ความเป็นมาของสเปนเซอร์ วาฮูตู
วาฮูตูยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบ มองผ่านนอกชานออกไปยังทิวเขาและผืนป่าเบื้องหน้า เหมือนเรียกความทรงจำเก่าๆ ให้หวนคืน
“ผมไปเมืองไทยแบบตกกระไดพลอยโจนเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๒ ขณะอายุ ๙ ขวบ ตอนนั้นบ้านผมอยู่ใกล้ท่าเรือเมืองโมเรสบี ผมจึงชอบไปวิ่งเล่นและว่ายน้ำกับเพื่อนๆ วัยเดียวกัน ทุกอย่างในบริเวณท่าเรือคือสิ่งคุ้นตาและคุ้นเคย ไม่ว่าเรือเดินทะเลลำใหญ่โตมโหฬาร เรือนำร่องที่ลากจูงเรือสินค้าเข้าออกปากแม่น้ำ ตู้คอนเทนเนอร์หลากสีจำนวนมาก เครนยักษ์สำหรับยกตู้คอนเทนเนอร์ โกดังเก็บสินค้าที่มีขนาดกว้างใหญ่ปิดทึบทุกด้าน...”
เด็กชายวาฮูตูเล่นสนุกแถวท่าเรือจนรู้จักกะลาสีหลายคน กะลาสีคนหนึ่งสนิทกับวาฮูตูเป็นพิเศษ ถึงขั้นแอบพาเด็กน้อยขึ้นไปบนเรือที่กะลาสีนายนี้ประจำอยู่ วาฮูตูจึงได้รู้เห็นสภาพต่างๆ บนเรือเดินทะเล ห้องอะไรอยู่ตรงไหน ส่วนไหนเป็นเขตหวงห้าม
เมื่อมีโอกาสเช่นนี้บ่อยครั้ง หลายสิ่งหลายอย่างที่เด็กน้อยไม่รู้จึงได้รู้ ที่ไม่ชำนาญก็ชำนาญ และมีความกล้ามากขึ้นด้วยการแอบขึ้นไปบนเรือใหญ่ลำโน้นลำนี้ตามลำพัง
แล้ววันหนึ่งความผิดพลาดใหญ่หลวงก็บังเกิด เมื่อวาฮูตูขึ้นไปบนเรือสินค้าลำหนึ่ง และเผลอนอนหลับในห้องเก็บสินค้าใต้ท้องเรือ
“ผมหลับสนิท...หลับลึก ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงหวูดเรือ และคงหลับไปหลายชั่วโมงทีเดียว พอรู้สึกตัวตื่น มองออกไปนอกหน้าต่างที่เป็นกระจกกลม เห็นระลอกคลื่นและเวิ้งน้ำกว้างไกลสุดสายตา จึงรู้ว่าเรือออกจากท่าแล้ว แต่จะมาไกลแค่ไหนไม่ทราบ ตอนนั้นผมตกใจจนทำอะไรไม่ถูก”
“พี่วาฮูแกเก่งค่ะ รอนแรมจากบ้านแกมาจนถึงคลองเตย” มาลียกย่องวีรกรรมวีรเวรของสามี
นายผมหยิกเล่าต่อไปว่าพอเรือเทียบท่าที่ท่าเรือคลองเตย ตอนแรกไม่รู้ว่าคือที่ไหน ประเทศอะไร แต่สภาพบ้านเรือนที่เห็นบอกว่าเมืองนี้น่าอยู่กว่าบ้านเกิด จึงตัดสินใจลงจากเรือเพื่อเผชิญชีวิตตามประสาคนที่อยู่กับความแร้นแค้นมาแต่เล็กแต่น้อย และต้องการดิ้นรนเพื่อพบสิ่งที่ดีกว่า
วาฮูตูหยุดพูดและหยิบทิชชู่เช็ดปาก สินาดจึงกล่าวถาม
“ตอนอยู่บนเรือเดินทะเล แน่นอนว่าคุณวาฮูต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ เพราะกลัวถูกจับได้ แล้วการกินอยู่หลับนอนทำยังไงครับ”
“เป็นคำถามที่ดีครับคุณสินาด” เขาพูดจริงจัง “ผมได้เล่าแล้วว่าผมมีท่าเรือเมืองโมเรสบีเป็นสนามเด็กเล่น พวกคนเรือแทบทุกคนจึงรู้จักผม บนเรือลำนั้นก็เช่นกัน จะนับว่าเป็นโชคดีของผมก็ได้...”
