เล่าเรื่องกรรม จากคนหลายรุ่น........
ใครที่กำลังเสียใจ ทำไมทำดีแค่ไหน ก็ไม่เห็นจะได้ดี
ไอ้คนที่คอยทำร้ายเรา ทำม้าย ทำไม ถึงได้ดิบได้ดีขึ้นทุกวัน
มาลองฟังเรื่องเล่าหลายเรื่อง หลายตอน ต่อไปนี้ จะได้รู้ว่า
ไม่ควรเสียเวลา ให้กับความเสียใจเลยแม้แต่น้อย
ตอน.......สวรรค์มีตา จริงหรือ
-เมื่อตอนเป็นเด็ก เคยได้ฟังเรื่องเล่าจากคนหลายรุ่นจากแม่ มากมายหลายเรื่อง แต่เรื่องหนึ่งซึ่งถ้าได้เล่าให้ใครฟังทุกครั้ง ก็ต้องน้ำตาซึมทุกครั้ง คือเรื่อง “สวรรค์มีตา จริงหรือ”ถึงจะจำเนื้อเรื่องไม่เต็ม 100 เปอร์เซ็นต์
ฟังแล้วก็ให้คิดว่า ถึงจะเป็นเรื่องเล่าต่อๆกันมาจากรุ่นสู่อีกหลายรุ่น แต่คงต้องมีเค้าโครงความจริงอยู่บ้าง
-เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ประเทศที่กว้างใหญ่ไพศาล และมากมายด้วยเรื่องเล่าบุญกรรมที่ทำกันมา
-ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีชายหนุ่มนิสัยดี คนหนึ่ง เมื่อถึงวัยที่จะต้องแต่งงานก็ได้เข้าพิธี กับหญิงสาวที่รู้จักกันมาแต่เล็กแต่น้อย ในหมู่บ้านเดียวกัน อยู่กันมาอย่างมีความสุข ถึงจะลำบาก ยากจน แต่ก็ไม่เคยทุกข์ใจอะไร แต่ไม่ว่าจะทำงานหนักแค่ไหน ทั้งสองก็ไม่ได้มีฐานะดีขึ้นเลย
-สองสามีภรรยา เป็นคนที่ยึดมั่นในความดี แม้จะยากจน ไม่ค่อยมีเงินจะทำบุญ ก็จะเอาแรงกายเข้าช่วยเสมอ หากใครมีเรื่องขอแรงช่วยเหลืออะไร ก็ไม่เคยขัด เป็นที่รักใคร่ของคนในหมู่บ้าน สามียึดอาชีพทำนา ส่วนภรรยาเป็นแม่บ้าน และหางานรับจ้างทำที่บ้าน เท่าที่จะหาทำได้ทุกอย่าง
-แม้ตัวลำบาก ก็ไม่เคยคิดว่าลำบาก..............
-ในเย็นวันหนึ่งระหว่างทางกลับจากการทำนา ฝนเริ่มตก และหนักขึ้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มจึงได้เข้าไปหลบฝนในวัดข้างทาง
-วัดร้างแห่งนี้ มีพระพุทธรูปองค์ประทาน อยู่ในวัด 1 องค์ แต่อนิจจา หลังคารั่ว หลายจุด โดยเฉพาะหลังคา จุดที่ตรงกับเศียรพระพุทธรูป ก็รั่วหนัก ชายหนุ่มคิดพลางรอฝนหยุด “ถ้าข้ามีปัจจัย ก็อยากบูรณะวัดให้หลวงพ่อ แต่เนื่องด้วยตัวข้า ก็ยากจน แม้หมวกที่ใส่ทำนานี้ ก็ขาดวิ่น แต่ขอหลวงพ่อ อย่าได้รังเกียจ ขอถวายหมวกนี้ แด่หลวงพ่อ ไว้กันฝนต่อไปด้วยเถิด”
-ด้วยชายผู้นี้คิดแต่เพียง เกรงว่าพระพุทธรูปจะสึกกร่อนลงได้ง่ายขึ้นอีก หากไม่มีอะไรมาบังพระเศียร ไว้บ้าง เพราะไม่เพียงแต่น้ำฝน ทั้งลม ทั้งแดด คงสาดส่องลงมาตามรอยรั่วเป็นแน่
-กลับถึงบ้าน เมื่อภรรยาไม่เห็นหมวกฟาง ของสามี จึงได้สอบถามจนได้ความ แล้วภรรยาก็ได้แต่ร้องไห้ พร้อมกล่าวขึ้นว่า “ทำไมถึงทำเช่นนี้ พระพุทธรูปท่านไม่รู้สึกอะไรหรอก แต่พี่ต้องไปทำนาทุกวัน ต่อแต่นี้พี่ต้องตากแดดทุกวันแล้ว สมบัติในบ้านเราก็น้อยชิ้นจนนับชิ้นได้ หมวกฟางนี้เป็นชิ้นที่สำคัญที่สุด แต่พี่ก็ยังถวายหมวกไป”
-ชายหนุ่มได้แต่ยิ้ม “พี่ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้พี่ทนได้ ไว้เราค่อยๆ เก็บเงินซื้อหมวกใบใหม่ก็ได้ พี่จะได้มีหมวกใหม่ไว้ใส่บ้างยังไง”
-ฝ่ายภรรยาได้แต่มองหน้าสามี ได้แต่คิดว่า นางโชคดีที่ได้สามีที่เปี่ยมด้วยความดี แต่นางก็ยังอดร้องไห้ต่อไม่ได้ เพราะนางรู้ว่า หมวกฟางแม้จะถูก แต่ก็คงอีกนาน กว่าครอบครัวเรา จะเก็บเงินหาซื้อได้ เพราะขนาดอาชีพทำนานี้ เราก็เพียงแค่รับจ้างเขาทำนาเท่านั้น มิได้มีอาชีพทำนา อย่างที่คนเรียกกัน
-เมื่อเรื่องร้ายมาเยือน.......
