จากรีวิวที่แล้ว เราดื่มด่ำกับแสง สี เสียง อยู่ที่ เฮ้าส์เทนบอช ( Huis Ten Bosch )
เช้าหลังจากที่รับประทานอาหารที่โรงแรมเสร็จ
ก็เดินทางสู่ เมืองซากะ ตั้งอยู่ใกล้กับเมืองฟุกุโอกะและเมืองนางาซากิ
มีชื่อเสียงในเรื่องของเครื่องปั้นดินเผาและธรรมชาติที่สวยงาม
สถานที่แห่งแรกที่ได้มาถึงก็คือ " ศาลเจ้ายูโทคุอินาริ (Yutoku Inari Shrine)
สร้างขึ้นในปีค.ศ.1688 เป็นศาลเจ้านิกายชินโตประจาตระกูลนาเบะชิมะผู้ปกครองเมืองซากะ ในสมัยเอโดะ
เป็นศาลเจ้าอินาริที่ใหญ่และสำคัญเป็นอันดับ 3 ของประเทศญี่ปุ่น เคียงคู่กับศาลเจ้าฟุชิมิ อินาริ ในเกียวโต
และศาลเจ้าคาสะมะ อินาริ ในจังหวัดอิบารากิ "
เชื่อกันว่าศาลเจ้าแห่งนี้เป็นที่ประทับของเทพ
เจ้าศักด์ิสิทธ์ิที่ประชาชนชาวญี่ปุ่นต่างเคารพและนิยม
มาสักการะขอพรกี่ยวกับ ความสาเร็จด้านธุรกิจและความปลอดภัย
#อุปกรณ์กล้องถ่ายภาพ Canon Eos M100 ( Mirrorless )
Lens 11-22mm / 22mm / 15-45 mm / 55-200 mm
#สนับสนุนการเดินทางโดย
www.jtbthailand.com
ส่วนตัว ฟิล์มเป็นคนที่ชอบเรื่องการเข้าวัดทำบุญอยู่แล้ว
เราเข้าวัดเพื่อทำจิตใจให้สงบ ทบทวนเรื่องราวในชีวิต เพื่อให้เรานั้น มีสติในการดำเนินชีวิตต่อไป
เราจะได้คิดดี ทำดี ผลบุญนั้นจะส่งผลให้เราเจอแต่สิ่งที่ดีและคนดีๆ
รถบัสจอดที่หน้าวัด เราเดินข้ามสะพานเล็กๆสีแดงเข้ามาในบริเวณของวัด

ไกด์แนะนำว่า ถ้ามาขอพรที่นี่ ที่พลาดไม่ได้ก็คือ
การแต่งชุดกิโมโน
ที่ทุกคนก็รู้อยู่แล้ว ว่าเป็นชุดประจำชาติของชาวญี่ปุ่น ...
ไกด์ก็เลยพาทุกคนเข้าไปตลาดเล็กๆ ก่อนเข้าวัด
เป็นตลาดขายผลิตภัณฑ์ OTOP ของนี่และจะมีร้านให้เช่าชุดกิโมโนสำหรับนักท่องเที่ยว
อย่างที่บอกไปว่า ก่อนช่วงวันปีใหม่นั้น คนญี่ปุ่นจะไม่ออกมานอกบ้าน
เวลาเราไปตามสถานที่ต่างๆ เลยทำให้ค่อนข้างดูเงียบเหงา

ส่วนนี่คือร้านที่ให้เช่าชุดกิโมโน ก็จะมีคนแต่งตัวให้ ทำผมให้แบบสาวชาวญี่ปุ่น
ส่วนฟิล์มขอบายในการใส่ชุดกิโมโนดีกว่าค่ะ เพราะกลัวว่าชุดจะไม่มีไซส์ ทำชุดเขาขาด อาจโดนปรับได้ 55
เลยขออนุญาติออกมาเดินเล่น หาของกินเด่นๆของเมืองนี้ดีกว่า
แท่นแทนแท๊น ... เห็นวางขายอยู่เยอะมากๆ แทบจะทุกร้าน

