
มาต่อจากเมื่อวานค่ะ
หลังจากคลอดน้องแล้ว ชีวิตก็ยังเหมือนก่อนตอนท้อง ยังคงต้องรีดผ้าสูทมือสองส่งโรงซัก และค่าตอบแทนต้องรอกว่าจะสะสมผ้าได้หลายตัวถึงเบิกเงินได้ ...........วันนึงหนูกับแม่ เงินในมือที่มองเห็นได้ไม่มีเลย ต้องหาเศษเหรียญตามเก๊ะ ตามซอก ได้มาทั้งหมด 5 บาท หลายปีก่อนก็จะซื้อไข่จากร้านโชห่วยได้จำนวน 2 ฟอง เอามาตุ๋นใส่น้ำเยอะๆ กินกับแม่สองคน ลูกกินนมหนู วันนั้นยังฝังใจถึงวันนี้ทำไมชีวิตมันยากแค้นนัก ก็เริ่มสมัครงานที่ใกล้บ้านเพื่อจะได้เลี้ยงลูก
ตอนหนูว่างๆ ได้อ่านนิตยสารเกี่ยวกับแม่และเด็ก พบโฆษณาให้คิดเมนูอาหารและส่งประกวด หนูเลยลองเขียนเล่น ๆ ในวันที่เงินไม่มีเลย เค้าโทรมาบ้านเจ้าของบ้านที่เช่าและแจ้งว่า คุณ ติด 1 ใน 10 จากผู้ที่เขียนสูตรมา 200 คน ดีใจมาก มีความหวัง ถ้าไปประกวดต่อจะได้เงินรางวัล ที่ 1 30000 บาท และตามลำดับขั้น ถ้าเป็น รางวัลชมเชยอีก 7 รางวัล จะได้ 3000 และ อาหารเด็ก ชีวิตมีความหวังมาทันทีค่ะ อย่างน้อยก็ 3000 แต่ปัญหาก็ตรงที่เงินจะซื้อของและไปห้างแถวรังสิตเพื่อทำการแข่งขัน ใช่ ..............เงินรออยู่ ไม่กลัวและคิดว่าหนูสามารถใช้คืนคนที่ยืมได้ ก็เลยลองเอ่ยปากยืมเจ้าของบ้านที่เช่า 500 บาท ได้เงินมาก็ไปซื้อของเตรียมประกวด-------หลังการประกวด ผลตามคาดได้มา 2850 (หักค่าภาษีเงินรางวัล) พร้อมอาหารเด็กอีกหลายลัง .................
.รอดระยะนึง
ถึงตอนนี้บางคนอาจสงสัยว่าเป็นเรื่องแต่งขึ้นทำไมดูแล้วบังเอิญพอดีจัง ทุกวันนี้ก็งงนะใครแต่งเรื่องจริงให้หนูเดิน แต่งเรื่องที่ไม่คาดคิดมากมาย เพื่อนๆ หลายคนเชียร์ให้เขียนถึงเรื่องที่หนูประสบมา ก็ลองเขียนหลายครั้ง ลบหลายครั้ง ยังไม่พร้อมจริง ๆ แต่นับวันชีวิตก็เหมือนนิยายมากขึ้น ต้องอ่านตอนจบถ้าดิฉันไม่มีตัวตนหรือคนอื่นกำลังเขียนให้ เรื่องนี้คงเป็นเรื่องที่แต่งที่สนุกที่สุด
ไม่น๊าน.....ไม่นาน ก่อนเงินจากการประกวดจะหมดห้างญี่ปุ่นใกล้บ้านที่หนูสมัครงานไว้โทรมาให้ไปสัมภาษณ์ หนูได้งานค่ะเป็น
เจ้าหน้าที่คิดค่าสินค้า.....................................................ทำงานวนไปกะดึก กะเช้า กะบ่าย
วันที่พ่อของลูกกลับมา