-เหมือนฟ้าจะแกล้ง ถึงแม้สามีภรรยาคู่นี้จะยากจน แต่ก็เปี่ยมด้วยความดี โดยเฉพาะสามี จะยึดมั่นในคุณธรรมเป็นที่สุด ภรรยาไม่เคยเห็นสามีทำบาปเลยซักครั้ง ตั้งแต่คบหาเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เล็ก จนได้แต่งงานกัน สามีต้องทำงานหนักตั้งแต่เช้าจนเย็นทุกวัน ทำงานไม่เคยมีวันหยุด หากว่าฐานะครอบครัว ก็มิได้ดีขึ้นเลย แต่วันนี้ ....... แต่วันนี้จู่ๆ สามีก็ล้มป่วยลง อย่างกะทันหัน นี่มันโรคเวร โรคกรรมอะไรเล่า ทำไม สามีของนางจึงได้กลายเป็นชายพิการ ง่อยเปลี้ยขึ้นมาได้ ทั้งที่ไม่เห็นมีอาการอะไรส่อมาแม้แต่น้อย
-นางพยายามหาหมอ ขอร้องหมอ มารักษา วิ่งเต้น ขอยืมเงินชาวบ้าน มาจ่ายค่ารักษา ทั้งที่ชาวบ้านก็รู้ว่า จะไม่ได้เงินคืน บางคนก็ยังให้ยืม ด้วยเห็นว่าสามีคู่นี้ ทำดีกับคนในหมู่บ้านมาโดยตลอด แต่บางคนก็ไม่ให้ ซึ่งเรื่องนี้นางก็เข้าใจ
-แต่หมอก็หมดหนทางรักษา
-ทางสามี ก็พยายามบอกนางว่า “ ไม่เป็นไร อย่าไปขอยืมเงินคนอื่นเลย พวกเขาจะเดือดร้อน เพราะเราไม่มีปัญญาใช้ให้เขาหรอก พี่จะพยายามหัดเดิน หัดขยับแขนขา สักวันคงเดิน หรือหยิบจับ หรือพูดได้เหมือนเดิม แต่วันแล้ววันเล่า สามีก็ได้แต่เคลื่อนไหวตัว ด้วยการค่อยๆถากตัวไปด้วยความลำบาก หยิบจับอะไรก็หล่น พูดจาก็ลำบาก เขาได้แต่กล่าวคำขอโทษภรรยา อันเป็นที่รัก ว่าต้องทำให้นางต้องลำบาก จะมีก็บางครั้งที่ร่ำลาว่า ถ้าเขาตายไป นางอย่าฆ่าตัวตายเป็นอันขาด ชีวิตนี้พ่อแม่ให้มา เราต้องรักษาไว้ให้ดี หากนางรักเขาจริง จงรีบแต่งงานใหม่ และเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างมีความสุขเสียที
-นางรับปากเรื่องไม่ฆ่าตัวตาย เพราะเห็นด้วยเรื่องร่างกายชีวิตนี้เป็นของพ่อแม่ให้มา ต้องรักษาไว้ให้ดี แต่ไม่รับปากเรื่องแต่งงานใหม่
-เมื่อสามี พิการ การเดินเหิน ก็ลำบาก เรื่องการไปรับจ้างทำนา จึงเป็นไปไม่ได้ ภรรยาจึงขอออกไปรับจ้างทำนาแทน ทั้งที่ปกติ สามีจะยิ้มสู้ทุกอย่าง แต่ครั้งนี้ เขาได้แต่หลั่งน้ำตา จะพูดก็ไม่ถนัดเสียแล้ว เพราะปากก็บิดเบี้ยวไป
-นางได้แต่โทษสวรรค์ที่ไม่มีตา คนดีอย่างสามีนาง หาแทบไม่ได้อีกแล้ว แม้เป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่เคยโทษสวรรค์ ไม่เคยด่าว่าสวรรค์แม้แต่ครั้งเดียว
-แต่นาง ได้แต่เจ็บแค้นในใจ “ความดีช่างไม่ตอบแทนคนดี ต่อแต่นี้ข้าจะไม่ทำความดีอีกเลย” นางได้แต่ตะโกนขึ้นฟ้าแบบนั้น
-แล้ววันนั้นก็มาถึง........