กะลาสีคนหนึ่งจำเด็กน้อยได้แม่นยำ เขาตกใจที่เห็นวาฮูตูอยู่บนเรือ ครั้นจะบอกให้ใครรู้ก็ไม่ได้ โดยเฉพาะถ้ากัปตันรู้ต้องเป็นเรื่องราวใหญ่โต เด็กน้อยอาจโดนไล่ลงจากเรือที่เมืองใดเมืองหนึ่ง และเขาเองจะมีความผิดไปด้วย
ซีแมนคนนั้นจึงให้วาฮูตูหลบอยู่ในห้องเขา แอบเอาอาหารและน้ำมาให้ กำชับเด็กน้อยไม่ให้ออกไปเพ่นพ่านนอกห้องเด็ดขาด วาฮูตูก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
“คนเรากินแล้วต้องมีการขับถ่าย” นิตย์เอ่ยขึ้นบ้าง “ทั้งถ่ายหนักถ่ายเบา เรื่องนี้ยุ่งยากมั้ยครับ”
ผู้จัดการเหมืองเปลี่ยนสายตาไปที่ผู้ถามแล้วเบ้ปาก
“ยุ่งพอดูครับ ต้องฉี่ในกระป๋องที่ลุงกะลาสีเขาหามาให้ ส่วนการถ่ายกากอาหาร ใช้วิธีถ่ายใส่ถุงกระดาษแล้วห่ออย่างมิดชิด ดึกๆ แอบย่องไปขว้างลงทะเลเป็นอาหารเสริมสำหรับปลาเล็กปลาน้อย แต่ไม่ว่าอาหารเสริมจะแข็งหรือเหลว ก็โยนทิ้งลำบากทั้งนั้น เพราะลมทะเลแรงมาก ถุงที่ขว้างไปมักถูกลมตีกลับขึ้นมาบนเรือ ต้องวิ่งไล่ตะครุบ วันไหนอาหารเสริมเป็นแบบเหลวยิ่งแย่ครับ พอโดนลมแรงๆ มันก็ปลิวกระจายเลอะเต็มหน้าเต็มตัว”
หลังจากขึ้นบก เด็กชายวาฮูตูวนเวียนอยู่ในท่าเรือคลองเตย ได้สัมผัสรู้ว่าคนไทยมีนิสัยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ โอบอ้อมอารี แต่มักไม่ค่อยสนใจว่าใครเป็นใครมาจากไหน ทุกคนเห็นเด็กน้อยรูปร่างหน้าตาแปลกแยกไปจากเด็กอื่น ก็พากันเข้าใจว่าเป็นลูกของอเมริกันนิโกรที่มีเมียคนไทย แล้วพ่อแม่แยกทางกันทิ้งลูกเป็นเด็กจรจัด
แม้จะสื่อสารกันด้วยภาษาใบ้ เพราะพูดกันไม่รู้เรื่อง แต่แทบทุกคนที่พบเห็นก็เอ็นดูเด็กน้อยคนนี้ หลายคนเมตตาด้วยการให้อาหาร เสื้อผ้า แม้กระทั่งให้เงินเล็กๆ น้อยๆ นอกจากนี้ยังเรียกเขาว่าอ้ายเงาะบ้าง อ้ายดำบ้าง ตามลักษณะทางกายภาพคือผมหยิกและตัวดำกว่าเด็กทั่วไป
วาฮูตูไม่รู้ภาษาไทย แต่พยายามเรียนรู้ด้วยการฟังคนอื่นพูด และจำจดมาเลียนแบบอย่างผิดๆ ถูกๆ
“นักปราชญ์โบราณชาวปาปัวฯ มีคำสอนไว้ว่า...” ผู้จัดการเหมืองแสดงสีหน้าเป็นปลื้มเมื่อเล่าถึงอดีตของตนเอง “ทุกเหตุการณ์ไม่ดีหากมีมา รู้รักษาตัวรอดให้ปลอดภัย... ผมก็ยึดคำสอนนี้แหละครับ และเตือนตัวเองเสมอว่าอยู่ต่างที่ต่างถิ่น ไม่ใช่บ้านของเรา”
นิตย์ยกมือตีขาสินาดดังเพียะ
“ไม่เลวแฮะ นักปราชญ์ปาปัวฯ สอนแบบเดียวกับสุนทรภู่เลย แถมคำสอนยังใกล้เคียงกันซะอีก”
วาฮูตูทำหน้าตื่นๆ
“โอ้ - ผมไม่ยักรู้ว่าเมืองไทยก็มีคำสอนแบบนี้เหมือนกัน”
“มีครับ” นิตย์ตอบ “สุนทรภู่กวีเอกของไทยแต่งคำสอนเป็นบทกวีไว้ในนิยายเรื่อง “พระอภัยมณี” ตอนหนึ่งว่า รู้อะไรไม่สู้รู้วิชา รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี...”
