“นี่คือโอกาสทองของการเข้าซื้อบิทคอยน์ ?”

“โอกาสทองของการเข้าซื้อบิทคอยน์ ?”


“ตอนนี้แหละคือจังหวะที่เราควรเข้าซื้อบิทคอยน์” ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ (hedge fund) แห่งหนึ่งกล่าวขณะให้สัมภาษณ์แก่สำนักข่าว CNBC ภายหลังจากราคาของบิทคอยน์ได้ร่วงลงมาอย่างหนักในช่วงไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา เหตุผลของเฮดจ์ฟันด์เจ้านี้ก็คือ เวลาที่บิทคอยน์ราคาพุ่งขึ้นไปสูงมากๆ เป็นเวลาที่อันตราย แต่หากบิทคอยน์ราคาร่วงลงมาจนไม่มีใครกล้าซื้อแบบนี้นี่แหละ เป็นเวลาที่นักลงทุนควรเข้าซื้อ???

จริงหรือที่เวลานี้พวกเราควรหันมาลงทุนในบิทคอยน์ ราคาของบิทคอยน์ตกลงมาเพียงชั่วคราวจริงหรือไม่ ก่อนที่จะตอบคำถามนี้ เรามาทำความรู้จักแง่มุมต่างๆ ที่น่าสนใจของบิทคอยน์กันก่อนดีกว่า

ตกลงบิทคอยน์คือเงินหรืออะไรกันแน่?

บิทคอยน์ (Bitcoin) มีลักษณะเด่นอยู่ 2 อย่าง คือ 1) เป็นดิจิตัล และ 2) เป็นสกุลเงินทางเลือก

ประการแรก บิทคอยน์มีอยู่บนโลกออนไลน์เท่านั้น แตกต่างจากธนบัตรหรือเงินเหรียญที่อยู่ในกระเป๋าของพวกเราซึ่งจับต้องได้ ถึงแม้ว่าตู้ ATM บางแห่งในต่างประเทศสามารถถอนเงินบิทคอยน์ออกมาได้ แต่สิ่งที่ถอนออกมานั้นเป็นเพียงสัญลักษณ์เสมือนจริง (virtual tokens) ของบิทคอยน์เท่านั้นเอง

ลักษณะสำคัญอีกอย่างคือ บิทคอยน์ไม่ได้ถูกสร้างหรือพิมพ์ขึ้นโดยรัฐบาลหรือธนาคารพาณิชย์ทั่วไป นั่นแปลว่า เราไม่สามารถนำบิทคอยน์ไปใช้จ่ายหรือชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย เช่น ไม่สามารถนำไปจ่ายภาษีหรือจ่ายคืนเงินกู้จากธนาคารพาณิชย์ทั่วไปได้

บิทคอยน์ถูกสร้างขึ้นผ่านกระบวนการอัน(แสน)ซับซ้อนที่เรียกกันว่า การทำเหมือง (mining) และมีการดูแลติดตามโดยใช้ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่กระจายอยู่ทั่วโลก ในแต่ละวัน บิทคอยน์จะถูกสร้างขึ้นประมาณ 3,600 หน่วย โดยนับถึงปัจจุบันน่าจะมีอยู่ในระบบราวๆ 17 ล้านบิทคอยน์

แล้วเราจะซื้อบิทคอยน์ได้ยังไง?

จริงๆ แล้วในโลกนี้มีสกุลเงินดิจิตอลอยู่มากมายหลายพันสกุล เพียงแต่บิทคอยน์นั้นเป็นสกุลเงินที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด หากเราต้องการรับบิทคอยน์ อันดับแรกเราต้องมีที่อยู่ของบิทคอยน์ (Bitcoin address) ซึ่งเป็นตัวอักษรและตัวเลขยาวประมาณ 27 – 34 ตัว เปรียบเทียบง่าย ๆ ก็เหมือนกับการสร้างกล่องไปรษณีย์ไว้ที่บ้านเพื่อรับและส่งบิทคอยน์นั่นเอง

ทั้งนี้ การสร้างที่อยู่ดังกล่าวไม่จำเป็นต้องมีการลงทะเบียนผู้ใช้แต่อย่างใด ทำให้ผู้ใช้บิทคอยน์สามารถปกปิดตัวตนที่แท้จริงไว้ได้ ในขณะที่กระเป๋าเงินบิทคอยน์ (bitcoin wallets) จะทำหน้าที่เก็บที่อยู่และบริหารจัดการบิทคอยน์ที่มีการฝากเอาไว้

มีกฎของบิทคอยน์ที่สำคัญข้อหนึ่งคือ บิทคอยน์จะถูกสร้างขึ้นได้สูงสุดเพียง 21 ล้านหน่วยเท่านั้น ซึ่งในปัจจุบันจำนวนบิทคอยน์ก็เข้าใกล้ตัวเลขนี้มากขึ้นเรื่อยๆ จึงเป็นที่น่าสนใจว่า ถ้าจำนวนบิทคอยน์ถึง 21 ล้านบิทคอยน์ขึ้นมาจริงๆ แล้ว อะไรจะเกิดอะไรขึ้น

เราสามารถใช้บิทคอยน์ซื้อของได้หรือไม่?

