ถ้าไม่ชอบให้รัฐบาลอุดหนุนภาคเกษตร แต่เกษตรกรไทยส่วนใหญ่อายุมากและการศึกษาน้อย จะทำอย่างไร?

เราทราบกันมานานแล้วว่า ในเศรษฐกิจ 3 เสาหลักของไทย "ภาคเกษตร" ทำรายได้ต่ำที่สุด แต่มีคนอยู่ในภาคนี้มากที่สุด


ที่มา : http://databank.worldbank.org/data/Views/Reports/ReportWidgetCustom.aspx?Report_Name=CountryProfile&Id=b450fd57&tbar=y&dd=y&inf=n&zm=n&country=THA

รายงานของธนาคารโลก บอกว่าในปี 2559 ภาคเกษตรไทยมีสัดส่วน GDP แค่ 8% น้อยกว่าภาคอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วน 36% และภาคบริการที่มีมากถึง 56%

แต่เมื่อมาดูจำนวนแรงงานภาคเกษตรไทยในปีเดียวกัน ( ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ) พบว่าเกือบ 1 ใน 3 อยู่ในภาคเกษตร หรือ 11 ล้านคนจากแรงงานทุกประเภท 38 ล้านคน


ที่มา : http://service.nso.go.th/nso/nsopublish/themes/files/workerOutReport59.pdf การสํารวจแรงงานนอกระบบ พ.ศ. 2559 ( nso.go.th )

จากตารางนี้ ก็มีแนวคิดว่าทำอย่างไรจะเอาคนออกจากภาคเกษตรได้ ให้เหลือแต่เกษตรกรที่มีคุณภาพจริงๆ และไม่แปลกใจที่บรรดา "ชนชั้นกลาง" ทั้งหลายจะหงุดหงิดมากเมื่อเห็นรัฐบาลเอางบประมาณแผ่นดิน ( ซึ่งก็มาจากเงินภาษีของชนชั้นกลางเสียเยอะ เพราะชนชั้นกลางไม่มีศักยภาพจะหลบเลี่ยงหรือลดการจ่ายภาษีได้เท่าคนร่ำรวย ) ไปอุดหนุนเกษตรกรไม่ว่าจะด้วยชื่อโครงการใดๆ ก็ตาม ทั้งจำนำ ประกัน หรือแม้แต่บัตรคนจน เพราะถมเท่าไรก็ถมไม่เต็ม ถ้าพูดแรงๆ ก็เหมือนคุณต้องทำงานหนักเลี้ยงญาติพี่น้องที่ป่วยไข้หรือพิการนั่นแหละ มันก็ต้องมี Moment หงุดหงิดหรือเครียดกันบ้างไม่มากก็น้อย

( อันนี้ึคงไม่ต้องหาภาพประกอบนะ ทุกท่านคงเห็นได้ทั่วไปตาม Comment บนสื่อออนไลน์เวลาพูดถึงข่าวนโยบายรัฐบาลเกี่ยวกับเกษตรกรข้างต้น )

แน่นอนถ้าคิดในมุมเศรษฐศาสตร์เพียวๆ การอุ้มเกษตรกรแบบนี้เป็นอะไรที่ไม่คุ้มค่าเอามากๆ ( บอกแล้วว่าลงทุนไปก็ขาดทุน GDP ต่ำเสียขนาดนั้น ) แต่มนุษย์เราดันเกิดมาแล้วมีความคิดในมุม "มนุษยธรรม" ติดตัวมาด้วย เราดันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความเมตตากรุณา สงสารเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เราเลยมีนโยบายหลายๆ อย่าง ที่พยายามจะ "ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แม้แต่คนที่อ่อนแอที่สุด" ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็ "หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า" นี่แหละครับ แม้เราจะรู้ว่ามันฝืนต่อ Natural Selection ( ถ้าสัตว์ที่จะอยู่รอดได้ต้องปรับตัวให้แข็งแกร่งในการล่าหรือให้รอดจากการถูกล่า มนุษย์ที่จะอยู่รอดก็ต้องปรับตัวให้เก่งที่จะหาเงินได้มากๆ เพื่อมาต่ออายุหรือสร้างเสริมชีวิตตนเอง ) แต่ด้วยมนุษยธรรมเราจึงทำมัน แล้วก็มีข่าวงบไม่พอโน่นนี่นั่นจนต้องมีการจัดกิจกรรมเรี่ยไรเงินอยู่เนืองๆ แต่คนส่วนใหญ่ก็คงไม่อยากให้เลิกหรอกจริงไหม?

