ประเทศไทยเริ่มใช้หนังสือเดินทาง passport ครั้งแรกเมื่อไหร่

เดิมทีเข้าใจว่าการเดินทางเข้าอออกประเทศสมัยสุโขทัย แต่สมัยอยุธยาน่าจะเริ่มมีแล้วแต่คงไม่ใช่รูปแบบที่เห็นกันทุกวันนี้
เพราะมีการกำหนดให้ชาวต่างชาติเดินทางได้ถึงแค่บางหมู่บ้านในไทย

จึงสงสัยว่า เราต้องมีหนังสือเดินทางครั้งแรกเมื่อไหร่ แล้วเมื่อก่อนมีวิธีการติดตามคนอย่างไรบ้างครับ

แล้วหนังสือเดินทางแบบปัจจุบันเริ่มใช้กันจริงจังเมื่อไหร่ครับ ประเทศไหนเป็นคนต้นคิด

สุดท้ายสงสัยว่า คนที่ถือสองสัญชาติ จะใช้หนังสือเดินทางของประเทศอะไรครับ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
เรียนคุณ  สมาชิกหมายเลข 1406175
ขออนุญาตเรียนแจ้งข้อมูลคราวๆสำหรับวิวัฒนาการของหนังสือเดินทางไทย ดังนี้ค่ะ