-หลังจากนางเตรียมอาหารไว้ให้สามีเรียบร้อย นางก็ออกไปทำนาตามปกติเหมือนทุกวัน แต่วันนี้เพื่อนบ้านได้วิ่งหน้าตื่น มาหานางกลางทุ่งนา เรียกให้รีบกลับบ้าน เพราะสามีของนาง ได้เสียชีวิตแล้ว
-นางได้แต่ทำหน้าเหมือนคนสติฟั่นเฟือน ตาเหม่อลอย ได้แต่จ้องหน้าเพื่อนบ้าน พอได้สติจากการเขย่าแขนของเพื่อนบ้าน นางก็ทรุดตัวลงอย่างเข่าอ่อน นางได้แต่พูดว่า “สวรรค์ไม่มีตา สวรรค์ไม่มีตาจริงๆ”
-ถึงแม้สามีจะพิการ ง่อยเปลี้ยอย่างไร นางก็ยังรัก เขาก็พยายามช่วยงานทุกอย่างเท่าที่คนพิการจะทำได้ ไม่เคยปริปากบ่น ให้นางกังวลใจแม้แต่น้อย
-อย่างไรเสีย หลังจากทำงานหนักกลางทุ่งมาทุกวัน เมื่อกลับถึงบ้าน ยังได้เห็นสามีอันเป็นที่รักของนาง รอนางกลับมา แต่วันนี้ ไม่มีเขาอีกแล้ว.......
-หลายคนในหมู่บ้านไม่อยากจะเชื่อว่า สาเหตุการตาย ของสามีนาง เพราะ... ถูกฟ้าผ่าตาย
-ก็ไหนเขาว่ากันว่า คนชั่วเท่านั้นจึงถูกธรณีสูบ หรือฟ้าผ่าตาย หรือฟ้าผ่าตาย เพราะชาติก่อนเคยพูดจาเสียดสีผู้ออกบวช สามีของนางทำดีมาตลอดชีวิต ดีอย่างที่คนในหมู่บ้านก็พูดกันว่า “อาจจะหาคนแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว แต่ทำไม สามีของนางจึงมีจุดจบในสภาพเช่นนี้”
-อย่างนี้ จะเรียกว่า “สวรรค์มีตา” ได้ต่อไปอย่างไรเล่า หรือจะเป็นกรรมเก่า ที่ไม่มีผู้รู้เห็น
-นางไม่มีแม้แต่บุตร ธิดา ไว้ดูต่างหน้าสามีที่จากไป แต่ต้องอยู่อย่างเดียวดาย ไปชั่วชีวิต
-ในพิธีศพของสามี นางคงต้องจัดอย่างอนาถาเป็นที่สุด แต่ด้วยความดีที่เขาเคยทำมา ชาวบ้านมาช่วยงานกันทุกบ้าน แต่ก่อนจะนำศพลงโลง นางได้เขียนที่ฝ่ามือของสามีว่า “สวรรค์ไม่มีตา” นางเขียนด้วยความเจ็บแค้น เป็นที่สุด เพียงหวังจะต่อว่าสวรรค์เป็นครั้งสุดท้าย ในโลกหลังความตายของสามี
-หลายปีแห่งความขมขื่น.......
-ในหลายปีนี้ นางครองตัวเป็นโสดทั้งที่ก็มีชายหนุ่มหลายคนมาสนใจ แม้นางเป็นแม่หม้ายผัวตาย ก็ไม่มีใครรังเกียจ ด้วยนางเป็นคนดี ขยันขันแข็ง แต่นางก็ใจแข็ง เพราะรักมั่น แต่กับสามีเพียงผู้เดียว
-และคิดไปว่า ถึงแม้นางจะแต่งงานใหม่ ก็คงไม่มีใครดีเหมือนสามีของนาง ซักวันเมื่อมีเรื่องเคืองขุ่นใจกัน ก็คงต่อว่าเรื่องนางเคยมีสามีมาก่อนเป็นแน่ อีกประการคือ สวรรค์ไม่มีตา แม้นางจะดีแค่ไหน ชีวิตก็คงไม่มีทางดีกว่านี้ไปได้ คงลำบากอย่างนี้ไปจนวันตาย
-แล้วกาลเวลา ก็ไม่เคยคอยใคร ทุกคนที่เคยขอนางแต่งงาน ก็จากไปทีละคน จนกระทั่งวันหนึ่งที่นางคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก นางก็อายุมากขึ้น จนไม่เหลือใครอีกแล้ว เพราะพ่อแม่ของนาง และสามี ก็ได้จากไปก่อนนาง และสามีจะได้แต่งงานกันด้วยซ้ำ
-เข้าวัง.......
