คงมีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย อยากฟังความคิดเห็นและเหตุผลของแต่ละคนค่ะ ว่าคิดเห็นอย่างไรกับหนังสือราชการฉบับนี้กันบ้าง
ที่มาจากข่าวนี้ค่ะ รูปต้นฉบับหนังสือราชการเปิดดูได้จากในลิงค์นี้นะคะ
https://www.khaosod.co.th/monitor-news/news_720921
อาจารย์ครุศาสตร์โพสต์ความเห็น “ข้อสั่งการของนายกฯ” งบการศึกษาอันน่ากังขา
เพจเฟซบุ๊ก Athapol Anunthavorasakul ของ อรรถพล อนันตวรสกุล อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นต่อเนื้อหาในหนังสือราชการที่มีหัวข้อว่า “ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี” ส่งถึงเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และลงชื่อโดยเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
จดหมายดังกล่าว ระบุถึงการสนองนโยบายเรื่องการสนับสนุนงบประมาณให้อุดมศึกษาฯ ให้ควบคุมสาขาที่ไม่มีงานทำ / ไม่ตรงความต้องการ การลดเงินอุดหนุน หรือไม่ให้ เพราะจบมาไม่มีงานทำแต่ต้องใช้หนี้ กยศ. / ปัญหาต่อเนื่อง
ส่วนข้อความแสดงความคิดเห็นที่โพสต์ในเฟซบุ๊กมีดังนี้
“เห็นส่งต่อกันในไลน์ย้ำกันนักหนาว่าความลับ สามสี่ชั่วโมงถัดมา เต็มนิวส์ฟีดเลย
………………
นี่คือการคิดแบบเอาตลาด และโลกพัง ๆ ที่เป็นอยู่ เป็นตัวตั้งในการพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง แนวคิดแบบเสรีนิยมใหม่สุดโต่งที่คิดอะไรเป็นตัวเลข ต้องการเห็นผลทันใจ มองประโยชน์ระยะสั้น ไม่เห็นการลงทุนระยะยาวในการพัฒนาสังคม และที่สำคัญนี่คือเรื่องการศึกษา
ถ้าจะไม่สนับสนุนสาขาที่บัณฑิตจบไปไม่ตรงความต้องการตลาด สาขาวิชาทางมนุษยศาสตร์คงโดนหนักก่อน
สาขาวิชาอย่างปรัชญา วรรณคดี นั้นหากพิจารณาผิวเผิน อาจดูไม่มีมูลค่าทันทีเชิงการตลาด แต่เวลาสังคมต้องการการถกเถียงทางความคิด เราก็พบว่าเพราะตรรกะมันบิดเบี้ยว เพราะละเลยไม่ร่ำเรียนปรัชญา ไม่ฝึกตั้งคำถาม ไม่มีการฝึกวิเคราะห์กรอบคิด ไม่มีการฝึกการใช้เหตุผลในการถกเถียง ฯลฯ
สาขาวิชาอย่างวรรณคดี คือต้นทุนทางวัฒนธรรม ไม่ได้เห็นผลทันทีทันใจ แบบว่าเรียนจบปุ๊ปเป็นนักเขียนดังปั๊ป แต่ภาพยนตร์ชุดอย่าง แฮรี่ พอตเตอร์ ลอร์ดออฟเดอะริง ซีรีส์ อย่าง เกม ออฟ โทรน ที่ทำรายได้ให้อุตสาหกรรมสื่อ สิ่งพิมพ์ ภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ ละครเวที เป็นหมื่นๆ ล้านเหรียญ ก็มาจากการสั่งสมความรู้ทางวรรณคดีของสังคมที่ฟูมฟักให้เกิดนักเขียน คนเขียนบท ฯลฯ
สาขาวิชาเหล่านี้ยิ่งต้องการการพัฒนาบุคลากร เพราะเป็นสาขาที่จะหวังให้ผู้เรียนไปหาทุนจากแหล่งอื่นมาส่งตัวเองเรียนยิ่งหาได้ยากมาก ๆ
สิ่งที่รัฐต้องพิจารณาให้รอบคอบ คือ มหาวิทยาลัยไม่ได้มีไว้เพียงเพื่อผลิตแรงงาน แต่หน้าที่หลักของมหาวิทยาลัย คือการเป็นกลไกสร้างต้นทุนทางปัญญา ต้นทุนมนุษย์ ต้นทุนทางวัฒนธรรม ฯลฯ อย่างไรเสียก็ต้องมีสาขาที่ถอยไม่ได้ รัฐต้องอุ้มชูไว้ ถ้าจะลดการสนับสนุนเพราะเรื่องตลาดงานก็ต้องพิจารณาดูสาขาที่มันลิงค์กับตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วจริง ๆ ไม่ใช่เหมาเข่งไปเสียหมด
พูดอย่างนี้ไป คนที่เติบโตมาแบบ market-driven ในสังคมที่มองอะไรแค่ผลตอบแทนระยะสั้นก็ไม่เข้าใจ และคงยากที่จะพยายามทำความเข้าใจ
และที่น่าเศร้าไปกว่านั้นก็คือ มหาวิทยาลัยในทุกวันนี้ก็แทบจะสมยอมต่อหน้าที่โรงงานผลิตแรงงาน ไม่ได้ทุ่มเททำหน้าที่สั่งสมหรือสร้างสรรค์ปัญญาให้สังคมได้เห็นว่ามีมหาวิทยาลัยไว้เพื่ออะไรเสียด้วย”
