลยไม่ต้องนั่งไปสุดถึง Ueno พอเช็คในแผนที่ก็เห็นว่าลงสถานีนี้ใกล้กว่าจริงๆ ก็เลยลงมาแล้วไปเปลี่ยนสายต่อ JR Yamanote เพื่อไปลงสถานี Shin-Okubo
ปล.คนที่พักแถวชินจูกุ ไม่ต้องซื้อบัตรของ Keisei แต่ใช้ของ NEX แทนก็ได้ เพราะยิงยาวลงชินจูกุเลย แต่ของเราอยากซื้อคู่กับ Tokyo Subway 1 day ซึ่งมันถูกกว่าก็เลยเลือกนั่งของ Keisei

สถานี Shin-Okubo เป็นสถานีเล็กๆ มีทางออกทางเดียว ไม่มีลิฟต์ ไม่มีบันไดเลื่อน เราเลยต้องแบกกระเป๋าหนัก 14 กิโล ลงบันไดมาคนเดียว T^T แล้วก็เดินทางเข้าที่พัก เช็คอินเพื่อเก็บสัมภาระ (รายละเอียดที่พัก ดูเพิ่มได้ที่นี่ ->
https://www.facebook.com/NNlingpuek/posts/483009565388884)

เช็คอิน เตรียมตัวเสร็จก็ออกเดินทางมาสถานีชินจูกุ
ก่อนจะขึ้นรถไฟทุกครั้ง เราจะเช็คก่อนเสมอ
1. เช็ครูทติ้งตรงเสา (ป้ายสีเหลือง) ว่าเราต้องขึ้นฝั่งไหน
2. ดูป้ายดิจิตัลบอกเวลากับขบวนรถอีกที เพราะบางสถานียืนรอจุดเดียวกัน แต่รถไฟที่มาวิ่งไปคนละสาย เพราะฉะนั้นให้ยืนรอจนกว่าจะถึงเวลาที่ขบวนรถที่ตัวเองจะขึ้นมาแล้วค่อยขึ้น รถไฟที่นี่จะตรงเวลามาก ถ้าบอกว่า 10.02 ก็คือมาถึงก่อนแปปนึง 10.02 ปิดประตู ออกรถเลย
3. ระหว่างยืนรอรถไฟมา เราจะถามเจ้าหน้าที่สถานี (ที่ยืนโบกธงเวลารถไฟมา) หรือคนที่ยืนรออยู่ข้างๆว่าเราจะไปที่นี่ (จิ้มแผนที่ให้ดู) รอขึ้นตรงนี้ถูกมั้ย
ซึ่งเราจะเช็คแบบนี้ทุกครั้งเพื่อความชัวร์ ใครบอกว่าขึ้นรถไฟญี่ปุ่นดูยากมากๆ มันไม่ถึงขนาดนั้นค่ะ ถ้าสังเกตดีๆ ถามเยอะๆ ก็ง่าย เราไปจนจบทริปยังไม่เคยขึ้นผิด นั่งเลยหรือลงผิดสถานีเลย^^

แวะซื้อบัตร Fuji Hakone Pass ที่ Odakyu Sightseeing Service Center (สถานีชินจูกุ west exit) เพราะแพลนไว้ว่าวันถัดไปจะออกเดินทางไป Kawaguchiko ตั้งแต่รอบเจ็ดโมงเช้า ซึ่งเป็นเวลาที่เคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วยังไม่เปิด (เปิด 8 โมง) เลยแวะมาซื้อ+จองที่นั่งก่อน สรุปก็ไม่ได้รอบเจ็ดโมงอยู่ดีเพราะรถเต็ม ได้รอบถัดมาเป็น 7.45 น. แทน แล้วเจ้าหน้าที่ก็ให้เอกสาร แผนที่และตารางการเดินรถมาเยอะมาก

หลังจากนั้นก็ออกเดินทางไปสถานี Asakusa (แพลนว่าจะมาเดินชินจูกุวันหลัง) เดินออกมาจากสถานีจะเจอรถสามล้อที่เป็น signature ของที่นี้เต็มหน้าสถานีเลยค่ะ เดินตามทางไปเรื่อยๆ แวะถ่ายรูปเล่นที่ Azumabashi Bridge โดยตรงนี้จะมี Tokyo Cruise เป็นท่าเรือสำหรับนั่งเรือเที่ยวด้วย

ระหว่างทางเดินไป Sensoji Temple ร้านขายของฝาก ของกระจุกกระจิกเต็มไปหมด

Sensoji Temple หรือ Asakusa Temple
เชื่อว่าถ้ากวักเอาควันธูปจากกระถางธูปข้างหน้าวัดเข้าหาตัวจะนำความโชคดีมาให้ สาธุๆๆ

ร้านราเมงและข้าวหน้าหมูที่เพื่อนแนะนำมา ซึ่งอยู่ไม่ไกลมากจากวัดอาซากุสะ ซึ่งข้าวหน้าหมูอร่อยมาก!!