ในสมัยโบราณ  การเดินทางระหว่างประเทศมีความยากลำบากและต้องใช้ระยะเวลายาวนาน  ระเบียบกฏเกณฑ์การตรวจตราคนเดินทางเข้าออกนอกประเทศยังไม่มีเช่นทุกวันนี้  การเดินทางไปต่างบ้านต่างเมืองยังจำกัดขอบเขตอยู่กับดินแดนที่อยู่ใกล้ชิดกัน  บุคคลที่จะเดินทางติดต่อกับต่างประเทศยังอยู่ในขอบเขตจำกัดเฉพาะชนชั้นปกครอง  ขุนนาง  พ่อค้า  และนักสอนศาสนา  พลเมืองของประเทศต่างๆ ยังไม่มีการเดินทางไปต่างประเทศมากนัก  
   ประวัติการใช้หนังสือเดินทางในสมัยก่อนมีหลักฐานปรากฏในลักษณะต่างๆ อาทิ ในรูปของตราหรือสัญลักษณ์  และต่อมาได้พัฒนามาเป็นเอกสารและเล่มหนังสือตามลำดับ โดยผู้ปกครองออกให้เพื่อคุ้มครองคนในปกครองที่เดินทางไปต่างแดน  แต่ก็ยังไม่ใช่สิ่งบังคับใช้ในการเดินทาง   เมื่อโลกมีความก้าวหน้าในด้านการคมนาคม  การติดต่อสื่อสาร  การท่องเที่ยว  และพัฒนาการของเหตุการณ์ความร่วมมือและความขัดแย้งระหว่างประเทศได้มีส่วนทำให้ประเทศต่างๆ สร้างระเบียบกฏเกณฑ์ควบคุมการเดินทางเข้าออกประเทศของพลเมืองและคนต่างชาติเริ่มมีความเข้มงวดมากขึ้น   หนังสือเดินทางจึงเป็นเอกสารของรัฐและเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเดินทางไปต่างประเทศ  และเริ่มมีการใช้อย่างแพร่หลายภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1  
      ***ทั้งนี้ได้มีกำหนดกฏเกณฑ์เกี่ยวกับการออกหนังสือเดินทาง อย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก ในวันที่ 17 กันยายน 2460 โดยรัฐบาลไทยในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6    ซึ่งได้มีการออก “ ประกาศว่าด้วยผู้เดินทางไปนอกพระราชอาณาเขต ให้มีหนังสือเดินทาง ”   ตีพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษา ในวันที่ 23 กันยายน 2460 เพื่อให้คนไทยทุกคนที่จะเดินทางออกไปประเทศที่อยู่ห่างไกล  จำเป็นต้องขอหนังสือเดินทางกับกระทรวงการต่างประเทศ   และหากเดินทางไปยังประเทศใกล้เคียงติดต่อกับพระราชอาณาเขต   ก็ขอให้ขอหนังสือเดินทางจากผู้ว่าราชการจังหวัด  หรือสมุหเทศาภิบาลในมณฑลของตน
     ผลมาจากอิทธิพลของการเปลี่ยนแปลงในระดับระหว่างประเทศ และผลการประชุมขององค์การสันนิบาติชาติเกี่ยวกับหนังสือเดินทาง  ณ  กรุงปารีส  ประเทศฝรั่งเศส
     ในปี พ.ศ.2463  ซึ่งเรียกร้องให้ทุกประเทศกำหนดรูปแบบหนังสือเดินทางในลักษณะเดียวกัน   โดยรัฐบาลไทยได้ส่งคณะผู้แทนเดินทางเข้าร่วมประชุมและลงนามรับรองข้อมติของที่ประชุมดังกล่าวด้วย    และการประกาศใช้พระราชบัญญัติคนเข้าเมืองฉบับแรกของไทยในวันที่  1 กรกฎาคม พ.ศ.2470  น่าจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการกำหนดกฏเกณฑ์และการปรับเปลี่ยนลักษณะและรูปแบบของหนังสือเดินทางที่มีลักษณะเป็นรูปเล่ม  ซึ่งน่าจะเริ่มใช้อย่างเป็นทางการในปลายรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 6 หรือประมาณภายหลังปี พ.ศ. 2460  เป็นต้นมา
    หลังจากนั้น หนังสือเดินทางไทยได้รับการพัฒนาตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในการผลิต และประโยชน์ในการใช้สอยตามการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อมของสังคม โดยกองหนังสือเดินทางพยายามพัฒนาระบบการผลิตเล่มหนังสือเดินทางอย่างต่อเนื่อง  เพื่อทำให้บริการหนังสือเดินทางดำเนินไปด้วยความสะดวก  รวดเร็ว  และป้องกันการปลอมแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพมาโดยลำดับตามยุคสมัย
       ในปี  2536  กองหนังสือเดินทางได้นำระบบหนังสือเดินทางแบบใหม่มาใช้ เรียกว่า  ระบบ Digital Passport System  (DPS ) ซึ่งเป็นวิธีการพิมพ์รูปผู้ถือหนังสือเดินทางลงในหนังสือเดินทางด้วยระบบดิจิตอลแทนการติดรูปตามระบบเดิม  และอ่านได้ด้วยเครื่อง ( Machine Readable Passport )  และต่อมาได้ปรับเปลี่ยนการผลิตเล่มหนังสือเดินทางที่สามารถจัดเก็บข้อมูลในเล่มหนังสือเดินทาง   ไว้ด้วยระบบข้อมูลหน้าเดียว  เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO)  ตั้งแต่ พ.ศ.2538  เป็นต้นมา
     ในปี 2543 กองหนังสือเดินทางได้พัฒนาหนังสือเดินทางไทยโดยการนำเทคโนโลยีการถ่ายรูป  การบันทึกข้อมูล และการพิมพ์ข้อมูลลงในเล่มโดยตรง  รวมทั้งการสร้างระบบหนังสือเดินทางซึ่งสามารถเชื่อมโยงข้อมูลทะเบียนราษฎรด้วยระบบคอมพิวเตอร์จากฐานข้อมูลของกระทรวงมหาดไทย   เพื่อให้สามารถตรวจสอบสถานะของผู้ขอหนังสือเดินทางโดยอาศัยหมายเลขประจำตัวประชาชน  ซึ่งทำให้สามารถให้บริการรับคำร้องจากประชาชนผู้ขอใช้ให้บริการหนังสือเดินทางได้ในเวลาอันรวดเร็ว  และทำการผลิตหนังสือเดินทางได้ภายในเวลา 3 วันทำการ
    ในปี 2545 กองหนังสือเดินทางได้พัฒนารูปแบบของหนังสือเดินทางแบบใหม่  ที่มีคุณลักษณะป้องกันการปลอมแปลง ( Security Features ) เพิ่มมากขึ้น  และใช้เทคโนโลยีระดับสูงหลายอย่างเช่นเดียวกับการพิมพ์ธนบัตร  เพื่อยกระดับมาตรฐานหนังสือเดินทางไทยให้ทัดเทียมกับประเทศชั้นนำของโลก  คุณสมบัติพิเศษที่ใส่ไว้ในหนังสือเดินทาง  บางอย่างไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า  ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะในการตรวจสอบ และบางอย่างก็แฝงไว้อย่างแนบเนียน  ทำให้ยากในการปลอมแปลง  นอกจากนั้นคุณลักษณะบางประการผลิตขึ้นด้วยกรรมวิธีและสารเคมีที่ไม่อาจหาได้ในท้องตลาดทั่วๆ ไป  ทำให้มั่นใจได้ว่า  หนังสือเดินทางไทยจะมีความปลอดภัย  และปลอดจากการปลอมแปลง
    ทั้งนี้ ทิศทางในอนาคตหนังสือเดินทางไทยยังคงได้รับการพัฒนาและปรับปรุงให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง  เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนโดยคำนึงถึงความมั่นคงของประเทศ  

***และสำหรับผู้ที่เป็นบุคคล 2 สัญชาติ ซึ่งจะมีทั้งหนังสือเดินทางไทยกับหนังสือเดินทางต่างชาตินั้นปกติสามารถเลือกที่จะใช้หนังสือเดินทางเล่มใดเล่มหนึ่งเข้าไปยังประเทศนั้นๆได้ ซึ่งกรณีที่ใช้หนังสือเดินทางไทยเดินทางเข้ามาในประเทศไทยจะต้องใช้หนังสือเดินทางไทยเดินทางออกนอกประเทศเนื่องจากในหนังสือเดินทางจะต้องมีตราประทับขาเข้าและขาออกจึงจะครบรอบการเดินทาง 1รอบ ส่วนกรณีที่ใช้หนังสือเดินทางต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทยก็ต้องใช้หนังสือเดินทางต่างชาติเดินทางออกนอกประเทศ เช่นเดียวกับการถือหนังสือเดินทางไทยเข้ามาค่ะ ***

Supansa
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่