-วันหนึ่ง ท่านนายอำเภอ ให้ลูกน้อง ปิดประกาศ และป่าวประกาศไปทั่ว หาแม่นมเข้าวัง
-ประชาราษฎร์ต่างสงสัยว่า ทำไมต้องมีการป่าวประกาศหาแม่นม เพราะ ตามปกติ เรื่องนี้จัดเป็นการภายใน และแม่นม ต้องเป็นผู้ที่อยู่ในราชสกุล ชนชั้นสูง มีความเหมาะสมทุกประการที่สมควรคู่เป็นแม่นมของพระโอรสเท่านั้น ทำไมครั้งนี้ สามัญชน หญิงชาวบ้านร้านตลาด ก็เข้าวังไปเป็นแม่นมได้
-หลายคน ก็สมัครเขียนชื่อเข้าไป เพราะได้ชื่อว่าเป็นแม่นมพระโอรสแล้ว ยิ่งเป็นพระโอรสองค์แรก (องค์ชายใหญ่) ตำแหน่งฮ่องเต้ จะไปไหนเสีย ต่อไปต้องสบายไปทั้งตระกูล และหลายชั่วอายุคนทีเดียว
-แต่หลายคน ก็ยังครั่นคร้าม การสมัครครั้งนี้ เพราะเหตุว่า พระโอรส ทรงกันแสง ไม่หยุด ตั้งแต่ออกจากพระครรภ์ฮองเฮา หากใครสัมผัส พระวรกาย แล้ว ทำให้หยุดกันแสงไม่ได้ ต้องโทษถึงประหารชีวิต เนื่องด้วยพระวรกายพระโอรส เป็นของสูง มิใช่คนทั่วไปจะสัมผัสกันได้ทั้งหมด แต่หากเป็นแม่นม ย่อมเป็นข้อยกเว้น แม้เป็นแม่นมจากสามัญชน
-เมื่อนางได้ฟังดังนั้นแล้ว นางจึงไม่ต้องหยุดคิด อีกต่อไป รีบไปเข้าแถว ลงชื่อ ขอสมัครเป็นแม่นมพระโอรส เพราะอยู่มาอย่างทุกข์ใจ หลายสิบปี นางก็ไม่ตายเสียที สามีอันเป็นที่รักก็จากไปนานแล้ว คราวนี้ จะได้ตายสมใจ ไม่ต้องฆ่าตัวตาย ให้ผิดคำพูด
-แต่คนดี ก็ยังคงเป็นคนดี ถึงปากนางจะกล่าวเสมอว่า จะไม่ทำดีอีกต่อไป แต่คนดี ก็เหมือนเป็นนิสัยติดตัวไปเสียแล้ว จะมาเปลี่ยนแปลงกันง่ายๆ ย่อมเป็นไปไม่ได้ จิตใต้สำนึกลึกๆ ก็ยังคิดว่า อาจมีนรก สวรรค์จริง แล้วตอนนั้นคงได้ถามกันเสียทีว่า ทำไมทำกับสามีนาง ถึงเช่นนี้ และแม้คิดจะทำชั่วครั้งใด นางก็มักจะคิดถึงใบหน้าของสามีที่แสนรักของนางเสมอ ทำให้ คำว่า “ความชั่ว” มิเคยย่างกรายเข้ามาในชีวิตนางได้
-เมื่อเข้าไปถึงในพระราชวัง สำหรับนาง ทุกอย่างดูใหญ่โตโอ่อ่า วิจิตร เกินคำว่างาม นี่คงเป็นสวรรค์ นางยังคิดว่าก่อนตาย นางยังได้เห็นสิ่งสวยงามถึงเพียงนี้นับว่าคุ้มค่า ที่ไม่ฆ่าตัวตายไปเสียก่อน และอีกไม่นาน นางก็คงได้สมใจ ตายตามสามีนางไปเสียที เพราะนางไม่เคยแม้แต่จะมีลูก นางจะรู้ได้อย่างไรว่า จะทำให้พระโอรส หยุดกันแสงได้ด้วยวิธีใด และตอนนี้ นางจะมีน้ำนมให้พระโอรส ได้อย่างไร นางคงได้พบสามีในไม่ช้า คิดถึงตอนนี้ นางก็ได้แต่ยิ้ม อย่างมีความสุข
-ผิดจากคนที่มาด้วยกัน หลายคน ต่างมีอารมณ์แสดงออกมาแตกต่างกันไป บ้างก็ซุ่มซ้อมเตรียมการ ว่าจะต้องทำอย่างไร ให้พระโอรสหยุดกันแสงให้ได้ บ้างก็เพิ่งมานึกได้ว่า ไม่น่าสมัครเข้ามาเลย คงต้องตายเป็นแน่แท้
-เชิญว่าที่แม่นมคนต่อไป.......
-นางได้ยินขันทีขานชื่อนาง เพื่อทดลองอุ้มพระโอรส
-นางเห็นคนก่อนหน้าทั้งหลาย ได้ถูกหามออกไป อย่างไร้จิตวิญญาณ เพื่อนำไปลานประหาร
-นางเดินตรงเข้าไปหา พระโอรส มองตรงเข้าไปที่พระองค์ พระโอรส ยังทรงกันแสง ไม่หยุด นางได้แต่น้ำตาริน อีกไม่ช้าเราจะได้พบกันแล้ว สามีของข้า
-แล้วจึงยื่นมือ เข้าไปโอบอุ้มพระโอรสไว้ ในอ้อมแขนที่ผ่ายผอมจนแทบจะมีแต่กระดูก ทันใด ห้องอันกว้างสุดตา ที่ซึ่งจัดเป็นสถานที่พิเศษเพื่อทดลองอุ้มพระโอรส ก็เงียบลง เงียบจน นางได้ยิน เสียงหายใจของตัวเอง
-พระโอรสหยุดกันแสง แล้วจึงลืมพระเนตรขึ้น แต่ในพระหัตถ์ทั้งสอง ยังคงกำแน่น เหมือนมีอะไรในอุ้งพระหัตถ์
-นางจึงค่อยๆ ลูบนิ้วพระหัตถ์น้อยๆ ของพระโอรสออกอย่างเบามือที่สุด เท่าที่สามัญชน อย่างนางจะทำได้
-นิ้วพระหัตถ์ได้ถูกลูบออกอย่างง่ายดาย บนฝ่าพระหัตถ์มีตัวอักษร ปรากฏอย่างเด่นชัด
“สวรรค์มีตาเสมอ”