กลับมาที่ภาคเกษตร ต้องบอกว่า "คงไม่ง่าย" ถ้าจะเอาคนออกจากภาคเกษตร ถามว่าทำไม? ขอให้ดู 2 ภาพนี้ ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ อันเดียวกันสัดส่วนแรงงานด้านบน

ตัวแรก “อายุ” สังเกตว่าจำนวนแรงงานในระบบจะเริ่มลดลงในช่วงอายุที่มากขึ้น ตรงข้ามกับแรงงานนอกระบบที่มีจำนวนแรงงานสูงขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้น

ตัวเลข “ระดับการศึกษา” จะเห็นว่า ยิ่งเรียนสูงเท่าไรยิ่งเป็นแรงงานในระบบเท่านั้น ตรงข้ามกับแรงงานนอกระบบที่ระดับการศึกษามักจะค่อนข้างน้อย

มันเลยเป็นที่มาของนิยามภาคเกษตรไทยที่ว่า "อายุมาก-การศึกษาน้อย" นี่แหละครับ ซึ่งจะไปโทษคนรุ่นก่อนก็ไม่ได้อีก เพราะจุดเปลี่ยนที่ทำให้คนไทยเล่าเรียนในระดับอุดมศึกษากันมากขึ้น คือ "กองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา" ( กยศ. ) เพิ่งเกิดขึ้นในปี 2539 นี่เอง

ตารางอันนี้ของสภาพัฒน์ บอกว่าในปี 2537 เรามีคนที่ได้เรียนต่อระดับปริญญาตรีเพียง 24.6% จากนั้นในปี 2539 เพิ่มขึ้นเป็น 29.1% หรือเพิ่มขึ้นมา 4.5% แต่หากนับจากปี 2539 ที่มีคนเรียน ป.ตรี 29.1% ถึงปี 2541 ที่มีคนเรียน ป.ตรี เพิ่มขึ้นเป็น 36.4% หรือเพิ่มขึ้นถึง 7.3% และหลังจากนั้นก็เพิ่มมาตลอด บางปีมากกว่า 50% แต่เฉลี่ยแล้วอยู่ที่มากกว่า 40% ตลอด นับตั้งแต่มีกองทุนนี้ขึ้น

เทียบให้ดูระยะห่าง 2 ปีเท่ากัน การมี กยศ. กับไม่มี กยศ. น่าจะมีผลพอสมควร


ที่มา : http://social.nesdb.go.th/SocialStat/StatReport_Final.aspx?reportid=1393&template=2R1C&yeartype=M&subcatid=19

ส่วนตารางนี้เป็นยอดจำนวนเงินและจำนวนคนกู้ กยศ. นับตั้งแต่ปี 2539 เป็นต้นมา


ที่มา : http://social.nesdb.go.th/SocialStat/StatReport_Final.aspx?reportid=1387&template=1R2C&yeartype=M&subcatid=22

จึงไม่ต้องแปลกใจที่เราจะมี "ผู้ตกค้างจากโลกเก่า" ไม่ได้รับการศึกษาสูงๆ อยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งการเรียนระดับมหา'ลัย มันไม่ใช่แค่การเรียนวิชาใดวิชาหนึ่งตามคณะ/สาขา แล้วไปประกอบอาชีพได้เงินเดือนมากขึ้นเท่านั้น แต่มันเป็นการ "เลื่อนสถานะทางสังคม" จากระดับหนึ่งไปอีกระดับหนึ่ง อันมีผลต่อ "วิธีคิด" ด้วย ไม่เชื่อลองพิจารณาจากตัวท่านเองก็ได้ เชื่อว่าหลายท่านเคยมีประสบการณ์โตมาในสังคมระดับล่างๆ เขาก็จะมีเรื่องพูดคุยสนทนาแบบหนึ่ง แต่เมื่อขึ้นมาในระดับกลาง เรื่องสนทนาในวงชนชั้นกลางก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง หรือถ้าใครมีโอกาสได้คบหากับคนร่ำคนรวย คนชั้นสูง เขาก็มีหัวข้อสนทนากันอีกแบบหนึ่ง พวกนี้มีผลต่อวิธีคิดของคนเราทั้งสิ้น