“เฮ้ย” พัฒนะขัดจังหวะ “เดี๋ยวนี้คำสอนของท่านสุนทรภู่เปลี่ยนไปแล้วโว้ย”
นายโย่งโก๊ะขมวดคิ้ว
“แกรู้ได้ไงวะอ้ายพัฒน์”
“ทำไมจะไม่รู้ แกลองสังเกตคนทำงานยุคนี้สิวะ ไม่ว่าข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือแม้แต่บริษัทเอกชน ส่วนใหญ่จะยึดหลัก “รู้อะไรไม่สู้รู้สอพลอ หมั่นเยินยอเลียนายสบายแฮ” ฮ่ะฮ่ะฮ่า”
“จริงอย่างอ้ายพัฒน์มันว่า” หนุ่มร่างบอบบางสนับสนุนคำพูดเพื่อนเกลอ “นั่นคือที่มาของวลี ใช่ครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับท่าน คนไหนพูดแบบนี้บ่อยๆ กับผู้บังคับบัญชา ตำแหน่งมักจะไปเร็วไปไกล ยังกะแชมป์เหรียญทองโอลิมปิกกรีฑาประเภทเขย่งก้าวกระโดดเชียวแหละ”
วาฮูตูช่วยคนในท่าเรือยกของและเข็นของด้วยความขยัน ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย เป็นที่พอใจของเหล่ากุลีท่าเรือ แต่บางครั้งเขาโดนกุลีโหดๆ ไล่เตะหรือทำร้าย พวกกุลีนิสัยดีๆ ก็จะช่วยกันปกป้องไว้ทุกครั้ง
กลางคืนวาฮูตูนอนข้างโกดังสินค้า หรือตามซอกตู้คอนเทนเนอร์ มีผ้าห่มเก่าๆ ผืนหนึ่งห่มคลุมร่างกาย เรื่องยุงไม่มีปัญหาสำหรับเด็กน้อยจากแดนมนุษย์กินคน เพราะยุงที่บ้านเขาตัวโตและกัดเจ็บยิ่งกว่ายุงในเมืองไทย
“ผมทำทุกอย่างที่ทุกคนให้ทำ ถึงจะเหนื่อยแต่ก็สนุก ที่สำคัญคือผมได้เรียนรู้ภาษาไทยมากขึ้นแบบครูพักลักจำ ผมรู้คำทักทาย รู้คำพูดคุยในชีวิตประจำวัน รวมทั้งคำด่าด้วย”
อ้ายเงาะใช้ชีวิตอยู่ในท่าเรือคลองเตยเกือบปี พนักงานท่าเรือคนหนึ่งที่เพิ่งย้ายมาใหม่ เฝ้าจับตาดูเด็กน้อยตลอด เขาหวั่นเกรงว่าอาจเกิดอุบัติเหตุกับเด็กน้อยไม่วันใดก็วันหนึ่ง เนื่องจากบริเวณท่าเรือมีการเคลื่อนย้ายตู้คอนเทนเนอร์ด้วยเครนยักษ์ เพื่อขึ้นหรือลงจากเรือสินค้าลำต่างๆ
และยังมีรถโฟล์กลิฟต์ขนลังสินค้าเล็กใหญ่ ตลอดจนรถสิบล้อและรถอื่นๆ วิ่งกันขวักไขว่ตลอดเวลา เขาจึงชวนวาฮูตูซึ่งตอนนั้นเริ่มพูดไทยได้อย่างกระท่อนกระแท่นแล้ว ไปอาศัยอยู่กับญาติที่ตลาดคลองเตย