-นางทรุดตัวลงนั่งกับพื้น น้ำตาไหลพรั่งพรูไม่หยุด มือโอบอุ้มพระโอรสน้อย อย่างแนบแน่น “เราได้พบกันแล้ว ๆ” ปากก็ได้แต่พึมพำ “สวรรค์มีตา สวรรค์มีตาเสมอ”
ยังมีต่อ
ใครเชื่อเรื่องกรรมบ้าง เรามาคุยกัน
ใครที่กำลังเสียใจ ทำไมทำดีแค่ไหน ก็ไม่เห็นจะได้ดี
ไอ้คนที่คอยทำร้ายเรา ทำม้าย ทำไม ถึงได้ดิบได้ดีขึ้นทุกวัน
มาลองฟังเรื่องเล่าหลายเรื่อง หลายตอน ต่อไปนี้ จะได้รู้ว่า
ไม่ควรเสียเวลา ให้กับความเสียใจเลยแม้แต่น้อย
ตอน.......สวรรค์มีตา จริงหรือ
-เมื่อตอนเป็นเด็ก เคยได้ฟังเรื่องเล่าจากคนหลายรุ่นจากแม่ มากมายหลายเรื่อง แต่เรื่องหนึ่งซึ่งถ้าได้เล่าให้ใครฟังทุกครั้ง ก็ต้องน้ำตาซึมทุกครั้ง คือเรื่อง “สวรรค์มีตา จริงหรือ”ถึงจะจำเนื้อเรื่องไม่เต็ม 100 เปอร์เซ็นต์
ฟังแล้วก็ให้คิดว่า ถึงจะเป็นเรื่องเล่าต่อๆกันมาจากรุ่นสู่อีกหลายรุ่น แต่คงต้องมีเค้าโครงความจริงอยู่บ้าง
-เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ประเทศที่กว้างใหญ่ไพศาล และมากมายด้วยเรื่องเล่าบุญกรรมที่ทำกันมา
-ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีชายหนุ่มนิสัยดี คนหนึ่ง เมื่อถึงวัยที่จะต้องแต่งงานก็ได้เข้าพิธี กับหญิงสาวที่รู้จักกันมาแต่เล็กแต่น้อย ในหมู่บ้านเดียวกัน อยู่กันมาอย่างมีความสุข ถึงจะลำบาก ยากจน แต่ก็ไม่เคยทุกข์ใจอะไร แต่ไม่ว่าจะทำงานหนักแค่ไหน ทั้งสองก็ไม่ได้มีฐานะดีขึ้นเลย
-สองสามีภรรยา เป็นคนที่ยึดมั่นในความดี แม้จะยากจน ไม่ค่อยมีเงินจะทำบุญ ก็จะเอาแรงกายเข้าช่วยเสมอ หากใครมีเรื่องขอแรงช่วยเหลืออะไร ก็ไม่เคยขัด เป็นที่รักใคร่ของคนในหมู่บ้าน สามียึดอาชีพทำนา ส่วนภรรยาเป็นแม่บ้าน และหางานรับจ้างทำที่บ้าน เท่าที่จะหาทำได้ทุกอย่าง
-แม้ตัวลำบาก ก็ไม่เคยคิดว่าลำบาก..............
-ในเย็นวันหนึ่งระหว่างทางกลับจากการทำนา ฝนเริ่มตก และหนักขึ้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มจึงได้เข้าไปหลบฝนในวัดข้างทาง
-วัดร้างแห่งนี้ มีพระพุทธรูปองค์ประทาน อยู่ในวัด 1 องค์ แต่อนิจจา หลังคารั่ว หลายจุด โดยเฉพาะหลังคา จุดที่ตรงกับเศียรพระพุทธรูป ก็รั่วหนัก ชายหนุ่มคิดพลางรอฝนหยุด “ถ้าข้ามีปัจจัย ก็อยากบูรณะวัดให้หลวงพ่อ แต่เนื่องด้วยตัวข้า ก็ยากจน แม้หมวกที่ใส่ทำนานี้ ก็ขาดวิ่น แต่ขอหลวงพ่อ อย่าได้รังเกียจ ขอถวายหมวกนี้ แด่หลวงพ่อ ไว้กันฝนต่อไปด้วยเถิด”
-ด้วยชายผู้นี้คิดแต่เพียง เกรงว่าพระพุทธรูปจะสึกกร่อนลงได้ง่ายขึ้นอีก หากไม่มีอะไรมาบังพระเศียร ไว้บ้าง เพราะไม่เพียงแต่น้ำฝน ทั้งลม ทั้งแดด คงสาดส่องลงมาตามรอยรั่วเป็นแน่
-กลับถึงบ้าน เมื่อภรรยาไม่เห็นหมวกฟาง ของสามี จึงได้สอบถามจนได้ความ แล้วภรรยาก็ได้แต่ร้องไห้ พร้อมกล่าวขึ้นว่า “ทำไมถึงทำเช่นนี้ พระพุทธรูปท่านไม่รู้สึกอะไรหรอก แต่พี่ต้องไปทำนาทุกวัน ต่อแต่นี้พี่ต้องตากแดดทุกวันแล้ว สมบัติในบ้านเราก็น้อยชิ้นจนนับชิ้นได้ หมวกฟางนี้เป็นชิ้นที่สำคัญที่สุด แต่พี่ก็ยังถวายหมวกไป”
-ชายหนุ่มได้แต่ยิ้ม “พี่ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้พี่ทนได้ ไว้เราค่อยๆ เก็บเงินซื้อหมวกใบใหม่ก็ได้ พี่จะได้มีหมวกใหม่ไว้ใส่บ้างยังไง”
-ฝ่ายภรรยาได้แต่มองหน้าสามี ได้แต่คิดว่า นางโชคดีที่ได้สามีที่เปี่ยมด้วยความดี แต่นางก็ยังอดร้องไห้ต่อไม่ได้ เพราะนางรู้ว่า หมวกฟางแม้จะถูก แต่ก็คงอีกนาน กว่าครอบครัวเรา จะเก็บเงินหาซื้อได้ เพราะขนาดอาชีพทำนานี้ เราก็เพียงแค่รับจ้างเขาทำนาเท่านั้น มิได้มีอาชีพทำนา อย่างที่คนเรียกกัน
-เมื่อเรื่องร้ายมาเยือน.......