( ขอแซะหน่อย : วิธีคิดของคนในเว็บบอร์ดอย่าง Pantip ถึงไม่ค่อยจะเหมือนคนไทยส่วนใหญ่ ตรงนี้เคยมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าพันติ๊ปเป็นภาพสะท้อนของชนชั้นกลางค่อนไปทางบน ซึ่งก็ยังมีจำนวนน้อยกว่าชนชั้นล่างและชนชั้นกลางค่อนไปทางล่าง )

ถ้าสังเกตตามข่าว เกษตรกรเก่งๆ พึ่งตัวเองได้ไม่ง้อรัฐบาลไม่ว่าเลือกตั้งหรือรัฐประหาร มักจะจบ ป.ตรี แม้จะไม่ได้จบทางเกษตรโดยตรงก็เถอะ หรือหากไม่จบ ป.ตรี ก็มักจะเป็นคนรุ่นใหม่ที่โตมากับอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง คนรุ่นใหม่นี้มีข้อได้เปรียบมากตรงที่ถ้ารู้ว่าชอบอะไรจะไปได้เร็วกว่าคนรุ่นเก่า เพราะความรู้แทบทุกเรื่องหาได้บนโลกออนไลน์ ยิ่งถ้าภาษาอังกฤษแข็งๆ ด้วยยิ่งรุ่งเรืองรุ่งโรจน์

ส่วนคนรุ่นเก่ากับไอที กับเทคโนโลยีนี่มันคือ "ยาขม" คงไม่ต้องอธิบายเยอะ แต่ขอยกตัวอย่างคำว่า "วิจัย" ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายไว้แบบนี้


ที่มา : http://www.royin.go.th/dictionary/

ดูแล้วคำว่าวิจัยนี่เข้าใจง่ายมาก แต่ในการรับรู้ของมนุษย์เรามันไม่ได้รับรู้อย่างตรงไปตรงมาเสียทีเดียว เรายังมีการ "จัดระดับชั้น" ของแต่ละคำอีก แน่นอนเมื่อเราพูดถึงคำว่าวิจัย แม้ความหมายตามพจนานุกรมมันจะพื้นๆ แต่ในความรู้สึกของคนไทย มั่นใจว่าจำนวนมากมองคำคำนี้ว่าเป็น "คำชั้นสูง" เพราะเป็นภาษาใน "แวดวงวิชาการ" ที่บุคลากรในวงการนี้ต้องจบระดับปริญญาขึ้นไป ( โดยเฉพาะต้องมี "ดร." นำหน้าชื่อ ) ดังนั้นชาวบ้านเมื่อได้ยินคำว่าวิจัย จะส่ายหัว บอกว่ายากเกินคน ป.4 ป.6 ม.3 จะเข้าใจ มันก็ไม่แปลกที่จะคิดแบบนั้น

เชื่อเถอะแม้แต่เราๆ ท่านๆ พอนึกถึงคำว่าวิจัย ต้องนึกถึงภาพนี้


ที่มา : http://drexel.edu/virtual-tour/laboratory-tour/

และชายคนนี้


ที่มา : https://gypsy.ninja/albert-einstein-president-israel/

อย่าลืมด้วยว่าคนเราเมื่ออายุมากขึ้นมักไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ความกระหายใคร่รู้สิ่งใหม่ๆ เมื่อครั้งตอนยังหนุ่มสาวลดลง ( ไม่งั้นคงไม่มีคำว่า "หมดไฟ" ขึ้นมา และคนที่หมดไฟ สมัยยังหนุ่มๆ สาวๆ ก็เคย "ไฟแรง" อยากทำนั่นทำนี่กันทั้งนั้น ) อยากพักผ่อน ไม่อยากคิดเยอะ ซึ่งในโลกเก่าเราทำแบบนั้นได้ คนสมัยก่อนอาจจะสอนกันว่าให้ตั้งใจเรียนตอนเป็นเด็ก ขยันทำงานเก็บเงินตอนเป็นผู้ใหญ่ เพื่อจะได้พักอย่างสบายๆ ในตอนแก่ชรา แต่วันนี้และวันต่อๆ ไปอาจจะไม่ได้เสียแล้ว เพราะโลกยุคใหม่มันเปลี่ยนเร็วมาก แม้เข้าวัยกลางคนและสูงอายุ จะหยุดพักผ่อนแรงแบบโลกยุคเก่าก็ไม่ได้