อ้ายเงาะยอมรับความช่วยเหลือจากบุรุษใจดี เพราะเขาเองก็รู้ว่าถ้าอยู่ในท่าเรือต่อไปอาจจะเกิดเหตุร้ายแบบไม่คาดฝันขึ้นได้
ที่อยู่ใหม่ของเด็กน้อยจากแดนมนุษย์กินคนคือร้านขายของชำ เจ้าของร้านเป็นพี่ชายกับพี่สะใภ้ของพนักงานท่าเรือคนนั้น ซึ่งชายผู้หวังดีได้การันตีความประพฤติของวาฮูตู จนกระทั่งสองสามีภรรยาตกลงยินยอมให้เด็กแปลกหน้าพักอาศัยด้วย แต่ก็ไม่วายจับตาดูทุกฝีก้าว
“วันหนึ่งผมเจอแหวนทองคำหนักสองสลึงตกอยู่ข้างโอ่งในห้องน้ำ” นายผมหยิกเล่าต่อ “จึงเอาไปคืนให้คุณพ่อวิเวกกับคุณแม่วังเวง ซึ่งกำลังเป็นทุกข์เรื่องแหวนวงนี้หายอยู่พอดี”
“เดี๋ยวครับ...เดี๋ยว” สินาดพูดเสียงดัง “คุณพ่อคุณแม่อะไรนะครับ ที่คุณวาฮูพูดเมื่อกี้นี้”
“คุณพ่อวิเวกกับคุณแม่วังเวงครับ”
สามหนุ่มปล่อยก๊ากออกมาพร้อมๆ กันโดยมิได้นัดหมาย
“จริงหรือมุข คุณวาฮู” พัฒนะถามย้ำ
นายผมหยิกทำหน้าเหรอหรา
“จริงครับ พวกคุณขำอะไรมิทราบ”
“ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ” นายนิตย์หัวเราะไม่หยุด “แหม่ - คนเท่งทึงที่ชื่อเพราะๆ ตั้งเยอะแยะไม่ยักเอามาตั้ง คิดได้ไงเนี่ย...ฝ่ายชายชื่อวิเวก ฝ่ายหญิงชื่อวังเวง สงสัยเป็นเนื้อคู่กันมาทุกชาติภพ”
วาฮูตูรอจนสามหนุ่มหยุดหัวเราะ จึงพูดต่อ
“ผมไม่ทราบความหมายครับ แต่คุณพ่อคุณแม่บุญธรรมของผมชื่อแบบนี้จริงๆ...”
“คุณวาฮูซื่อมากนะครับ” นิตย์วกกลับมาเรื่องแหวน “เป็นผมเจอแหวนทองวงนั้นละก็...ผมทำไม่รู้ไม่ชี้แล้ว”
“ชาวปาปัวฯ ได้รับการอบรมสั่งสอนให้มีความซื่อสัตย์มาตั้งแต่เด็ก ซื่อสัตย์นะครับไม่ใช่ซื่ออ้ายสัตว์ ฮิฮิฮิ เวลาพบเจอสิ่งของที่ไม่ใช่ของตัวเอง ต้องตามหาเจ้าของให้พบแล้วคืนให้เขา เพราะเขาต้องเป็นทุกข์เป็นร้อนเมื่อทรัพย์สินสูญหาย”
พัฒนะยกแก้วน้ำมานาวูขึ้นดื่มก่อนจะกล่าวว่า
“คนไทยก็มีการอบรมสั่งสอนแบบนี้เหมือนกันครับ แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยปฏิบัติตาม เพราะสิ่งที่พบโดยเฉพาะถ้าเป็นเงินมากๆ หรือของมีค่าราคาแพงๆ มักจะลืมคำสั่งสอนนั้นทันที”...