คิดเห็นอย่างไรกับข้อสั่งการของนายกฯเกี่ยวกับการศึกษาไทยฉบับนี้กันบ้างคะ
ที่มาจากข่าวนี้ค่ะ รูปต้นฉบับหนังสือราชการเปิดดูได้จากในลิงค์นี้นะคะ
https://www.khaosod.co.th/monitor-news/news_720921
อาจารย์ครุศาสตร์โพสต์ความเห็น “ข้อสั่งการของนายกฯ” งบการศึกษาอันน่ากังขา
เพจเฟซบุ๊ก Athapol Anunthavorasakul ของ อรรถพล อนันตวรสกุล อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นต่อเนื้อหาในหนังสือราชการที่มีหัวข้อว่า “ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี” ส่งถึงเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และลงชื่อโดยเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
จดหมายดังกล่าว ระบุถึงการสนองนโยบายเรื่องการสนับสนุนงบประมาณให้อุดมศึกษาฯ ให้ควบคุมสาขาที่ไม่มีงานทำ / ไม่ตรงความต้องการ การลดเงินอุดหนุน หรือไม่ให้ เพราะจบมาไม่มีงานทำแต่ต้องใช้หนี้ กยศ. / ปัญหาต่อเนื่อง
ส่วนข้อความแสดงความคิดเห็นที่โพสต์ในเฟซบุ๊กมีดังนี้
“เห็นส่งต่อกันในไลน์ย้ำกันนักหนาว่าความลับ สามสี่ชั่วโมงถัดมา เต็มนิวส์ฟีดเลย
………………
นี่คือการคิดแบบเอาตลาด และโลกพัง ๆ ที่เป็นอยู่ เป็นตัวตั้งในการพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง แนวคิดแบบเสรีนิยมใหม่สุดโต่งที่คิดอะไรเป็นตัวเลข ต้องการเห็นผลทันใจ มองประโยชน์ระยะสั้น ไม่เห็นการลงทุนระยะยาวในการพัฒนาสังคม และที่สำคัญนี่คือเรื่องการศึกษา
ถ้าจะไม่สนับสนุนสาขาที่บัณฑิตจบไปไม่ตรงความต้องการตลาด สาขาวิชาทางมนุษยศาสตร์คงโดนหนักก่อน
สาขาวิชาอย่างปรัชญา วรรณคดี นั้นหากพิจารณาผิวเผิน อาจดูไม่มีมูลค่าทันทีเชิงการตลาด แต่เวลาสังคมต้องการการถกเถียงทางความคิด เราก็พบว่าเพราะตรรกะมันบิดเบี้ยว เพราะละเลยไม่ร่ำเรียนปรัชญา ไม่ฝึกตั้งคำถาม ไม่มีการฝึกวิเคราะห์กรอบคิด ไม่มีการฝึกการใช้เหตุผลในการถกเถียง ฯลฯ
สาขาวิชาอย่างวรรณคดี คือต้นทุนทางวัฒนธรรม ไม่ได้เห็นผลทันทีทันใจ แบบว่าเรียนจบปุ๊ปเป็นนักเขียนดังปั๊ป แต่ภาพยนตร์ชุดอย่าง แฮรี่ พอตเตอร์ ลอร์ดออฟเดอะริง ซีรีส์ อย่าง เกม ออฟ โทรน ที่ทำรายได้ให้อุตสาหกรรมสื่อ สิ่งพิมพ์ ภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ ละครเวที เป็นหมื่นๆ ล้านเหรียญ ก็มาจากการสั่งสมความรู้ทางวรรณคดีของสังคมที่ฟูมฟักให้เกิดนักเขียน คนเขียนบท ฯลฯ
สาขาวิชาเหล่านี้ยิ่งต้องการการพัฒนาบุคลากร เพราะเป็นสาขาที่จะหวังให้ผู้เรียนไปหาทุนจากแหล่งอื่นมาส่งตัวเองเรียนยิ่งหาได้ยากมาก ๆ
สิ่งที่รัฐต้องพิจารณาให้รอบคอบ คือ มหาวิทยาลัยไม่ได้มีไว้เพียงเพื่อผลิตแรงงาน แต่หน้าที่หลักของมหาวิทยาลัย คือการเป็นกลไกสร้างต้นทุนทางปัญญา ต้นทุนมนุษย์ ต้นทุนทางวัฒนธรรม ฯลฯ อย่างไรเสียก็ต้องมีสาขาที่ถอยไม่ได้ รัฐต้องอุ้มชูไว้ ถ้าจะลดการสนับสนุนเพราะเรื่องตลาดงานก็ต้องพิจารณาดูสาขาที่มันลิงค์กับตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วจริง ๆ ไม่ใช่เหมาเข่งไปเสียหมด
พูดอย่างนี้ไป คนที่เติบโตมาแบบ market-driven ในสังคมที่มองอะไรแค่ผลตอบแทนระยะสั้นก็ไม่เข้าใจ และคงยากที่จะพยายามทำความเข้าใจ
และที่น่าเศร้าไปกว่านั้นก็คือ มหาวิทยาลัยในทุกวันนี้ก็แทบจะสมยอมต่อหน้าที่โรงงานผลิตแรงงาน ไม่ได้ทุ่มเททำหน้าที่สั่งสมหรือสร้างสรรค์ปัญญาให้สังคมได้เห็นว่ามีมหาวิทยาลัยไว้เพื่ออะไรเสียด้วย”