ไปให้สุดขอบฟ้า แต่ขอบฟ้าก็เลื่อนหนีห่างจาก
เราไปเช่นกัน เรารู้ได้เฉพาะขอบของใจตัวเอง
การเดินทาง การฟันฝ่า
ไม่รู้สักนิดอะไรคอยอยู่
มันคือเสน่ห์ของชีวิต


ปฐมบท+++++
11กพ.2528 แล้วก็ออกเดินทางจนได้
หลังจากตรวจเช็ครถอย่างดีเป็นเวลา
หลายวัน รวมทั้งนายได้เปลี่ยนไฟหน้า
เป็นสีเหลือง ขับรถออกแต่เช้าตรู่ด้วย
หัวใจพองโต ความสุขของนักเดินทาง
ด้วย2ล้อ กอดสายลมที่ล้อมอยู่รอบกาย
ยู้ฮู้...
แต่พอมาถึงแถวเขาสวนกวาง
รถก็สะอึก เร่งไม่ขึ้น แล้วก็ดับ
สตาร์ทใหม่ก็ติด ทว่ายังมี
อาการเครื่องสำลักและเร่ง
ไม่ขึ้น สุดท้าย...ดับสนิท
คันสตาร์ทค้าง อาการคล้ายกับ
ลูกสูบติด แหวนตาย นายกับเรา
ช่วยกันเข็นรถเข้าป่าละเมาะ
ริมทาง ฝันให้ไกลแต่ยังไปไม่ถึงไหน
ตั้งรถดีแล้ว ถอดหัวเทียนออก
ถีบคันสตาร์ทใหม่ มันค้างไม่ขยับ เครื่องยนต์ร้อนมาก มีเสียงแก๊กๆดังเป็นระยะๆ
ตกลงกันว่า จะรอให้เครื่องเย็นก่อนแล้ว
ค่อยว่ากัน
แล้วก็งัดเสบียงที่แม่นายทำให้ออกมากินกัน
กินไปคิดไปมันป่วยเป็นอะไรวะ
พอคนอิ่ม เครื่องก็อุ่น สะดวกที่จะรื้อจะถอด อย่าให้ต้องใส่รถกระบะกลับ
ขอนแก่นเลยพับผ่า อายเขาตาย
งานเข้า
ชิ้นส่วนเครื่องยนต์ค่อยๆถูกถอดออก
ด้วยเครื่องมือเท่าที่พวกเรามี
กระเดื่องกดวาล์วไอดี-ไอเสีย
แห้งแกรก ไม่มีคราบน้ำมันเครื่อง
หัวลูกสูบยันกับวาล์ว
แสดงว่า น้ำมันเครื่องไม่ขึ้นไป
หล่อลื่นช่วงบน ร้อนจนเพลาราวลิ้น
กัดครูดบูชจนสึก
พาให้เฟืองโซ่ราวลิ้นรวน
ผิดจังหวะการทำงาน
หัวลูกสูบจึงยันวาล์ว
เครื่องสะอึกและดับ เครื่องก็ร้อน
งานเข้า
แล้วก็หาสาเหตุเจอ นายไม่ได้ล้าง
ตะแกรงถ้วยกรองน้ำมันเครื่อง
ถอดออกมาดูมันมีแต่เศษขยะและขี้โลหะ
น้ำมันเครื่องถึงขึ้นไปยังเพลาราวลิ้น
ไม่ได้ แล้วก็เลยมีอาการดังว่า
พอล้างถ้วยตะแกรงกรองน้ำมันเครื่อง
สะอาดดีแล้ว ก็ประกอบชิ้นส่วนเครื่องยนต์
เข้าที่เดิม ตรวจมาร์คให้ตรง ตั้งทองขาว
ตั้งจังหวะจุดระเบิดพอดีๆไม่แก่ไม่อ่อน
ลองสตาร์ทด้วยใจระทึก...
มันติด บรึม...บรึม
เราสองคนแทบจะกระโดดตัวลอย
ความหวังยังมี พวกเราจะได้ไปต่อ เฮ้!