นิยาย Action Comedy "ลุยแดนมนุษย์กินคน" ตอน 3
วาฮูตูยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบ มองผ่านนอกชานออกไปยังทิวเขาและผืนป่าเบื้องหน้า เหมือนเรียกความทรงจำเก่าๆ ให้หวนคืน
“ผมไปเมืองไทยแบบตกกระไดพลอยโจนเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๒ ขณะอายุ ๙ ขวบ ตอนนั้นบ้านผมอยู่ใกล้ท่าเรือเมืองโมเรสบี ผมจึงชอบไปวิ่งเล่นและว่ายน้ำกับเพื่อนๆ วัยเดียวกัน ทุกอย่างในบริเวณท่าเรือคือสิ่งคุ้นตาและคุ้นเคย ไม่ว่าเรือเดินทะเลลำใหญ่โตมโหฬาร เรือนำร่องที่ลากจูงเรือสินค้าเข้าออกปากแม่น้ำ ตู้คอนเทนเนอร์หลากสีจำนวนมาก เครนยักษ์สำหรับยกตู้คอนเทนเนอร์ โกดังเก็บสินค้าที่มีขนาดกว้างใหญ่ปิดทึบทุกด้าน...”
เด็กชายวาฮูตูเล่นสนุกแถวท่าเรือจนรู้จักกะลาสีหลายคน กะลาสีคนหนึ่งสนิทกับวาฮูตูเป็นพิเศษ ถึงขั้นแอบพาเด็กน้อยขึ้นไปบนเรือที่กะลาสีนายนี้ประจำอยู่ วาฮูตูจึงได้รู้เห็นสภาพต่างๆ บนเรือเดินทะเล ห้องอะไรอยู่ตรงไหน ส่วนไหนเป็นเขตหวงห้าม
เมื่อมีโอกาสเช่นนี้บ่อยครั้ง หลายสิ่งหลายอย่างที่เด็กน้อยไม่รู้จึงได้รู้ ที่ไม่ชำนาญก็ชำนาญ และมีความกล้ามากขึ้นด้วยการแอบขึ้นไปบนเรือใหญ่ลำโน้นลำนี้ตามลำพัง
แล้ววันหนึ่งความผิดพลาดใหญ่หลวงก็บังเกิด เมื่อวาฮูตูขึ้นไปบนเรือสินค้าลำหนึ่ง และเผลอนอนหลับในห้องเก็บสินค้าใต้ท้องเรือ
“ผมหลับสนิท...หลับลึก ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงหวูดเรือ และคงหลับไปหลายชั่วโมงทีเดียว พอรู้สึกตัวตื่น มองออกไปนอกหน้าต่างที่เป็นกระจกกลม เห็นระลอกคลื่นและเวิ้งน้ำกว้างไกลสุดสายตา จึงรู้ว่าเรือออกจากท่าแล้ว แต่จะมาไกลแค่ไหนไม่ทราบ ตอนนั้นผมตกใจจนทำอะไรไม่ถูก”
“พี่วาฮูแกเก่งค่ะ รอนแรมจากบ้านแกมาจนถึงคลองเตย” มาลียกย่องวีรกรรมวีรเวรของสามี
นายผมหยิกเล่าต่อไปว่าพอเรือเทียบท่าที่ท่าเรือคลองเตย ตอนแรกไม่รู้ว่าคือที่ไหน ประเทศอะไร แต่สภาพบ้านเรือนที่เห็นบอกว่าเมืองนี้น่าอยู่กว่าบ้านเกิด จึงตัดสินใจลงจากเรือเพื่อเผชิญชีวิตตามประสาคนที่อยู่กับความแร้นแค้นมาแต่เล็กแต่น้อย และต้องการดิ้นรนเพื่อพบสิ่งที่ดีกว่า
วาฮูตูหยุดพูดและหยิบทิชชู่เช็ดปาก สินาดจึงกล่าวถาม
“ตอนอยู่บนเรือเดินทะเล แน่นอนว่าคุณวาฮูต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ เพราะกลัวถูกจับได้ แล้วการกินอยู่หลับนอนทำยังไงครับ”
“เป็นคำถามที่ดีครับคุณสินาด” เขาพูดจริงจัง “ผมได้เล่าแล้วว่าผมมีท่าเรือเมืองโมเรสบีเป็นสนามเด็กเล่น พวกคนเรือแทบทุกคนจึงรู้จักผม บนเรือลำนั้นก็เช่นกัน จะนับว่าเป็นโชคดีของผมก็ได้...”