จากการที่ผู้ใช้บิทคอยน์ไม่ต้องเปิดเผยตัวตน ทำให้มีคนบางกลุ่มต้องการใช้บิทคอยน์ในการซื้อของผิดกฎหมายบนโลกออนไลน์ แต่จริงๆ แล้วก็มีธุรกิจเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่ยอมรับให้ใช้บิทคอยน์ซื้อสินค้าหรือบริการได้ ธุรกิจเหล่านี้รวมถึงบริษัทไมโครซอฟท์ และบริษัทจัดการการท่องเที่ยวอย่างเอ็กซ์พีเดีย (Expedia) รวมไปถึงกิจการเล็กๆ อย่างร้านขายซูชิหรือหอศิลป์ในบางประเทศ

เราจะเห็นได้ว่า เราไม่สามารถนำบิทคอยน์ไปใช้ได้เหมือนสกุลเงินตราต่างประเทศทั่วๆ ไปอย่างสกุลดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเราสามารถนำไปใช้ซื้อสินค้าและบริการได้แทบจะทุกที่ทั่วโลก

แล้วตกลงเค้ามีบิทคอยน์ไว้ทำอะไรกัน?

ที่แน่ๆ เจ้าของบิทคอยน์ส่วนใหญ่ไม่ได้เอาบิทคอยน์ไปใช้ซื้อข้าวของทั่วไป แต่ 80-90% ของคนเหล่านี้ซื้อบิทคอยน์เพียงเพื่อลงทุนหรือหวังว่ามูลค่าของบิทคอยน์จะสูงขึ้นเท่านั้น อย่างที่เราจะเห็นได้ว่า ระยะหลังๆ มานี้ เริ่มมีคนเรียกบิทคอยน์ว่า สินทรัพย์ดิจิตอล (crypto-asset) แทนที่จะเป็นสกุลเงินดิจิตอล (crypto-currency)

ทำไมราคาบิทคอยน์จึงปรับสูงขึ้นมากในช่วงก่อนหน้านี้?

บิทคอยน์ก็เหมือนเงินสกุลหนึ่ง มูลค่าของบิทคอยน์จึงขึ้นอยู่กับความต้องการซื้อขายของนักลงทุน (หรือนักเก็งกำไร) ในตลาดการเงิน
เหตุผลคลาสสิกที่บิทคอยน์ปรับตัวสูงขึ้นมากในช่วงปี 2560 ที่ผ่านมา ก็คือ การที่นักลงทุนโลกสวยต่างรุมเข้าซื้อบิทคอยน์โดยหวังราคาจะปรับสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่ต่างจากการเก็งกำไรในบ้านหรือคอนโดมากเกินไปจนเกิดภาวะฟองสบู่

แล้วล่าสุดทำไมราคาถึงปรับลงแรงมาก?

ราคาของบิทคอยน์ได้ร่วงลงมาอย่างหนักกว่า 40-50% จากที่ทางการในหลายประเทศเริ่มเข้ามาแบนหรือควบคุมการซื้อขายบิทคอยน์อย่างเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นจีน เกาหลีใต้ หรือแม้แต่ฝั่งยุโรป ทั้งนี้ ก็เนื่องมาจากความกังวลในเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการฟอกเงิน หรือการออกขายบิทคอยน์ในลักษณะแชร์ลูกโซ่ คือให้นักลงทุนมาร่วมกันเข้าซื้อเงินที่มีลักษณะเหมือนบิทคอยน์แล้วสุดท้ายก็เชิดเงินหนีไป รวมไปถึงเหตุผลในการปกป้องนักลงทุนรายย่อยที่ยังไม่เข้าในความเสี่ยงของบิทคอยน์ดีพอ

บิทคอยน์จะราคาตกจนเหลือ ‘ศูนย์’ ได้มั้ย?

อย่างที่เราทราบกัน บิทคอยน์มีราคาที่ผันผวนมากไม่ต่างจากหุ้นตัวเล็กๆ ตัวนึง มูลค่าของบิทคอยน์สามารถเหวี่ยงขึ้นลงได้อย่างบ้าคลั่งภายในเวลาอันสั้น ขึ้นอยู่กับปริมาณการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (ที่ยอมรับการซื้อขายบิทคอยน์) เมื่อปี 2013 ราคาบิทคอยน์เคยร่วงลงถึง 61% ภายในวันเดียว และในปี 2014 บิทคอยท์ได้ทำสถิติราคาร่วงมากที่สุดถึง 80% ใน 1 วัน!

ถ้าหากมีคนยอมรับบิทคอยน์เป็นเงินดิจิตอลน้อยลงเรื่อยๆ มูลค่าของบิทคอยน์ก็อาจลดลงจนไม่เหลือมูลค่าเลยก็ได้

ในนาทีนี้ก็ยังมีการแข่งขันอย่างดุเดือดในสมรภูมิสกุลเงินดิจิตอล ถึงแม้บิทคอยน์จะยังนำโด่งแซงสกุลอื่นอีกเป็นร้อย เนื่องจากเป็นแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักและมีเงินสนับสนุนจากเงินร่วมลงทุน (venture capital) แต่ใครเลยจะรู้ว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีใหม่ๆ อาจจะทำให้มีสกุลเงินดิจิตอลที่ดีกว่าบิทคอยน์เกิดขึ้นมาในอนาคตก็เป็นได้

“แค่ราคาตกไม่ได้แปลว่าบิทคอยน์จะถึงจุดจบ” ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์รายเดิมยังคงกล่าวเชิญชวนต่อไป ในขณะเดียวกัน สุดยอดปรมาจารย์ด้านการลงทุนของโลกอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ ก็เพิ่งออกมาให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า "เงินสกุลดิจิตอลกำลังจะถึงจุดจบอย่างน่าอนาถ..."

---------------------------------------------
แหล่งอ้างอิง :
cnbc.com
investopedia.com
Citiresearch
bbc.com

ภาพประกอบ : news.bitcoin.com

อ่านบนเฟสบุ๊ค https://web.facebook.com/permalink.php?story_fbid=323430218162406&id=244466562725439
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่