-เหมือนฟ้าจะแกล้ง ถึงแม้สามีภรรยาคู่นี้จะยากจน แต่ก็เปี่ยมด้วยความดี โดยเฉพาะสามี จะยึดมั่นในคุณธรรมเป็นที่สุด ภรรยาไม่เคยเห็นสามีทำบาปเลยซักครั้ง ตั้งแต่คบหาเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เล็ก จนได้แต่งงานกัน สามีต้องทำงานหนักตั้งแต่เช้าจนเย็นทุกวัน ทำงานไม่เคยมีวันหยุด หากว่าฐานะครอบครัว ก็มิได้ดีขึ้นเลย แต่วันนี้ ....... แต่วันนี้จู่ๆ สามีก็ล้มป่วยลง อย่างกะทันหัน นี่มันโรคเวร โรคกรรมอะไรเล่า ทำไม สามีของนางจึงได้กลายเป็นชายพิการ ง่อยเปลี้ยขึ้นมาได้ ทั้งที่ไม่เห็นมีอาการอะไรส่อมาแม้แต่น้อย
-นางพยายามหาหมอ ขอร้องหมอ มารักษา วิ่งเต้น ขอยืมเงินชาวบ้าน มาจ่ายค่ารักษา ทั้งที่ชาวบ้านก็รู้ว่า จะไม่ได้เงินคืน บางคนก็ยังให้ยืม ด้วยเห็นว่าสามีคู่นี้ ทำดีกับคนในหมู่บ้านมาโดยตลอด แต่บางคนก็ไม่ให้ ซึ่งเรื่องนี้นางก็เข้าใจ
-แต่หมอก็หมดหนทางรักษา
-ทางสามี ก็พยายามบอกนางว่า “ ไม่เป็นไร อย่าไปขอยืมเงินคนอื่นเลย พวกเขาจะเดือดร้อน เพราะเราไม่มีปัญญาใช้ให้เขาหรอก พี่จะพยายามหัดเดิน หัดขยับแขนขา สักวันคงเดิน หรือหยิบจับ หรือพูดได้เหมือนเดิม แต่วันแล้ววันเล่า สามีก็ได้แต่เคลื่อนไหวตัว ด้วยการค่อยๆถากตัวไปด้วยความลำบาก หยิบจับอะไรก็หล่น พูดจาก็ลำบาก เขาได้แต่กล่าวคำขอโทษภรรยา อันเป็นที่รัก ว่าต้องทำให้นางต้องลำบาก จะมีก็บางครั้งที่ร่ำลาว่า ถ้าเขาตายไป นางอย่าฆ่าตัวตายเป็นอันขาด ชีวิตนี้พ่อแม่ให้มา เราต้องรักษาไว้ให้ดี หากนางรักเขาจริง จงรีบแต่งงานใหม่ และเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างมีความสุขเสียที
-นางรับปากเรื่องไม่ฆ่าตัวตาย เพราะเห็นด้วยเรื่องร่างกายชีวิตนี้เป็นของพ่อแม่ให้มา ต้องรักษาไว้ให้ดี แต่ไม่รับปากเรื่องแต่งงานใหม่
-เมื่อสามี พิการ การเดินเหิน ก็ลำบาก เรื่องการไปรับจ้างทำนา จึงเป็นไปไม่ได้ ภรรยาจึงขอออกไปรับจ้างทำนาแทน ทั้งที่ปกติ สามีจะยิ้มสู้ทุกอย่าง แต่ครั้งนี้ เขาได้แต่หลั่งน้ำตา จะพูดก็ไม่ถนัดเสียแล้ว เพราะปากก็บิดเบี้ยวไป
-นางได้แต่โทษสวรรค์ที่ไม่มีตา คนดีอย่างสามีนาง หาแทบไม่ได้อีกแล้ว แม้เป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่เคยโทษสวรรค์ ไม่เคยด่าว่าสวรรค์แม้แต่ครั้งเดียว
-แต่นาง ได้แต่เจ็บแค้นในใจ “ความดีช่างไม่ตอบแทนคนดี ต่อแต่นี้ข้าจะไม่ทำความดีอีกเลย” นางได้แต่ตะโกนขึ้นฟ้าแบบนั้น
-แล้ววันนั้นก็มาถึง........