พอลูกได้แปดเดือน พ่อของลูกได้ส่งข่าวมาว่าเค้ามามาเมืองไทยคือหนูดีใจมาก ๆ นี่คือโอกาสในการขอคืนดี--------------------------------------- พาลูกนั่งแท๊กซี่ไป เจอหน้าเค้าหนูดีใจมาก อยากเข้าไปกอด แต่เค้ามีรังสีของความที่ไม่อยากอยู่ใกล้เรา เค้าอุ้มลูกแววตามีความรักความห่วงใย ยกเว้นแต่กับหนู
หนูพูดเกลี่ยกล่อมหลายอย่างเค้าบอกแปลเป็นไทยได้ว่า ยูกลับไปเหอะ

พูดตั้งนานทำไมไม่ใจอ่อนคราวนี้เริ่มโมโห บอกด้วยอารมณ์ผสมน้ำตาถ้าแปลเป็นไทยก็ประมาณว่า เออกูไปตายก็ได้วะ ไปตายกับลูกนี่หละ เค้าตอบกลับมาว่า เออ เอาเลย เค้าก็ได้แค่ไปวางดอกไม้ แล้วเค้าก็ดำเนินชีวิตต่อทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านั้น ----------------------------------------------หนูทั้งเจ็บใจปวดร้าว เค้ายัดหนูที่อุ้มลูกใส่รถแท็กซี่แล้วบอกให้ไปส่งตามที่อยู่
หนูตอนแรกกะว่าจะไปกระโดดน้ำที่เจ้าพระยา แต่คำพูดที่ว่า เค้าก็ได้แค่ไปวางดอกไม้ มันวนเวียนมันวนเวียนจนถึงทุกวันนี้ เลยเปลี่ยนใจไปนั่งกินเบียร์ที่ถนนข้าวสารกับลูก คนก็มองพาเด็กแปดเดือนไปบาร์ ซดเบียร์ ร้องไห้ จนคนในร้านบอกกลับเถอะหนู ลูกง่วงแล้ว หันมองลูกกลับก็กลับ-----------------------------------และตั้งแต่วันนั้นก็ไม่ได้เจอพ่อของลูกอีกเลย
ตั้งใจทำงานห้างเลี้ยงลูกอยู่ 1 ปี แต่สุดท้าย ห้างเจ๊ง ได้เงินจ้างออกมาจำนวนหนึ่ง
เอาเงินที่จ้างออกไปเปิดกิจการส่วนตัวที่ต่างจัดหวัด ไม่นาน......................................เจ๊ง แม่บอกกลับเหอะ กลับมาหางานเลี้ยงลูก
กลับไปหางานได้งานขายอาหารในตึกแถวรัชโยชิน คุณๆ คิดดูขนาดหลับตานอนยัง พูดว่า สวัสดีค่ะ ..................... ทำได้ไม่นาน
ตอนนี้ลูกเกือบสองขวบเห็นจะได้
โทรหาเพื่อนสนิทที่ภูเก็ตขอร้องให้ช่วยหางานให้ เพื่อนรับปากจะพยายามช่วย แต่หนูออกตัวก่อนเลยว่าเงินไม่มีเลยนะ ไม่มีแม้กระทั่งค่ารถที่จะไป
เพื่อนโทรมา เห้ย "คุยกับเจ้าของแล้ว มาได้เลยเจ้าของบอกให้ไปขึ้นรถที่บริษัทฯ เค้าที่อยู่ในกรุงเทพ" แต่ต้องหาค่ารถไปถึงที่นั่นก่อนนะ เรารีบเก็บของไปขอขึ้นรถแบบกล้าๆ กลัว ๆ
ถึงภูเก็ตโดยสวัสดิภาพ
เพื่อนพาไปสัมภาษณ์กับเจ้าของโดยตรง การพูดคุยหรือพบเจอเจ้าของหรือได้พูดคุยกับคนระดับนี้ไม่ง่ายแต่ถือว่าเราโชคดี ขอบคุณท่านจนถึงทุกวันนี้ที่เมตตาให้โอกาสและขอบใจเพื่อนมากที่กล้าหาญย่องเข้าไปฝากงานให้ หนูบอกความสามารถเคยผ่านงานอะไรมา ตกลงเงินเดือน ที่ทำงานมีข้าวกินฟรี มีหอพักให้ .....................................เย้ สบายไปเลย