หลังจากนั้นก็เดินหาสถานี Asakusa (Tobu/Subway) นานมากกก เพราะตอนขึ้นมาที่วัดเราขึ้นมาจากคนละทางออก แล้วตึกก็ดูไม่ออกเลยว่าเป็นสถานี T^T เข้าไปแลกบัตรและจองตั๋ว Nikko All Area Pass ที่ Tobu Tourist Information Center ตรงชั้น 1 แล้วนั่ง Tokyo Metro ต่อมา Ueno Station ออกจากสถานีมาจะเห็น Ameyayoko Market อยู่ซ้ายมือ แต่เราเดินไป Ueno Park ก่อน ทางเข้าอยู่ข้างๆ Keisei Ueno Station ทางด้านขวามือ

Ueno Park สวนกว้างมากๆ แต่เราเดินไม่ไหว อากาศก็ร้อนอบอ้าว เดินเหงื่อซกอยู่ไม่กี่ที่ วนไปมั่วๆ แล้วก็ออก 555

เดินผ่าน Ueno Zoo ไปศาลเจ้านึงที่ไม่รู้ชื่อ รูปนี้บังเอิญมาก ถ่ายมาแล้วเพิ่งมาเห็นตอนนั่งทำรีวิวว่าอันขวามือสุด เป็นคนไทยมาเที่ยวคนเดียวเหมือนกัน >.<

ย้อนกลับมาเดิน Ameyayoko Market ย่านช้อปปิ้งเล็กๆ มีหลายร้านดังหลายร้าน
- Marion Crepes อ่านเจอมาว่าสาขานี้คนจะน้อยกว่าที่อื่น...ซึ่งน้อยจริง 555
- Game Taito Staion
- ABC-mart มีอยู่ทุกที่ แต่จะไม่มี Onitsuka หรือพวกรุ่นลิมิเตทขาย มีพี่ฝากดู Moonstar ก็ไม่มี คนขายบอกว่าต้องไปดูในช้อป Beams เท่านั้น
หลังจากนั้นก็ออกไปเดินตึกม่วง Takeya ซึ่งใหญ่มากกก น่าจะมีของทุกอย่างอยู่ในนี้ แต่เราไม่ได้ซื้ออะไรเลย เพราะแพลนว่าจะไปเดินเล่นที่อื่นต่อ