ไปต่อ....แต่ว่า
นายให้เราขับ บอกว่าจะคอยฟัง
เสียงเครื่องยนต์ว่ามันปกติดีมั้ย
มันก็โอเคแหละ แต่พอเราเร่งเครื่อง
ในความเร็วเดินทาง ราว50-60
กม./ชม. น้ำร้อนๆก็เริ่มกระเซ็นมาถูก
หัวเข่าของเรา มันคือน้ำมันเครื่อง
ที่ออกมาจากรูบูชเพลาราวลิ้นที่สึก
เราจอดรถ ตรวจดูให้แน่ใจว่า
มันยังพอไหวมั้ย ตกลงไปต่อ ไปแบบ
ช้าๆประคับประคอง คิดในใจว่า
ต้องเข้าโรงกลึงแน่ คือต้องกลึงบูช
มาเปลี่ยน
เย็นแล้วยังไปไม่ถึงไหน
นายบอกว่า ตรงแยกกุมภวาปี
นายมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง ไปอาศัย
มันนอนค้างสักคืน แล้วค่อยว่ากัน
บ้านเพื่อนของนายอยู่ริมุถนน
ต้อนรับพวกเราดีมาก
เลี้ยงข้าว จัดที่หลับที่นอน
คืนนั้นเรานอนคิดว่าจะแก้ปัญหา
น้ำมันเครื่องกระเซ็นอย่างไรดี
จนหลับไป
ระหว่างกินข้าวเช้าด้วยกัน
เพื่อนนายแนะนำเส้นทางไป
วานรนิวาส จ.สกลนคร
เพราะเรากับนายคิดว่าจะไปเยี่ยม
บักเชาวลิต
เราได้ไอเดียแล้วว่าจะแก้ปัญหา
เครื่องยนต์อย่างไรดี ก่อนจากเลย
ขอตัดแผ่นโฆษณาสังกะสียาอมโบตัน
มาหนึ่งฝ่ามือ
แล้วรถเครื่องก็พาพวกเราจากบ้าน
หลังนั้นมา ลืมแล้วว่าเพื่อนนาย
ชื่ออะไร? ไม่รู้ว่าจะได้มีโอกาสกลับไป
ทดแทนบุญคุณอีกหรือไม่
พวกเรามุ่งหน้าสู่วานรนิวาส
ไปได้สัก2-3กม.ก็เลี้ยวเข้าไปจอด
ใต้ร่มจามจุรีริมทาง
เราเล่าไอเดียให้นายฟัง
เราจะตัดแผ่นสังกะสี ให้เป็นแผ่นชิม
แล้วนำไปใส่ในบูชเพลาราวลิ้น
มันจะฟิตขึ้น น้ำมันเครื่องก็จะ
ไม่รั่วกระเซ็นออกมาอีก
นายเห็นด้วย พวกเราก็เลยรื้อ
และเอาแผ่นสังกะสียัดเข้าไปตรงปลาย
เพลาราวลิ้น เสร็จแล้วประกอบชิ้นส่วน
กลับเข้าที่ สตาร์ทเครื่อง
ลองบิดเบิ้ลเครื่อง ฮะฮ่า มันได้ผล
ไม่รู้จะใช้วิธีไหนแล้วนี่ วิธีที่ถูกต้อง
เราต้องคว้านแล้วกลึงบูชใหม่ อัดบูช
เข้ากับเสื้อเพลาราวลิ้น
แต่พวกเรามีเงินกันไม่มากพอที่จะมาจ่าย.
เพราะไม่งั้นค่าอาหารคน อาหารรถก็จะ
หมดไป พวกเราก็จะไปไม่ถึงเมืองเหนือ
อย่างที่วางแผน
เราออกเดินทางกันต่อ ไปหาเชาวลิต
พอไปถึงวานรนิวาส ไปถามหา
บังเอิญไปเจอคนที่รู้จักเชาวลิต
เขาเลยบอกว่า มันอยู่พังโคนเด้อ
พวกเราก็ไป ไปมันต่อไป จนกระทั่ง
ได้พบกับ.......