พบผู้ชายคนใหม่ :
หนูห่างบ้าน ห่างแม่ ห่างลูก หนูเหงา (ข้ออ้าง) เลยอยากมีแฟน เลยได้ทำความรู้จักกับผู้ชายไทยที่ทำงานบริษัทฯ เดียวกัน ความใกล้ชิด หยอกล้อ พูดคุย เค้าทราบว่าหนูมีลูกอยู่ที่กรุงเทพฯ ไม่ถึงสองเดือนหนูตั้งครรภ์ วันที่รู้ว่าตั้งครรภ์รีบเลยค่าาาา รีบพาเค้าไปจดทะเบียนสมรสกันพลาด ป้องกันการเลิกรา ลืมคิดไปว่ามีทะเบียนสมส แล้วก็มีใบหย่า หน้ามืดมากตอนนั้น หนูคิดในตอนนั้นแค่ว่าลูกและทะเบียนสมรสคือสิ่งผูกมัดผู้ชายที่ดีสุด คนไทยด้วยนี่ อิอิจะหนีไปไหน ไม่รอดแน่ ...................................ทุกวันนี้เข้าใจเด็กๆ ที่แต่งงานหรือพลาดก่อนวัยอันควร ความจริงมันมีวิธีป้องกันที่รู้อยู่แต่บางทีก็ไม่ทำเพราะคิดว่าประตูบานแรกคือลูก ลูกจะดึงดูดผู้ชายได้ แต่ของหนูมีประตูบานที่สองที่ล๊อคกุญแจคือทะเบียนสมรส (ไม่เข็ดกับความคิดเดิมนะเรา )----------------------------------------------
ออกมาหาห้องเช่าด้วยกัน รับลูกแรกกับฝรั่ง มาอยู่ด้วย มาเรียน ต่อมาไม่นานก็รับแม่มาอยู่เพราะคิดถึงช่วงใกล้คลอด
อะฮ่า---------------------------------------------- เหมือนชีวิตครอบครัวจะเป็นไปในทางที่ดี
เลือดอาบยับทั้งหน้า อาทิตย์ละครั้ง แม้กระทั่งตอนท้อง
เฮ้ยแกไปทำอะไรมาเขียวปูด
เห้ยแกตกบันไดอีกแล้วหรอวะระวังหน่อยท้องอยู่
และยังมีอีกหลายเฮ้ยเมื่อเพื่อนร่วมงานเห็นสภาพหน้าหนู
ต่อหน้าแม่ ต่อหน้าลูก ก็ยังโดน ทั้งหมัด ทั้งศอก ทั้งมือ ทั้งเท้า น้อยใจแม่ที่ทำไมไม่เคยช่วย (แต่ความจริงก็ไม่ต้องช่วยหรอก เจ็บไปอีกคนใครจะดูหลาน)
มันเจ็บมากกว่าตัว เลือดไม่ได้ออกมาแค่ภายนอก มันยังออกในใจ มันทรมาน เจ็บเกินจะบรรยาย (อืมมมเริ่มออกแนวดราม่า ตอนนี้ขำได้ตอนนั้นซิหนู เจอตอนนั้นหนูเงียบ ระบมไปหลายชั่วโมงเชียว)
เมื่อก่อนมองคนข้างบ้านโดนสามีทุบตี มองและคิดอยู่เสมอว่า เป็นหนู หนูจะไม่ทน
แต่พอเจอกับตัวเองถึงได้รู้ว่า ถ้าไม่ตกอยู่ในสถานการณ์นั้นๆ จะไม่ทราบเหตุผลเลยว่าทำไมต้องอยู่ ไม่มีใครรู้ดีกว่าตัวคุณรู้
- ถ้าตอนได้เจอพี่ข้างบ้านก็อยากขอโทษที่เคยด่าเค้าว่าโง่ ทนอยู่ได้ ถ้าเป็นชั้นแจ้งความไปละ บลา ๆ สู้คืน ฯลฯ สุดแล้วแต่จะจินตการเพราะมันยังไม่เกิดกับตัว จะอยู่ทำไมให้มันตี โน่นนี่ บ้ารึเปล่าทนอยู่ได้ -