ตอนแรกเห็นรูปร่าง เป็นแท่งๆมีเชือกดึง นึกว่า
พลุดอกไม้ไฟ ไว้จุดงานวันปีใหม่

แต่ที่ไหนได้ มันคือของกินนน ....
เป็นขนมถั่วแดง ที่ขึ้นชื่อของที่นี่ค่ะ
อร่อย หอม นุ่มนวล คลุกเคล้าน้ำตาลของโปรด การกินก็เปิดฝาออกมา เอานิ้วดันก้นแท่งนี้ขึ้น
เหมือน POP UP ส่วนเชือกไม่ใช่ไหมขัดฟัน เค้าเอาไว้ใช้ตัดส่วนที่โผล่ออกมา ที่ละชิ้นๆ
..............................................................
ชุดกิโมโนพร้อม ทรงผมพร้อม ถ่ายรูปเล่นสักหน่อย
ก่อนที่เราจะเดินเข้าไปในวัดเพื่อทำบุญและขอพรกันดีกว่าค่ะ

อากาศในวันนี้ยังคงอยู่ประมาณ 7-8 องศา แต่สายๆก็จะเริ่มอุ่นหน่อยๆค่ะ
โดยทางเข้าศาลเจ้าทุกแห่งจะต้องมี “เสาโทริอิ” ซุ้มประตูแบบญี่ปุ่น
บางแห่งตกแต่งด้วยการทาสีแดงชาด บางแห่งเลือกใช้สีไม้ตามธรรมชาติ และบางแห่งเป็นเสาที่ทำจากหินเหมือนศาลเจ้าแห่งนี้
สาโทริอินี้ทำหน้าที่เสมือนเป็นประตูของศาลเจ้า ตั้งไว้เพื่อให้ผู้มาเยือนรับทราบว่าอาณาเขตภายในเสาโทริอินี้เป็นอาณาเขตของเทพเจ้า เมื่อเดินผ่านเสานี้ไปแล้วควรอยู่ในอาการสำรวม และไม่กระทำการอันใดที่เป็นการดูหมิ่นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเทพเจ้า แผนที่ของญี่ปุ่นยังใช้สัญลักษณ์โทะริอิ เป็นเครื่องหมายบอกตำแหน่งศาลเจ้าอีกด้วย
พอเดินผ่านประตูเข้าไป เราจะเห็นว่ามีรูปปั้นสุนัขจิ้งจอกยืนอยู่ทั้งสองฝั่งตำนานพื้นบ้านเชื่อว่าสุนัขจิ้งจอกเป็นสัตว์นำสาส์น
ของเทพเจ้าอินาริ คนญี่ปุ่นส่วนมากจะเดินทางมาขอพรเรื่องการค้าและการเกษตรเพื่อให้ได้ผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์
ตามธรรมเนียมการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชาวญี่ปุ่น เราจะต้องชำระร่างกายโดยการตักน้ำมาล้างมือและปากให้สะอาดก่อน
มีวิธีการง่ายๆคือ ใช้มือซ้ายถือกระบวยตักน้ำ ล้างมือขวาก่อน แล้วค่อยสลับข้างมาล้างมือซ้าย ตามด้วยเทน้ำใส่มือเพื่อใช้บ้วนปาก 1 ครั้ง
อย่าลืมเหลือน้ำไว้เล็กน้อย แล้วยกที่ตักน้ำตั้งขึ้นเพื่อทำความสะอาดกระบวยตักน้ำ
ยูโทคุอินาริสร้างขึ้นเพื่อสักการะเทพเจ้าผู้อำนวยพรให้ชีวิตนามว่า “อินาริ”
เอกลักษณ์ของศาลเจ้าแห่งนี้คือประตูโทริอิสีแดง บริเวณในศาลเจ้าร่มรื่นมาก อากาศดีเพราะฝนเพิ่งตกไปหมาดๆ