-หลังจากนางเตรียมอาหารไว้ให้สามีเรียบร้อย นางก็ออกไปทำนาตามปกติเหมือนทุกวัน แต่วันนี้เพื่อนบ้านได้วิ่งหน้าตื่น มาหานางกลางทุ่งนา เรียกให้รีบกลับบ้าน เพราะสามีของนาง ได้เสียชีวิตแล้ว
-นางได้แต่ทำหน้าเหมือนคนสติฟั่นเฟือน ตาเหม่อลอย ได้แต่จ้องหน้าเพื่อนบ้าน พอได้สติจากการเขย่าแขนของเพื่อนบ้าน นางก็ทรุดตัวลงอย่างเข่าอ่อน นางได้แต่พูดว่า “สวรรค์ไม่มีตา สวรรค์ไม่มีตาจริงๆ”
-ถึงแม้สามีจะพิการ ง่อยเปลี้ยอย่างไร นางก็ยังรัก เขาก็พยายามช่วยงานทุกอย่างเท่าที่คนพิการจะทำได้ ไม่เคยปริปากบ่น ให้นางกังวลใจแม้แต่น้อย
-อย่างไรเสีย หลังจากทำงานหนักกลางทุ่งมาทุกวัน เมื่อกลับถึงบ้าน ยังได้เห็นสามีอันเป็นที่รักของนาง รอนางกลับมา แต่วันนี้ ไม่มีเขาอีกแล้ว.......
-หลายคนในหมู่บ้านไม่อยากจะเชื่อว่า สาเหตุการตาย ของสามีนาง เพราะ... ถูกฟ้าผ่าตาย
-ก็ไหนเขาว่ากันว่า คนชั่วเท่านั้นจึงถูกธรณีสูบ หรือฟ้าผ่าตาย หรือฟ้าผ่าตาย เพราะชาติก่อนเคยพูดจาเสียดสีผู้ออกบวช สามีของนางทำดีมาตลอดชีวิต ดีอย่างที่คนในหมู่บ้านก็พูดกันว่า “อาจจะหาคนแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว แต่ทำไม สามีของนางจึงมีจุดจบในสภาพเช่นนี้”
-อย่างนี้ จะเรียกว่า “สวรรค์มีตา” ได้ต่อไปอย่างไรเล่า หรือจะเป็นกรรมเก่า ที่ไม่มีผู้รู้เห็น
-นางไม่มีแม้แต่บุตร ธิดา ไว้ดูต่างหน้าสามีที่จากไป แต่ต้องอยู่อย่างเดียวดาย ไปชั่วชีวิต
-ในพิธีศพของสามี นางคงต้องจัดอย่างอนาถาเป็นที่สุด แต่ด้วยความดีที่เขาเคยทำมา ชาวบ้านมาช่วยงานกันทุกบ้าน แต่ก่อนจะนำศพลงโลง นางได้เขียนที่ฝ่ามือของสามีว่า “สวรรค์ไม่มีตา” นางเขียนด้วยความเจ็บแค้น เป็นที่สุด เพียงหวังจะต่อว่าสวรรค์เป็นครั้งสุดท้าย ในโลกหลังความตายของสามี
-หลายปีแห่งความขมขื่น.......
-ในหลายปีนี้ นางครองตัวเป็นโสดทั้งที่ก็มีชายหนุ่มหลายคนมาสนใจ แม้นางเป็นแม่หม้ายผัวตาย ก็ไม่มีใครรังเกียจ ด้วยนางเป็นคนดี ขยันขันแข็ง แต่นางก็ใจแข็ง เพราะรักมั่น แต่กับสามีเพียงผู้เดียว
-และคิดไปว่า ถึงแม้นางจะแต่งงานใหม่ ก็คงไม่มีใครดีเหมือนสามีของนาง ซักวันเมื่อมีเรื่องเคืองขุ่นใจกัน ก็คงต่อว่าเรื่องนางเคยมีสามีมาก่อนเป็นแน่ อีกประการคือ สวรรค์ไม่มีตา แม้นางจะดีแค่ไหน ชีวิตก็คงไม่มีทางดีกว่านี้ไปได้ คงลำบากอย่างนี้ไปจนวันตาย
-แล้วกาลเวลา ก็ไม่เคยคอยใคร ทุกคนที่เคยขอนางแต่งงาน ก็จากไปทีละคน จนกระทั่งวันหนึ่งที่นางคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก นางก็อายุมากขึ้น จนไม่เหลือใครอีกแล้ว เพราะพ่อแม่ของนาง และสามี ก็ได้จากไปก่อนนาง และสามีจะได้แต่งงานกันด้วยซ้ำ
-เข้าวัง.......