ถึงตอนนี้คุณผู้อ่านบางคนคงด่าผู้ชายในใจไปเรียบร้อยแล้ว
ขอโทษด้วยนะเธอ
เอาจริง ๆ หยุดด่าก่อนนะคะ เดี๋ยวมาเขียนต่อ พรุ่งนี้
วันนี้ถ้าพิมพ์อะไรตกหล่นไปขออภัยด้วยนะคะ
คิดดีไม่มีวันสาย 2
หลังจากคลอดน้องแล้ว ชีวิตก็ยังเหมือนก่อนตอนท้อง ยังคงต้องรีดผ้าสูทมือสองส่งโรงซัก และค่าตอบแทนต้องรอกว่าจะสะสมผ้าได้หลายตัวถึงเบิกเงินได้ ...........วันนึงหนูกับแม่ เงินในมือที่มองเห็นได้ไม่มีเลย ต้องหาเศษเหรียญตามเก๊ะ ตามซอก ได้มาทั้งหมด 5 บาท หลายปีก่อนก็จะซื้อไข่จากร้านโชห่วยได้จำนวน 2 ฟอง เอามาตุ๋นใส่น้ำเยอะๆ กินกับแม่สองคน ลูกกินนมหนู วันนั้นยังฝังใจถึงวันนี้ทำไมชีวิตมันยากแค้นนัก ก็เริ่มสมัครงานที่ใกล้บ้านเพื่อจะได้เลี้ยงลูก
ตอนหนูว่างๆ ได้อ่านนิตยสารเกี่ยวกับแม่และเด็ก พบโฆษณาให้คิดเมนูอาหารและส่งประกวด หนูเลยลองเขียนเล่น ๆ ในวันที่เงินไม่มีเลย เค้าโทรมาบ้านเจ้าของบ้านที่เช่าและแจ้งว่า คุณ ติด 1 ใน 10 จากผู้ที่เขียนสูตรมา 200 คน ดีใจมาก มีความหวัง ถ้าไปประกวดต่อจะได้เงินรางวัล ที่ 1 30000 บาท และตามลำดับขั้น ถ้าเป็น รางวัลชมเชยอีก 7 รางวัล จะได้ 3000 และ อาหารเด็ก ชีวิตมีความหวังมาทันทีค่ะ อย่างน้อยก็ 3000 แต่ปัญหาก็ตรงที่เงินจะซื้อของและไปห้างแถวรังสิตเพื่อทำการแข่งขัน ใช่ ..............เงินรออยู่ ไม่กลัวและคิดว่าหนูสามารถใช้คืนคนที่ยืมได้ ก็เลยลองเอ่ยปากยืมเจ้าของบ้านที่เช่า 500 บาท ได้เงินมาก็ไปซื้อของเตรียมประกวด-------หลังการประกวด ผลตามคาดได้มา 2850 (หักค่าภาษีเงินรางวัล) พร้อมอาหารเด็กอีกหลายลัง ..................รอดระยะนึง
ถึงตอนนี้บางคนอาจสงสัยว่าเป็นเรื่องแต่งขึ้นทำไมดูแล้วบังเอิญพอดีจัง ทุกวันนี้ก็งงนะใครแต่งเรื่องจริงให้หนูเดิน แต่งเรื่องที่ไม่คาดคิดมากมาย เพื่อนๆ หลายคนเชียร์ให้เขียนถึงเรื่องที่หนูประสบมา ก็ลองเขียนหลายครั้ง ลบหลายครั้ง ยังไม่พร้อมจริง ๆ แต่นับวันชีวิตก็เหมือนนิยายมากขึ้น ต้องอ่านตอนจบถ้าดิฉันไม่มีตัวตนหรือคนอื่นกำลังเขียนให้ เรื่องนี้คงเป็นเรื่องที่แต่งที่สนุกที่สุด
ไม่น๊าน.....ไม่นาน ก่อนเงินจากการประกวดจะหมดห้างญี่ปุ่นใกล้บ้านที่หนูสมัครงานไว้โทรมาให้ไปสัมภาษณ์ หนูได้งานค่ะเป็น