ฟิล์มก็เดินขึ้นบันได เพื่อขึ้นไปทำบุญใจกลางวิหาร
พอขึ้นมาถึงไม่ไกล แต่ก็แอบหายใจแรง จะเห็นกล่องไม้บริจาควางตั้งอยู่ มีสายกระดิ่งยาวๆแขวนห้อยมาจากด้านบน
บริเวณด้านหน้าห้องประดิษฐานพระพุทธรูป ตามธรรมเนียมปฎิบัติของการสักการะเทพเจ้าแบบชาวญี่ปุ่น
คือการหยุดยืนนิ่งแล้วโค้งคำนับ 1 ครั้งก่อน


จากนั้นโยนเหรียญ 50 หรือ 100 เยนลงในกล่องไม้บริจาค เอามือสั่นกระดิ่ง
พนมมือตั้งใจอธิษฐานขอพรภายในใจ
ขอพรเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขอเสี่ยงดวงสักหน่อย เลือกเรื่องการงาน ได้ 3 ดาว ถือว่าดี ผ่าน
ส่วนใครที่ได้ใบที่ไม่ดี ก็สามารถเอากระดาษผูกไว้ ฝากไว้ที่ศาลเจ้านี้ได้
สิ่งที่ดีจะกลับกลายเป็นดีค่ะ ใครที่อยากได้ของที่ระลึกจำพวกเครื่องรางของขลัง
ทางศาลเจ้ามีให้เลือกเยอะมากๆ ตามใจที่อยากได้เลยค่ะ
ด้านหลังวิหารหลักเป็นเส้นทางบันไดสำหรับปีนขึ้นไปยังจุดชมวิวทะเลอาริอาเกะ
เห็นคุณตาคุณยายเดินจูงมือไปกันชิวๆ คิดในใจเรื่องแค่นี้สำหรับเราธรรมดา แต่ลืมไปว่า
คนแก่ญี่ปุ่นแข็งแรงมากๆ

เดินไต่ตามโขดหินไปเรื่อยๆ ตามทางก็มีศาลเจ้าหลักและศาลเจ้าเล็กๆเรียงรายให้กราบไหว้และขอพร


เดินขึ้นเขาไปประมาณ 15 นาที เริ่มหันกลับหลังลงมามองข้างล่าง คิดในใจจะไปต่อหรือกลับ 55
สุดท้ายต้องใช้คำว่า " กลับตัวก็ไม่ได้และก็ต้องไปให้ถึง " คุณยายอายุประมาณ 60 เดินแซงมาและยิ้มเบาๆให้ 1 ที
ในที่สุด
นี่แหละ จุดชมวิวทะเลอาริอาเกะ กับการที่เดินขึ้นเขามาครึ่งชั่วโมง
มาในช่วงปีใหม่ก็เป็นแบบนี้ แต่ถ้าใครมาช่วงดอกไม้เปลี่ยนสี เขาบอกว่าจะสวยมากกกกๆ
อิ่มกับการทำบุญและขอพรก่อนวันขึ้นปีใหม่
จะเห็นได้ว่าคนญี่ปุ่นเมืองนี้มีความศรัทธาอันแรงกล้าต่อเทพเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์
แต่มีความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย ใช้ชีวิตเงียบสงบ ซึ่งก็เป็นอีกชีวิตบั่นปลายที่ทุกคนถามหา
..............................................................
ช่วงเที่ยง เราก็ออกเดินทางสู่ สวนดอกไม้ของโกเวอร์ GLOVER GARDEN เป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ระหว่างประเทศ
ส่งผลทำให้เกิดการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศมากขึ้น มีพ่อค้าจากสหรัฐอเมริกา
ชื่อ โทมัส เบล็ก โกลฟเวอร์ (THOMAS BLAKE GLOVER) ซึ่งเดินทางมาถึงเมืองนางาซากิได้ช่วยพัฒนาความเจริญในด้านต่างๆ
สร้างสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีในญี่ปุ่นมาก่อนขึ้นมาและนำสถาปัตยกรรมแบบยุโรปและญี่ปุ่นมาผสมเข้าด้วยกัน
มีอาคารตั้งอยู่ภายในสวนอันร่มรื่นหลายหลัง จากข้างบนนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์อ่าวนางาซากิ
ท่าเรือและตัวเมืองนางาซากิได้อย่างชัดเจน
คฤหาสน์โกลฟเวอร์ (GLOVER HOUSE) เป็นอาคารไม้สไตล์ยุโรป
ภายในมีหลายห้องจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้เฟอร์นิเจอร์หรูหราและเรื่องราวของโธมัส โกลฟเวอร์ ครอบครัวและธุรกิจของเขาในญี่ปุ่น