กะลาสีคนหนึ่งจำเด็กน้อยได้แม่นยำ เขาตกใจที่เห็นวาฮูตูอยู่บนเรือ ครั้นจะบอกให้ใครรู้ก็ไม่ได้ โดยเฉพาะถ้ากัปตันรู้ต้องเป็นเรื่องราวใหญ่โต เด็กน้อยอาจโดนไล่ลงจากเรือที่เมืองใดเมืองหนึ่ง และเขาเองจะมีความผิดไปด้วย
ซีแมนคนนั้นจึงให้วาฮูตูหลบอยู่ในห้องเขา แอบเอาอาหารและน้ำมาให้ กำชับเด็กน้อยไม่ให้ออกไปเพ่นพ่านนอกห้องเด็ดขาด วาฮูตูก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
“คนเรากินแล้วต้องมีการขับถ่าย” นิตย์เอ่ยขึ้นบ้าง “ทั้งถ่ายหนักถ่ายเบา เรื่องนี้ยุ่งยากมั้ยครับ”
ผู้จัดการเหมืองเปลี่ยนสายตาไปที่ผู้ถามแล้วเบ้ปาก
“ยุ่งพอดูครับ ต้องฉี่ในกระป๋องที่ลุงกะลาสีเขาหามาให้ ส่วนการถ่ายกากอาหาร ใช้วิธีถ่ายใส่ถุงกระดาษแล้วห่ออย่างมิดชิด ดึกๆ แอบย่องไปขว้างลงทะเลเป็นอาหารเสริมสำหรับปลาเล็กปลาน้อย แต่ไม่ว่าอาหารเสริมจะแข็งหรือเหลว ก็โยนทิ้งลำบากทั้งนั้น เพราะลมทะเลแรงมาก ถุงที่ขว้างไปมักถูกลมตีกลับขึ้นมาบนเรือ ต้องวิ่งไล่ตะครุบ วันไหนอาหารเสริมเป็นแบบเหลวยิ่งแย่ครับ พอโดนลมแรงๆ มันก็ปลิวกระจายเลอะเต็มหน้าเต็มตัว”
หลังจากขึ้นบก เด็กชายวาฮูตูวนเวียนอยู่ในท่าเรือคลองเตย ได้สัมผัสรู้ว่าคนไทยมีนิสัยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ โอบอ้อมอารี แต่มักไม่ค่อยสนใจว่าใครเป็นใครมาจากไหน ทุกคนเห็นเด็กน้อยรูปร่างหน้าตาแปลกแยกไปจากเด็กอื่น ก็พากันเข้าใจว่าเป็นลูกของอเมริกันนิโกรที่มีเมียคนไทย แล้วพ่อแม่แยกทางกันทิ้งลูกเป็นเด็กจรจัด
แม้จะสื่อสารกันด้วยภาษาใบ้ เพราะพูดกันไม่รู้เรื่อง แต่แทบทุกคนที่พบเห็นก็เอ็นดูเด็กน้อยคนนี้ หลายคนเมตตาด้วยการให้อาหาร เสื้อผ้า แม้กระทั่งให้เงินเล็กๆ น้อยๆ นอกจากนี้ยังเรียกเขาว่าอ้ายเงาะบ้าง อ้ายดำบ้าง ตามลักษณะทางกายภาพคือผมหยิกและตัวดำกว่าเด็กทั่วไป
วาฮูตูไม่รู้ภาษาไทย แต่พยายามเรียนรู้ด้วยการฟังคนอื่นพูด และจำจดมาเลียนแบบอย่างผิดๆ ถูกๆ
“นักปราชญ์โบราณชาวปาปัวฯ มีคำสอนไว้ว่า...” ผู้จัดการเหมืองแสดงสีหน้าเป็นปลื้มเมื่อเล่าถึงอดีตของตนเอง “ทุกเหตุการณ์ไม่ดีหากมีมา รู้รักษาตัวรอดให้ปลอดภัย... ผมก็ยึดคำสอนนี้แหละครับ และเตือนตัวเองเสมอว่าอยู่ต่างที่ต่างถิ่น ไม่ใช่บ้านของเรา”
นิตย์ยกมือตีขาสินาดดังเพียะ
“ไม่เลวแฮะ นักปราชญ์ปาปัวฯ สอนแบบเดียวกับสุนทรภู่เลย แถมคำสอนยังใกล้เคียงกันซะอีก”
วาฮูตูทำหน้าตื่นๆ
“โอ้ - ผมไม่ยักรู้ว่าเมืองไทยก็มีคำสอนแบบนี้เหมือนกัน”
“มีครับ” นิตย์ตอบ “สุนทรภู่กวีเอกของไทยแต่งคำสอนเป็นบทกวีไว้ในนิยายเรื่อง “พระอภัยมณี” ตอนหนึ่งว่า รู้อะไรไม่สู้รู้วิชา รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี...”