Akihabara เท่าที่หาข้อมูลมาเป็นสถานที่ที่น่าเดินมากเลย เป็นแหล่งร้านเกม การ์ตูนญี่ปุ่น แต่พอไปเดินจริงๆ หาอะไรไม่เจอเลยค่ะ หาตึกไม่เจอ แล้วก็ไม่เจอคนที่พูดอังกฤษได้เลย แม้กระทั่งพนักงานที่ information center ในตึกนี้ก็สื่อสารไม่รู้เรื่อง T^T เราเดินวนแถวนี้นานมากกก แล้วไม่รู้จะเข้าตึกไหนดี ดูข้างนอกก็ไม่มีตึกน่าเข้าเลยสักอัน วนไปวนมา สรุปได้แค่แวะกิน Cremia soft cream ร้านข้างๆตึกนี้ แล้วก็กลับ อาจจะเพราะมันมืดแล้วบวกกับเดินทางมาน่าจะยังเจ็ทแลคอยู่ เลยตัดสินใจกลับที่พักเลยดีกว่า
เบ็ดเสร็จวันแรกเดินไป 18,914 ก้าว หรือ 11.4 กิโลเมตร (มากกว่าชีวิตปกติตอนอยู่ไทยประมาณ 4-5 เท่า O.O)
[CR] ญี่ปุ่นยุ่นคนเดียว Day 1 - Asakusa & Ueno & Akihabara
ขอเริ่มต้นรีวิวการเที่ยวญี่ปุ่นคนเดียววันแรกด้วยตารางการเดินทางนะคะ^^
ITINERARY - Day 1 (22 Aug 17)
00.45 hrs. - Departure from Don Mueang Int. Airport, Terminal 1
08.50 hrs. - Arrival at Narita Int. Airport, Terminal 2
09.30 hrs. - Keisei & JR East Service Center (B1 floor)
10.00 hrs. - Narita Airport Terminal 2 Station (Keisei Skyliner)
10.45 hrs. - Nippori Station (transfer to JR Yamanote Line)
11.15 hrs. - Shin-Okubo Station
11.20 hrs. - LAI’s House (Accomodation)
13.30 hrs. - Shin-Okubo Station
13.35 hrs. - Shinjuku Station (to buy Fuji Hakone Pass at Odakyu Sightseeing Service Center, West exit)
14.25 hrs. - Asakusa Station (Azumabashi Bridge & Sensoji Temple)
16.00 hrs. - Asakusa Station (to buy Nikko All Area Pass at Tobu Tourist Information Center, 1st floor)
16.30 hrs. - Ueno Station (Ueno Park & Ameyoko Market & Takeya)
19.00 hrs. - Akihabara Station
20.00 hrs. - Shin-Okubo Station
ปล.ใครที่อยากจะเช็คอินล่วงหน้าของ Scoot เค้าไม่เปิดให้เช็คอินออนไลน์นะคะ ทำได้ถ้าบินออกจากสิงคโปรเท่านั้น
ระหว่างอยู่บนเครื่องแอร์จะเดินแจกเอกสารเป็นใบตมขาเข้ากับใบศุลกากร เรากรอกทั้ง 2 ใบตั้งแต่บนเครื่อง จะได้ไม่เสียเวลาไปยืนกรอกก่อนเดินผ่านเข้าตม. และตอนที่เช็คอินขอที่นั่งริมหน้าต่างด้านซ้าย เพราะอ่านรีวิวจากในพันทิปว่าจะมองเห็นฟูจิ สุดท้ายก็เห็นภูเขาจิ๋วอันนี้อันเดียว แล้วก็มโนว่านี้แหละฟูจิ ซึ่งใช่ฟูจิจริงรึป่าวก็ไม่รู้ 555
หลังจากได้กระเป๋าแล้ว ก็ถามเจ้าหน้าที่ว่าเคาน์เตอร์ Keisei อยู่ตรงไหน เจ้าหน้าที่แนะนำให้เดินออกไปตามทาง ลงไปที่ชั้น B1 จะเจอเคาน์เตอร์ JR & Keisei อยู่ติดกันด้านซ้ายมือ แล้วเราก็แวะเข้าไปซื้อบัตร Suica ที่ JR แล้วก็ซื้อบัตร Keisei Skyliner & Tokyo Subway 1 day กับ Nikko All Area Pass ที่ Keisei
จะบอกว่าที่นี่สามารถซื้อ Nikko All Area Pass ได้ แต่ไม่สามารถจองตั๋วเดินทางให้ได้ ต้องเอาใบที่เค้าให้มาไปแลกเป็นตั๋วที่ Tobu Tourist Information Center อยู่ดี เพราะฉะนั้นบัตรนี้จะรอไปซื้อที่ Asakusa station ก็ได้นะคะ
ปล.เจ้าหน้าที่ที่ Keisei มีคนไทยด้วยนะคะ เห็นเค้าคุยภาษาไทยกับคนไทยข้างๆ แต่เราซื้อกับคนญี่ปุ่น