ความเชื่อของที่นี่คือหากใครเจอ
หินรูปหัวใจ (HEART STONE)
บริเวณลานด้านหน้าคฤหาสน์โกลฟเวอร์ก็จะพบเจอและสมหวังในความรักอีกด้วย
( เป็นมุมที่คนมุงเยอะที่สุดแล้ว เหมือนกับว่ามาที่นี่เพื่อสิ่งนี้ ... )
คืนนี้ก่อนกลับไปพักโรงแรมระดับ 4 ดาว เช่นเดิม
HOTEL NEW NAGASAKI
ไกด์ก็ได้พาเรานั่งกระเช้าสู่
ยอดเขาอินาสะยามะ ( Mt.Inasa )
ถือว่าเรามา
เค๊าท์ดาวน์วันขึ้นปีใหม่ล่วงหน้า บนยอดเขาที่สูงที่สุดและมีวิวที่งดงามติด 1 ใน 3 ของญี่ปุ่นค่ะ


..............................................................
ติดตามชมรีวิวทริป FUKUOKA ของวันต่อไปในเร็วๆนี้
บอกเลยว่า ... ยิ่งเที่ยวยิ่งแฮ๊ปปี้ค่ะ
[SR] DAY#2 พกกล้องคู่ใจ โบยบินสู่ FUKUOKA บนเกาะคิวชู ประเทศญี่ปุ่น
by Chidchanok Senanunsakul
วันนี้เป็นวันที่ดี เพราะเรากำลังจะก้าวเข้าสู่วันปีใหม่ ปี 61
จากรีวิวที่แล้ว เราดื่มด่ำกับแสง สี เสียง อยู่ที่ เฮ้าส์เทนบอช ( Huis Ten Bosch ) เมืองนางาซากิ
https://pantip.com/topic/37312601
ก็เดินทางสู่ เมืองซากะ ตั้งอยู่ใกล้กับเมืองฟุกุโอกะและเมืองนางาซากิ
มีชื่อเสียงในเรื่องของเครื่องปั้นดินเผาและธรรมชาติที่สวยงาม
สร้างขึ้นในปีค.ศ.1688 เป็นศาลเจ้านิกายชินโตประจาตระกูลนาเบะชิมะผู้ปกครองเมืองซากะ ในสมัยเอโดะ
เป็นศาลเจ้าอินาริที่ใหญ่และสำคัญเป็นอันดับ 3 ของประเทศญี่ปุ่น เคียงคู่กับศาลเจ้าฟุชิมิ อินาริ ในเกียวโต
และศาลเจ้าคาสะมะ อินาริ ในจังหวัดอิบารากิ "
เจ้าศักด์ิสิทธ์ิที่ประชาชนชาวญี่ปุ่นต่างเคารพและนิยม
มาสักการะขอพรกี่ยวกับ ความสาเร็จด้านธุรกิจและความปลอดภัย
Lens 11-22mm / 22mm / 15-45 mm / 55-200 mm
#สนับสนุนการเดินทางโดย www.jtbthailand.com
เราเข้าวัดเพื่อทำจิตใจให้สงบ ทบทวนเรื่องราวในชีวิต เพื่อให้เรานั้น มีสติในการดำเนินชีวิตต่อไป
เราจะได้คิดดี ทำดี ผลบุญนั้นจะส่งผลให้เราเจอแต่สิ่งที่ดีและคนดีๆ
ไกด์แนะนำว่า ถ้ามาขอพรที่นี่ ที่พลาดไม่ได้ก็คือ การแต่งชุดกิโมโน
ที่ทุกคนก็รู้อยู่แล้ว ว่าเป็นชุดประจำชาติของชาวญี่ปุ่น ...