บ้านเชาวลิต อุปบุตร
12กพ.2528 ได้พบพ่อและน้องชาย
เชาวลิต ส่วนตัวหัวหมู่ยังไม่กลับจาก
โรงเรียนสว่างแดนดิน ระหว่างรอ
พวกเราตรวจสภาพรถอีกครั้ง
น้ำมันเครื่องยังเยิ้มออกมาอยู่ดี
พอรื้อออกมาดู ชิมแผ่นสังกะสีสึก
จนบาง มันไม่workต้องหาวัสดุอื่น
มาใช้แทน แล้วก็เจอกระป๋องนมสด
ตราหมีซึ่งทำจากอลูมิเนี่ยมอย่างหนา
ถูกทิ้งอยู่ที่ข้างบ้าน ที่สุดมันก็ถูกตัด
และจับใส่แทนแผ่นสังกะสียาอมโบตัน
ไม่น่าเชื่อว่ามันเกิดมาเพื่อการนี้ เพราะ
ตลอดทริปอาการน้ำมันเครื่องรั่วไม่
เกิดขึ้นอีกเลย
แต่มันก็ไม่จบ ตัวตึงโซ่ราวลิ้นมันหมด
สภาพ และการสตาร์รถให้ติดเริ่มยาก
ขึ้นทุกที มัดข้าวต้มที่ผลิตไฟจ่ายให้กับ
ระบบจุดระเบิดมันป่วย ต้องเข็นกระตุก
รถทุกครั้งถึงสตาร์ทได้ เป็นไปได้ว่า
ความร้อนเกินพอดี จากไส้กรองน้ำมัน
เครื่องตัน ไปทำให้สารเคลือบหุ้ม
ทองแดงของมัดข้าวต้มละลาย
และช๊อดกัน
เรากับนายเดินเตร่หาอะไหล่รถในตลาด
จนแล้วจนรอดก็หามัดข้าวต้มมาเปลี่ยน
ไม่ได้ มีแต่ข้าวต้มมัดของแม่ค้า นายว่า
หาที่ขอนแก่นแล้วก็ไม่มี
แต่ก็ได้สปริงมา1ตัว นายถามว่าเอามา
ทำอะไร เฮอะน่าเดี๋ยวรู้เอง เราบอก
แล้วเจ้าสปริงตัวนั้นก็เข้าไปสถิตย์ใน
ชุดสกรูดันโซ่ราวลิ้นอย่างพอดิบพอดี
มันดันโซ่ได้ตึงอย่างคิด สตาร์ทรถด้วย
การเข็น เครื่องยนต์เดินเรียบนิ่ง
เป็นที่น่าพอใจ
แล้วก็ได้พบ...
ตอนเย็นนั่งล้อมวงกินข้าว
แต่เราจำไม่ได้ว่าเจอเชาวลิต
ในตอนนี้หรือในวันรุ่งขึ้น
13กพ.2528 หลังกินข้าวเช้า
ก็ถึงเวลาลาจาก
พวกเรามุ่งหน้าสู่รร.สว่างแดนดิน
คุณครูเชาวลิตนั่งอยู่ในช๊อป
มีลูกศิษย์แวะเวียนมาพูดคุย
เป็นความโชคดีของเด็กๆที่ได้ครู
แบบนี้ คุยสนุก อารมณ์ดีตลอด
เราคุยกันได้ไม่มาก เพราะเชาวลิต
ต้องเข้าสอนแล้ว เวลาอันสั้นแต่ก็
คุ้มค่า ชีวิตเพื่อนไปได้ดีแล้ว
เรากับนายออกสู่ถนนมุ่งสู่อุดรธานี
เราคิด...แล้วชีวิตของเราหละจะลง
เอยนะตรงไหนหนอ
เราต้องทำเวลากันหน่อยแล้ว
จากอุดรตัดเข้าเส้นวังสะพุง
ผ่านวัดถ้ำกลองเพลของหลวงปู่ขาว
ศิษย์พระอาจารย์มั่น
วันนี้ไม่ได้แวะเที่ยวที่ไหนเลย
ต้องทำเวลา ตะวันคล้อยลงทาง
ทิศตะวันตกทุกทีๆ การขึ้นน้ำหนาว
ในวันนี้เป็นไปไม่ได้ เพราะเส้นทาง
ผ่านป่าเขาสูงชัน บ้านเรือนผู้คนก็
ไม่ค่อยมี ที่สำคัญจะมีปั๊มน้ำมันมั้ย
และต้องไปคลำทางกลางป่า
ตอนกลางคืน
เปลี่ยนแผนเราต้องเลี้ยวย้อนมาชุมแพ
ตรงแยกบ้านโนนหัน(หรือบ.โนนทัน ลืมแล้ว)
แวะซื้อเสบียงที่ตลาดชุมแพ ประมาณข้าวเหนียวไก่ย่าง
ขับรถวนหาที่ค้างแรม มืดลงทุกขณะ
ที่ค้างแรมคืนเป็นบริเวณป่าละเมาะ
ข้างๆรร.ชุมแพ โกวิทมุลตรีไปทำงาน
อยู่ซาอุ พ่อแม่ของมันพวกเราก็ไม่มักคุ้น
เป็นคืนแรกที่ต้องนอนข้างถนน
ดั่งคนไร้บ้าน..