ตอนนั้นก็เลยนั่งตรงที่ว่างไปมั่วๆก่อน คิดว่ามีเจ้าหน้าที่มาตรวจตั๋วแล้วค่อยว่ากัน มองไปด้านหลังขบวนจะมีที่สำหรับให้วางกระเป๋าเดินทาง แต่เราเอาไว้ตรงขาเราหน้าเบาะที่นั่ง เพราะนั่งอยู่คนเดียวแล้วมองไปทั้งขบวนก็มีที่เหลือเฟือ เลยไม่อยากทิ้งกระเป๋าไว้ไกลตัว
นั่งไปสักพักก็มีเจ้าหน้าที่เดินมาตรวจจริงๆ เค้าตรวจฝรั่งคู่ที่นั่งข้างๆเราก่อน สรุปว่าคู่นี้เค้าขึ้นผิดขบวน ซื้อบัตรอย่างอื่นมาแต่มาขึ้น Keisei (คิดว่าน่าจะเป็นบัตร JR เพราะจำได้ว่าตอนที่สอดบัตรเข้าเครื่อง มันเข้ามาทางเดียวกับ Keisei แล้วใช้เครื่องเดียวกันเลย แต่ Keisei แยกต้องลงบันไดมาทางซ้าย ส่วน JR ต้องเดินตรงไป มันสับสนง่ายเหมือนกันถ้าไม่สังเกตดีๆ) แล้วเค้าก็เถียงกับเจ้าหน้าที่นานมาก ซึ่งเจ้าหน้าที่แทบจะไม่พูดภาษาอังกฤษเลย พูดแต่ภาษาญี่ปุ่นแล้วก็กดเครื่องคิดเลขยื่นให้ เราเลยหันไปคุยกับฝรั่งว่ายูยอมจ่ายเค้าไปเถอะ ดีกว่าเสียเวลานั่งย้อนไปขึ้นสายที่ซื้อมา เพราะดูท่าเจ้าหน้าที่คงไม่ยอมปล่อยไปแน่ๆ สุดท้ายเค้าก็ต้องจ่ายกัน แอบเห็นใจอยู่เล็กๆ ต้องเสียตังฟรีไปหนึ่งเที่ยว
พอจบเรื่องคู่นี้ก็ถึงคิวตัวเองแล้วจ้า เจ้าหน้าที่ไม่พูดภาษาอังกฤษด้วย แต่เราก็พูดกับเค้าอยู่ดี ลุ้นมากเหมือนกัน 555 บอกไปว่าเราลืมหยิบบัตรจากเครื่องที่สถานี ทำท่าทางสอดบัตรให้เค้ารู้ แล้วก็โชว์บัตรขากลับให้เค้าดูว่าเนี่ยซื้อมาพร้อมกัน เจ้าหน้าที่ก็พูดมานิดนึงว่าไม่เป็นไร ให้บอกเจ้าหน้าที่ที่สถานีตอนออกอีกที เราก็ อ่าววว ทำไมง่าย >.< คิดเอาเองว่าเค้าคงรู้อยู่แล้วว่าถ้าไม่มีบัตรเราคงเข้ามาไม่ได้ แล้วมีบัตรขากลับด้วยเลยปล่อยผ่านไป
ปล.คนที่พักแถวชินจูกุ ไม่ต้องซื้อบัตรของ Keisei แต่ใช้ของ NEX แทนก็ได้ เพราะยิงยาวลงชินจูกุเลย แต่ของเราอยากซื้อคู่กับ Tokyo Subway 1 day ซึ่งมันถูกกว่าก็เลยเลือกนั่งของ Keisei
ก่อนจะขึ้นรถไฟทุกครั้ง เราจะเช็คก่อนเสมอ
1. เช็ครูทติ้งตรงเสา (ป้ายสีเหลือง) ว่าเราต้องขึ้นฝั่งไหน
2. ดูป้ายดิจิตัลบอกเวลากับขบวนรถอีกที เพราะบางสถานียืนรอจุดเดียวกัน แต่รถไฟที่มาวิ่งไปคนละสาย เพราะฉะนั้นให้ยืนรอจนกว่าจะถึงเวลาที่ขบวนรถที่ตัวเองจะขึ้นมาแล้วค่อยขึ้น รถไฟที่นี่จะตรงเวลามาก ถ้าบอกว่า 10.02 ก็คือมาถึงก่อนแปปนึง 10.02 ปิดประตู ออกรถเลย
3. ระหว่างยืนรอรถไฟมา เราจะถามเจ้าหน้าที่สถานี (ที่ยืนโบกธงเวลารถไฟมา) หรือคนที่ยืนรออยู่ข้างๆว่าเราจะไปที่นี่ (จิ้มแผนที่ให้ดู) รอขึ้นตรงนี้ถูกมั้ย
ซึ่งเราจะเช็คแบบนี้ทุกครั้งเพื่อความชัวร์ ใครบอกว่าขึ้นรถไฟญี่ปุ่นดูยากมากๆ มันไม่ถึงขนาดนั้นค่ะ ถ้าสังเกตดีๆ ถามเยอะๆ ก็ง่าย เราไปจนจบทริปยังไม่เคยขึ้นผิด นั่งเลยหรือลงผิดสถานีเลย^^
เชื่อว่าถ้ากวักเอาควันธูปจากกระถางธูปข้างหน้าวัดเข้าหาตัวจะนำความโชคดีมาให้ สาธุๆๆ
- Marion Crepes อ่านเจอมาว่าสาขานี้คนจะน้อยกว่าที่อื่น...ซึ่งน้อยจริง 555
- Game Taito Staion
- ABC-mart มีอยู่ทุกที่ แต่จะไม่มี Onitsuka หรือพวกรุ่นลิมิเตทขาย มีพี่ฝากดู Moonstar ก็ไม่มี คนขายบอกว่าต้องไปดูในช้อป Beams เท่านั้น
หลังจากนั้นก็ออกไปเดินตึกม่วง Takeya ซึ่งใหญ่มากกก น่าจะมีของทุกอย่างอยู่ในนี้ แต่เราไม่ได้ซื้ออะไรเลย เพราะแพลนว่าจะไปเดินเล่นที่อื่นต่อ
เบ็ดเสร็จวันแรกเดินไป 18,914 ก้าว หรือ 11.4 กิโลเมตร (มากกว่าชีวิตปกติตอนอยู่ไทยประมาณ 4-5 เท่า O.O)