เป็นตลาดขายผลิตภัณฑ์ OTOP ของนี่และจะมีร้านให้เช่าชุดกิโมโนสำหรับนักท่องเที่ยว
เวลาเราไปตามสถานที่ต่างๆ เลยทำให้ค่อนข้างดูเงียบเหงา
เลยขออนุญาติออกมาเดินเล่น หาของกินเด่นๆของเมืองนี้ดีกว่า
แท่นแทนแท๊น ... เห็นวางขายอยู่เยอะมากๆ แทบจะทุกร้าน
ตอนแรกเห็นรูปร่าง เป็นแท่งๆมีเชือกดึง นึกว่า พลุดอกไม้ไฟ ไว้จุดงานวันปีใหม่
แต่ที่ไหนได้ มันคือของกินนน .... เป็นขนมถั่วแดง ที่ขึ้นชื่อของที่นี่ค่ะ
อร่อย หอม นุ่มนวล คลุกเคล้าน้ำตาลของโปรด การกินก็เปิดฝาออกมา เอานิ้วดันก้นแท่งนี้ขึ้น
เหมือน POP UP ส่วนเชือกไม่ใช่ไหมขัดฟัน เค้าเอาไว้ใช้ตัดส่วนที่โผล่ออกมา ที่ละชิ้นๆ
ก่อนที่เราจะเดินเข้าไปในวัดเพื่อทำบุญและขอพรกันดีกว่าค่ะ
บางแห่งตกแต่งด้วยการทาสีแดงชาด บางแห่งเลือกใช้สีไม้ตามธรรมชาติ และบางแห่งเป็นเสาที่ทำจากหินเหมือนศาลเจ้าแห่งนี้
สาโทริอินี้ทำหน้าที่เสมือนเป็นประตูของศาลเจ้า ตั้งไว้เพื่อให้ผู้มาเยือนรับทราบว่าอาณาเขตภายในเสาโทริอินี้เป็นอาณาเขตของเทพเจ้า เมื่อเดินผ่านเสานี้ไปแล้วควรอยู่ในอาการสำรวม และไม่กระทำการอันใดที่เป็นการดูหมิ่นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเทพเจ้า แผนที่ของญี่ปุ่นยังใช้สัญลักษณ์โทะริอิ เป็นเครื่องหมายบอกตำแหน่งศาลเจ้าอีกด้วย
ของเทพเจ้าอินาริ คนญี่ปุ่นส่วนมากจะเดินทางมาขอพรเรื่องการค้าและการเกษตรเพื่อให้ได้ผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์
มีวิธีการง่ายๆคือ ใช้มือซ้ายถือกระบวยตักน้ำ ล้างมือขวาก่อน แล้วค่อยสลับข้างมาล้างมือซ้าย ตามด้วยเทน้ำใส่มือเพื่อใช้บ้วนปาก 1 ครั้ง
อย่าลืมเหลือน้ำไว้เล็กน้อย แล้วยกที่ตักน้ำตั้งขึ้นเพื่อทำความสะอาดกระบวยตักน้ำ
เอกลักษณ์ของศาลเจ้าแห่งนี้คือประตูโทริอิสีแดง บริเวณในศาลเจ้าร่มรื่นมาก อากาศดีเพราะฝนเพิ่งตกไปหมาดๆ
พอขึ้นมาถึงไม่ไกล แต่ก็แอบหายใจแรง จะเห็นกล่องไม้บริจาควางตั้งอยู่ มีสายกระดิ่งยาวๆแขวนห้อยมาจากด้านบน
บริเวณด้านหน้าห้องประดิษฐานพระพุทธรูป ตามธรรมเนียมปฎิบัติของการสักการะเทพเจ้าแบบชาวญี่ปุ่น
คือการหยุดยืนนิ่งแล้วโค้งคำนับ 1 ครั้งก่อน