“เฮ้ย” พัฒนะขัดจังหวะ “เดี๋ยวนี้คำสอนของท่านสุนทรภู่เปลี่ยนไปแล้วโว้ย”
นายโย่งโก๊ะขมวดคิ้ว
“แกรู้ได้ไงวะอ้ายพัฒน์”
“ทำไมจะไม่รู้ แกลองสังเกตคนทำงานยุคนี้สิวะ ไม่ว่าข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือแม้แต่บริษัทเอกชน ส่วนใหญ่จะยึดหลัก “รู้อะไรไม่สู้รู้สอพลอ หมั่นเยินยอเลียนายสบายแฮ” ฮ่ะฮ่ะฮ่า”
“จริงอย่างอ้ายพัฒน์มันว่า” หนุ่มร่างบอบบางสนับสนุนคำพูดเพื่อนเกลอ “นั่นคือที่มาของวลี ใช่ครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับท่าน คนไหนพูดแบบนี้บ่อยๆ กับผู้บังคับบัญชา ตำแหน่งมักจะไปเร็วไปไกล ยังกะแชมป์เหรียญทองโอลิมปิกกรีฑาประเภทเขย่งก้าวกระโดดเชียวแหละ”
วาฮูตูช่วยคนในท่าเรือยกของและเข็นของด้วยความขยัน ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย เป็นที่พอใจของเหล่ากุลีท่าเรือ แต่บางครั้งเขาโดนกุลีโหดๆ ไล่เตะหรือทำร้าย พวกกุลีนิสัยดีๆ ก็จะช่วยกันปกป้องไว้ทุกครั้ง
กลางคืนวาฮูตูนอนข้างโกดังสินค้า หรือตามซอกตู้คอนเทนเนอร์ มีผ้าห่มเก่าๆ ผืนหนึ่งห่มคลุมร่างกาย เรื่องยุงไม่มีปัญหาสำหรับเด็กน้อยจากแดนมนุษย์กินคน เพราะยุงที่บ้านเขาตัวโตและกัดเจ็บยิ่งกว่ายุงในเมืองไทย
“ผมทำทุกอย่างที่ทุกคนให้ทำ ถึงจะเหนื่อยแต่ก็สนุก ที่สำคัญคือผมได้เรียนรู้ภาษาไทยมากขึ้นแบบครูพักลักจำ ผมรู้คำทักทาย รู้คำพูดคุยในชีวิตประจำวัน รวมทั้งคำด่าด้วย”
อ้ายเงาะใช้ชีวิตอยู่ในท่าเรือคลองเตยเกือบปี พนักงานท่าเรือคนหนึ่งที่เพิ่งย้ายมาใหม่ เฝ้าจับตาดูเด็กน้อยตลอด เขาหวั่นเกรงว่าอาจเกิดอุบัติเหตุกับเด็กน้อยไม่วันใดก็วันหนึ่ง เนื่องจากบริเวณท่าเรือมีการเคลื่อนย้ายตู้คอนเทนเนอร์ด้วยเครนยักษ์ เพื่อขึ้นหรือลงจากเรือสินค้าลำต่างๆ
และยังมีรถโฟล์กลิฟต์ขนลังสินค้าเล็กใหญ่ ตลอดจนรถสิบล้อและรถอื่นๆ วิ่งกันขวักไขว่ตลอดเวลา เขาจึงชวนวาฮูตูซึ่งตอนนั้นเริ่มพูดไทยได้อย่างกระท่อนกระแท่นแล้ว ไปอาศัยอยู่กับญาติที่ตลาดคลองเตย