-วันหนึ่ง ท่านนายอำเภอ ให้ลูกน้อง ปิดประกาศ และป่าวประกาศไปทั่ว หาแม่นมเข้าวัง
-ประชาราษฎร์ต่างสงสัยว่า ทำไมต้องมีการป่าวประกาศหาแม่นม เพราะ ตามปกติ เรื่องนี้จัดเป็นการภายใน และแม่นม ต้องเป็นผู้ที่อยู่ในราชสกุล ชนชั้นสูง มีความเหมาะสมทุกประการที่สมควรคู่เป็นแม่นมของพระโอรสเท่านั้น ทำไมครั้งนี้ สามัญชน หญิงชาวบ้านร้านตลาด ก็เข้าวังไปเป็นแม่นมได้
-หลายคน ก็สมัครเขียนชื่อเข้าไป เพราะได้ชื่อว่าเป็นแม่นมพระโอรสแล้ว ยิ่งเป็นพระโอรสองค์แรก (องค์ชายใหญ่) ตำแหน่งฮ่องเต้ จะไปไหนเสีย ต่อไปต้องสบายไปทั้งตระกูล และหลายชั่วอายุคนทีเดียว
-แต่หลายคน ก็ยังครั่นคร้าม การสมัครครั้งนี้ เพราะเหตุว่า พระโอรส ทรงกันแสง ไม่หยุด ตั้งแต่ออกจากพระครรภ์ฮองเฮา หากใครสัมผัส พระวรกาย แล้ว ทำให้หยุดกันแสงไม่ได้ ต้องโทษถึงประหารชีวิต เนื่องด้วยพระวรกายพระโอรส เป็นของสูง มิใช่คนทั่วไปจะสัมผัสกันได้ทั้งหมด แต่หากเป็นแม่นม ย่อมเป็นข้อยกเว้น แม้เป็นแม่นมจากสามัญชน
-เมื่อนางได้ฟังดังนั้นแล้ว นางจึงไม่ต้องหยุดคิด อีกต่อไป รีบไปเข้าแถว ลงชื่อ ขอสมัครเป็นแม่นมพระโอรส เพราะอยู่มาอย่างทุกข์ใจ หลายสิบปี นางก็ไม่ตายเสียที สามีอันเป็นที่รักก็จากไปนานแล้ว คราวนี้ จะได้ตายสมใจ ไม่ต้องฆ่าตัวตาย ให้ผิดคำพูด
-แต่คนดี ก็ยังคงเป็นคนดี ถึงปากนางจะกล่าวเสมอว่า จะไม่ทำดีอีกต่อไป แต่คนดี ก็เหมือนเป็นนิสัยติดตัวไปเสียแล้ว จะมาเปลี่ยนแปลงกันง่ายๆ ย่อมเป็นไปไม่ได้ จิตใต้สำนึกลึกๆ ก็ยังคิดว่า อาจมีนรก สวรรค์จริง แล้วตอนนั้นคงได้ถามกันเสียทีว่า ทำไมทำกับสามีนาง ถึงเช่นนี้ และแม้คิดจะทำชั่วครั้งใด นางก็มักจะคิดถึงใบหน้าของสามีที่แสนรักของนางเสมอ ทำให้ คำว่า “ความชั่ว” มิเคยย่างกรายเข้ามาในชีวิตนางได้
-เมื่อเข้าไปถึงในพระราชวัง สำหรับนาง ทุกอย่างดูใหญ่โตโอ่อ่า วิจิตร เกินคำว่างาม นี่คงเป็นสวรรค์ นางยังคิดว่าก่อนตาย นางยังได้เห็นสิ่งสวยงามถึงเพียงนี้นับว่าคุ้มค่า ที่ไม่ฆ่าตัวตายไปเสียก่อน และอีกไม่นาน นางก็คงได้สมใจ ตายตามสามีนางไปเสียที เพราะนางไม่เคยแม้แต่จะมีลูก นางจะรู้ได้อย่างไรว่า จะทำให้พระโอรส หยุดกันแสงได้ด้วยวิธีใด และตอนนี้ นางจะมีน้ำนมให้พระโอรส ได้อย่างไร นางคงได้พบสามีในไม่ช้า คิดถึงตอนนี้ นางก็ได้แต่ยิ้ม อย่างมีความสุข
-ผิดจากคนที่มาด้วยกัน หลายคน ต่างมีอารมณ์แสดงออกมาแตกต่างกันไป บ้างก็ซุ่มซ้อมเตรียมการ ว่าจะต้องทำอย่างไร ให้พระโอรสหยุดกันแสงให้ได้ บ้างก็เพิ่งมานึกได้ว่า ไม่น่าสมัครเข้ามาเลย คงต้องตายเป็นแน่แท้
-เชิญว่าที่แม่นมคนต่อไป.......
-นางได้ยินขันทีขานชื่อนาง เพื่อทดลองอุ้มพระโอรส
-นางเห็นคนก่อนหน้าทั้งหลาย ได้ถูกหามออกไป อย่างไร้จิตวิญญาณ เพื่อนำไปลานประหาร
-นางเดินตรงเข้าไปหา พระโอรส มองตรงเข้าไปที่พระองค์ พระโอรส ยังทรงกันแสง ไม่หยุด นางได้แต่น้ำตาริน อีกไม่ช้าเราจะได้พบกันแล้ว สามีของข้า
-แล้วจึงยื่นมือ เข้าไปโอบอุ้มพระโอรสไว้ ในอ้อมแขนที่ผ่ายผอมจนแทบจะมีแต่กระดูก ทันใด ห้องอันกว้างสุดตา ที่ซึ่งจัดเป็นสถานที่พิเศษเพื่อทดลองอุ้มพระโอรส ก็เงียบลง เงียบจน นางได้ยิน เสียงหายใจของตัวเอง
-พระโอรสหยุดกันแสง แล้วจึงลืมพระเนตรขึ้น แต่ในพระหัตถ์ทั้งสอง ยังคงกำแน่น เหมือนมีอะไรในอุ้งพระหัตถ์
-นางจึงค่อยๆ ลูบนิ้วพระหัตถ์น้อยๆ ของพระโอรสออกอย่างเบามือที่สุด เท่าที่สามัญชน อย่างนางจะทำได้
-นิ้วพระหัตถ์ได้ถูกลูบออกอย่างง่ายดาย บนฝ่าพระหัตถ์มีตัวอักษร ปรากฏอย่างเด่นชัด
“สวรรค์มีตาเสมอ”
-นางทรุดตัวลงนั่งกับพื้น น้ำตาไหลพรั่งพรูไม่หยุด มือโอบอุ้มพระโอรสน้อย อย่างแนบแน่น “เราได้พบกันแล้ว ๆ” ปากก็ได้แต่พึมพำ “สวรรค์มีตา สวรรค์มีตาเสมอ”
ยังมีต่อ