สรุปคือภาคเกษตรเราจะปัญหาตรงนี้ละครับ คนไม่พร้อมปรับตัวเพราะอายุมากและการศึกษาน้อย ฉะนั้นก็อย่าได้หงุดหงิดรัฐบาลเลยเวลามีนโยบายอุดหนุนราคาสินค้าเกษตร และก็คงเป็นแบบนี้ไปอีกนาน จนกว่าคนรุ่นเก่าจะตายไปตามอายุขัย ( เราคงจะปล่อยให้เขาอดตาย หรือฆ่าทิ้งก็ไม่ได้ อย่าลืมคำว่ามนุษยธรรม )

หรือถ้าท่านบอกว่ามันอดที่จะหงุดหงิดไม่ได้จริงๆ ไหนลองเสนอแนะกันหน่อย ว่าจะทำอย่างไร? ภายใต้ข้อจำกัดที่ว่ามานี้

ปล.อันนี้ไม่เกี่ยวแต่ฝากไว้เฉยๆ และ MV ก็ไม่ได้เอาคนแก่มาแสดง แต่เป็น MV ที่ผมชอบมากอันหนึ่ง เพราะมันเหมือนการรณรงค์ว่าถึงแก่แล้วก็อย่าแก่เลย

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ปล.2 อีกอาชีพก็ทหารนะ สมัยสงครามเย็นเราผลิตนายทหารเยอะมาก ตอนนี้แก่ตัวก็มานั่งเป็นนายพลลอยๆ กินเงินเดือนจนเกษียณ + บำนาญนี่แหละ กลาโหมเขาก็แก้อยู่ด้วยการปรับหลักสูตรนายร้อย จปร. ให้อิงมหา'ลัยทั่วไปมากขึ้น ( จบแล้วได้ วศ.บ. หรือ วท.บ. ) เผื่อเป็นทหารแล้วไม่ชอบจะได้ลาออกไปทำงานอื่นได้ แล้วก็ไม่ได้รับเยอะอย่างแต่ก่อนแล้ว แต่รุ่นเก่าๆ เราก็ต้องอุ้มไปจนพวกเขาตายนั่นแหละ บ้านเราไม่โหดร้ายชนิดไล่ออกกลางคัน โครงสร้างกองทัพแบบนายพลไม่เยอะ กลาโหมบอกจะเห็นผลหลังปี 2571 เป็นต้นไป

http://www.manager.co.th/daily/viewnews.aspx?NewsID=9590000075116

http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/609184

บ้านเราเลือกแก้ปัญหาแบบนี้ ไม่คัดคนออก แต่ค่อยๆ ปรับปรุงโครงสร้างในรุ่นต่อๆ ไป ในมุมหนึ่งคนก็หงุดหงิดว่าทำไมต้องเอางบประมาณไปอุ้มคนที่ความสามารถไม่ถึง ( ทั้งทหารและเกษตรกร ) แต่อีกมุมก็มีคนบอกว่าแบบนี้ดีแล้ว สังคมไม่เกิดการกระทบกระทั่งอย่างรุนแรง บางประเทศพอลดกำลังทหารลงแบบฉับพลันทันที ทหารที่ตกงานก็ไปเป็นโจรเป็นมาเฟียเพราะชีวิตไม่เคยเรียนรู้เรื่องอื่นๆ นอกจากวิชาฆ่าคน ส่วนบ้านเราถ้าทำกับเกษตรกรอาจทำให้คนกลุ่มนี้กลายไปเป็นคนเร่ร่อน เป็นขอทานแทน เพราะชีวิตไม่เคยได้เรียนรู้เรื่องอื่นๆ นอกจากการทำไร่ไถนา

ก็ไม่รู้ว่าจะเชื่อใครดี?

TonyMao_NK51 ( ใช้แทนอมยิ้มที่ถูกแบน )
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่