เจ้าหน้าที่คิดค่าสินค้า.....................................................ทำงานวนไปกะดึก กะเช้า กะบ่าย
วันที่พ่อของลูกกลับมา
พอลูกได้แปดเดือน พ่อของลูกได้ส่งข่าวมาว่าเค้ามามาเมืองไทยคือหนูดีใจมาก ๆ นี่คือโอกาสในการขอคืนดี--------------------------------------- พาลูกนั่งแท๊กซี่ไป เจอหน้าเค้าหนูดีใจมาก อยากเข้าไปกอด แต่เค้ามีรังสีของความที่ไม่อยากอยู่ใกล้เรา เค้าอุ้มลูกแววตามีความรักความห่วงใย ยกเว้นแต่กับหนู
หนูพูดเกลี่ยกล่อมหลายอย่างเค้าบอกแปลเป็นไทยได้ว่า ยูกลับไปเหอะ
หนูตอนแรกกะว่าจะไปกระโดดน้ำที่เจ้าพระยา แต่คำพูดที่ว่า เค้าก็ได้แค่ไปวางดอกไม้ มันวนเวียนมันวนเวียนจนถึงทุกวันนี้ เลยเปลี่ยนใจไปนั่งกินเบียร์ที่ถนนข้าวสารกับลูก คนก็มองพาเด็กแปดเดือนไปบาร์ ซดเบียร์ ร้องไห้ จนคนในร้านบอกกลับเถอะหนู ลูกง่วงแล้ว หันมองลูกกลับก็กลับ-----------------------------------และตั้งแต่วันนั้นก็ไม่ได้เจอพ่อของลูกอีกเลย
ตั้งใจทำงานห้างเลี้ยงลูกอยู่ 1 ปี แต่สุดท้าย ห้างเจ๊ง ได้เงินจ้างออกมาจำนวนหนึ่ง
เอาเงินที่จ้างออกไปเปิดกิจการส่วนตัวที่ต่างจัดหวัด ไม่นาน......................................เจ๊ง แม่บอกกลับเหอะ กลับมาหางานเลี้ยงลูก
กลับไปหางานได้งานขายอาหารในตึกแถวรัชโยชิน คุณๆ คิดดูขนาดหลับตานอนยัง พูดว่า สวัสดีค่ะ ..................... ทำได้ไม่นาน
ตอนนี้ลูกเกือบสองขวบเห็นจะได้
โทรหาเพื่อนสนิทที่ภูเก็ตขอร้องให้ช่วยหางานให้ เพื่อนรับปากจะพยายามช่วย แต่หนูออกตัวก่อนเลยว่าเงินไม่มีเลยนะ ไม่มีแม้กระทั่งค่ารถที่จะไป
เพื่อนโทรมา เห้ย "คุยกับเจ้าของแล้ว มาได้เลยเจ้าของบอกให้ไปขึ้นรถที่บริษัทฯ เค้าที่อยู่ในกรุงเทพ" แต่ต้องหาค่ารถไปถึงที่นั่นก่อนนะ เรารีบเก็บของไปขอขึ้นรถแบบกล้าๆ กลัว ๆ
ถึงภูเก็ตโดยสวัสดิภาพ
เพื่อนพาไปสัมภาษณ์กับเจ้าของโดยตรง การพูดคุยหรือพบเจอเจ้าของหรือได้พูดคุยกับคนระดับนี้ไม่ง่ายแต่ถือว่าเราโชคดี ขอบคุณท่านจนถึงทุกวันนี้ที่เมตตาให้โอกาสและขอบใจเพื่อนมากที่กล้าหาญย่องเข้าไปฝากงานให้ หนูบอกความสามารถเคยผ่านงานอะไรมา ตกลงเงินเดือน ที่ทำงานมีข้าวกินฟรี มีหอพักให้ .....................................เย้ สบายไปเลย
พบผู้ชายคนใหม่ :