อ้ายเงาะยอมรับความช่วยเหลือจากบุรุษใจดี เพราะเขาเองก็รู้ว่าถ้าอยู่ในท่าเรือต่อไปอาจจะเกิดเหตุร้ายแบบไม่คาดฝันขึ้นได้
ที่อยู่ใหม่ของเด็กน้อยจากแดนมนุษย์กินคนคือร้านขายของชำ เจ้าของร้านเป็นพี่ชายกับพี่สะใภ้ของพนักงานท่าเรือคนนั้น ซึ่งชายผู้หวังดีได้การันตีความประพฤติของวาฮูตู จนกระทั่งสองสามีภรรยาตกลงยินยอมให้เด็กแปลกหน้าพักอาศัยด้วย แต่ก็ไม่วายจับตาดูทุกฝีก้าว
“วันหนึ่งผมเจอแหวนทองคำหนักสองสลึงตกอยู่ข้างโอ่งในห้องน้ำ” นายผมหยิกเล่าต่อ “จึงเอาไปคืนให้คุณพ่อวิเวกกับคุณแม่วังเวง ซึ่งกำลังเป็นทุกข์เรื่องแหวนวงนี้หายอยู่พอดี”
“เดี๋ยวครับ...เดี๋ยว” สินาดพูดเสียงดัง “คุณพ่อคุณแม่อะไรนะครับ ที่คุณวาฮูพูดเมื่อกี้นี้”
“คุณพ่อวิเวกกับคุณแม่วังเวงครับ”
สามหนุ่มปล่อยก๊ากออกมาพร้อมๆ กันโดยมิได้นัดหมาย
“จริงหรือมุข คุณวาฮู” พัฒนะถามย้ำ
นายผมหยิกทำหน้าเหรอหรา
“จริงครับ พวกคุณขำอะไรมิทราบ”
“ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ” นายนิตย์หัวเราะไม่หยุด “แหม่ - คนเท่งทึงที่ชื่อเพราะๆ ตั้งเยอะแยะไม่ยักเอามาตั้ง คิดได้ไงเนี่ย...ฝ่ายชายชื่อวิเวก ฝ่ายหญิงชื่อวังเวง สงสัยเป็นเนื้อคู่กันมาทุกชาติภพ”
วาฮูตูรอจนสามหนุ่มหยุดหัวเราะ จึงพูดต่อ
“ผมไม่ทราบความหมายครับ แต่คุณพ่อคุณแม่บุญธรรมของผมชื่อแบบนี้จริงๆ...”
“คุณวาฮูซื่อมากนะครับ” นิตย์วกกลับมาเรื่องแหวน “เป็นผมเจอแหวนทองวงนั้นละก็...ผมทำไม่รู้ไม่ชี้แล้ว”
“ชาวปาปัวฯ ได้รับการอบรมสั่งสอนให้มีความซื่อสัตย์มาตั้งแต่เด็ก ซื่อสัตย์นะครับไม่ใช่ซื่ออ้ายสัตว์ ฮิฮิฮิ เวลาพบเจอสิ่งของที่ไม่ใช่ของตัวเอง ต้องตามหาเจ้าของให้พบแล้วคืนให้เขา เพราะเขาต้องเป็นทุกข์เป็นร้อนเมื่อทรัพย์สินสูญหาย”
พัฒนะยกแก้วน้ำมานาวูขึ้นดื่มก่อนจะกล่าวว่า
“คนไทยก็มีการอบรมสั่งสอนแบบนี้เหมือนกันครับ แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยปฏิบัติตาม เพราะสิ่งที่พบโดยเฉพาะถ้าเป็นเงินมากๆ หรือของมีค่าราคาแพงๆ มักจะลืมคำสั่งสอนนั้นทันที”...