พนมมือตั้งใจอธิษฐานขอพรภายในใจ
สิ่งที่ดีจะกลับกลายเป็นดีค่ะ ใครที่อยากได้ของที่ระลึกจำพวกเครื่องรางของขลัง
ทางศาลเจ้ามีให้เลือกเยอะมากๆ ตามใจที่อยากได้เลยค่ะ
เห็นคุณตาคุณยายเดินจูงมือไปกันชิวๆ คิดในใจเรื่องแค่นี้สำหรับเราธรรมดา แต่ลืมไปว่า คนแก่ญี่ปุ่นแข็งแรงมากๆ
สุดท้ายต้องใช้คำว่า " กลับตัวก็ไม่ได้และก็ต้องไปให้ถึง " คุณยายอายุประมาณ 60 เดินแซงมาและยิ้มเบาๆให้ 1 ที
นี่แหละ จุดชมวิวทะเลอาริอาเกะ กับการที่เดินขึ้นเขามาครึ่งชั่วโมง
มาในช่วงปีใหม่ก็เป็นแบบนี้ แต่ถ้าใครมาช่วงดอกไม้เปลี่ยนสี เขาบอกว่าจะสวยมากกกกๆ
จะเห็นได้ว่าคนญี่ปุ่นเมืองนี้มีความศรัทธาอันแรงกล้าต่อเทพเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์
แต่มีความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย ใช้ชีวิตเงียบสงบ ซึ่งก็เป็นอีกชีวิตบั่นปลายที่ทุกคนถามหา
ส่งผลทำให้เกิดการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศมากขึ้น มีพ่อค้าจากสหรัฐอเมริกา
ชื่อ โทมัส เบล็ก โกลฟเวอร์ (THOMAS BLAKE GLOVER) ซึ่งเดินทางมาถึงเมืองนางาซากิได้ช่วยพัฒนาความเจริญในด้านต่างๆ
สร้างสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีในญี่ปุ่นมาก่อนขึ้นมาและนำสถาปัตยกรรมแบบยุโรปและญี่ปุ่นมาผสมเข้าด้วยกัน
ท่าเรือและตัวเมืองนางาซากิได้อย่างชัดเจน
คฤหาสน์โกลฟเวอร์ (GLOVER HOUSE) เป็นอาคารไม้สไตล์ยุโรป
ภายในมีหลายห้องจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้เฟอร์นิเจอร์หรูหราและเรื่องราวของโธมัส โกลฟเวอร์ ครอบครัวและธุรกิจของเขาในญี่ปุ่น
ความเชื่อของที่นี่คือหากใครเจอ หินรูปหัวใจ (HEART STONE)
บริเวณลานด้านหน้าคฤหาสน์โกลฟเวอร์ก็จะพบเจอและสมหวังในความรักอีกด้วย
( เป็นมุมที่คนมุงเยอะที่สุดแล้ว เหมือนกับว่ามาที่นี่เพื่อสิ่งนี้ ... )
ไกด์ก็ได้พาเรานั่งกระเช้าสู่ยอดเขาอินาสะยามะ ( Mt.Inasa )
ถือว่าเรามาเค๊าท์ดาวน์วันขึ้นปีใหม่ล่วงหน้า บนยอดเขาที่สูงที่สุดและมีวิวที่งดงามติด 1 ใน 3 ของญี่ปุ่นค่ะ
บอกเลยว่า ... ยิ่งเที่ยวยิ่งแฮ๊ปปี้ค่ะ