หนูห่างบ้าน ห่างแม่ ห่างลูก หนูเหงา (ข้ออ้าง) เลยอยากมีแฟน เลยได้ทำความรู้จักกับผู้ชายไทยที่ทำงานบริษัทฯ เดียวกัน ความใกล้ชิด หยอกล้อ พูดคุย เค้าทราบว่าหนูมีลูกอยู่ที่กรุงเทพฯ ไม่ถึงสองเดือนหนูตั้งครรภ์ วันที่รู้ว่าตั้งครรภ์รีบเลยค่าาาา รีบพาเค้าไปจดทะเบียนสมรสกันพลาด ป้องกันการเลิกรา ลืมคิดไปว่ามีทะเบียนสมส แล้วก็มีใบหย่า หน้ามืดมากตอนนั้น หนูคิดในตอนนั้นแค่ว่าลูกและทะเบียนสมรสคือสิ่งผูกมัดผู้ชายที่ดีสุด คนไทยด้วยนี่ อิอิจะหนีไปไหน ไม่รอดแน่ ...................................ทุกวันนี้เข้าใจเด็กๆ ที่แต่งงานหรือพลาดก่อนวัยอันควร ความจริงมันมีวิธีป้องกันที่รู้อยู่แต่บางทีก็ไม่ทำเพราะคิดว่าประตูบานแรกคือลูก ลูกจะดึงดูดผู้ชายได้ แต่ของหนูมีประตูบานที่สองที่ล๊อคกุญแจคือทะเบียนสมรส (ไม่เข็ดกับความคิดเดิมนะเรา )----------------------------------------------
ออกมาหาห้องเช่าด้วยกัน รับลูกแรกกับฝรั่ง มาอยู่ด้วย มาเรียน ต่อมาไม่นานก็รับแม่มาอยู่เพราะคิดถึงช่วงใกล้คลอด
อะฮ่า---------------------------------------------- เหมือนชีวิตครอบครัวจะเป็นไปในทางที่ดี
เลือดอาบยับทั้งหน้า อาทิตย์ละครั้ง แม้กระทั่งตอนท้อง
เฮ้ยแกไปทำอะไรมาเขียวปูด
ต่อหน้าแม่ ต่อหน้าลูก ก็ยังโดน ทั้งหมัด ทั้งศอก ทั้งมือ ทั้งเท้า น้อยใจแม่ที่ทำไมไม่เคยช่วย (แต่ความจริงก็ไม่ต้องช่วยหรอก เจ็บไปอีกคนใครจะดูหลาน)
มันเจ็บมากกว่าตัว เลือดไม่ได้ออกมาแค่ภายนอก มันยังออกในใจ มันทรมาน เจ็บเกินจะบรรยาย (อืมมมเริ่มออกแนวดราม่า ตอนนี้ขำได้ตอนนั้นซิหนู เจอตอนนั้นหนูเงียบ ระบมไปหลายชั่วโมงเชียว)
เมื่อก่อนมองคนข้างบ้านโดนสามีทุบตี มองและคิดอยู่เสมอว่า เป็นหนู หนูจะไม่ทน
แต่พอเจอกับตัวเองถึงได้รู้ว่า ถ้าไม่ตกอยู่ในสถานการณ์นั้นๆ จะไม่ทราบเหตุผลเลยว่าทำไมต้องอยู่ ไม่มีใครรู้ดีกว่าตัวคุณรู้
- ถ้าตอนได้เจอพี่ข้างบ้านก็อยากขอโทษที่เคยด่าเค้าว่าโง่ ทนอยู่ได้ ถ้าเป็นชั้นแจ้งความไปละ บลา ๆ สู้คืน ฯลฯ สุดแล้วแต่จะจินตการเพราะมันยังไม่เกิดกับตัว จะอยู่ทำไมให้มันตี โน่นนี่ บ้ารึเปล่าทนอยู่ได้ -
ถึงตอนนี้คุณผู้อ่านบางคนคงด่าผู้ชายในใจไปเรียบร้อยแล้ว ขอโทษด้วยนะเธอ
เอาจริง ๆ หยุดด่าก่อนนะคะ เดี๋ยวมาเขียนต่อ พรุ่งนี้
วันนี้ถ้าพิมพ์อะไรตกหล่นไปขออภัยด้วยนะคะ