ข้ามทิวเขาสู่แดนเหนือ
15กพ.2528 แต่เช้าตรู่ จากชุมแพเรากำลังไต่ขึ้นภูสูง
เติมน้ำมันรถที่ชุมแพเต็มถัง
เตรียมเสบียงอาหารน้ำใส่เป้ เราขับผ่านปั๊มน้ำมันก่อนขึ้น
ภูน้ำหนาว มีป้ายอันเบ้อเริ่มเขียนว่า
"ปั๊มแห่งสุดท้ายในเส้นทางนี้"
พวกเราหัวเราะกัน บนเส้นทาง
เปลี่ยวสายนี้ กับคำขู่ขวัญ
มันยิ่งทำให้เรายิ่งมีกำลังใจ
ระคนตื่นเต้น มากันถึงขนาดนี้แล้ว
เราจะไม่หันหลังกลับ
รถพาเราไต่ทางชันสูงขึ้นๆทุกขณะ
หลายเนินที่คนซ้อนท้ายต้องลง
กำลังเครื่อง90cc.มันได้แค่นี้
บางทีคนซ้อนต้องใช้เท้ายันพื้นถนน
เหมือนกรรเชียงเรือ
ทางลงเนินก็ปล่อยไหลพร้อมกับเร่ง
เครื่องส่งให้รถขึ้นเนินให้ถึงยอดเนิน
สุดท้ายต้องลงเข็น
ป่าสองข้างทาง เปลี่ยนเป็นป่าสน
สวยแปลกตา อากาศเย็นสบายสดชื่น
แล้วก็มาถึงทางเข้าอุทยานแห่งชาติ
น้ำหนาว เป้าหมายแรกของวันนี้
พวกเราหยุดพักกินอาหารรองท้อง
พักทั้งคนพักทั้งรถสักครู่เถอะ

สู่แดนเหนือ
หนทางที่ผ่านมายังจิ๊บๆ พอเลยป้าย
อุทยานน้ำหนาวไปทางยิ่งสูงชัน
ยิ่งกว่า เหนื่อยทั้งรถทั้งคนเข็น
ทางคดลดเลี้ยวซอกซอนไปใน
ท่ามกลางขุนเขา บางครั้งก็มาโผล่
อยู่บนสันภู เห็นแต่เทือกเขาเรียงตัว
ต่อกันไม่รู้จบสิ้น
เขียวพรึดสุดลูกหูลูกตา จรดขอบฟ้า
ขอบแผ่นดิน
จู่ๆทางก็ลาดลงๆ
ภาพเบื้องหน้า
คือโตรกเขาขนาดใหญ่
มีสะพานคอนกรีตทอดตัวข้ามโตรกเหว
แผ่นดินอีสานสิ้นสุดลงตรงนี้
ข้ามสะพานนี้ไปก็เป็นแดนเหนือ
อ.หล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์

เข้าแดนเหนือ
หลังจากข้ามสะพานพ่อขุนผาเมือง
มาแล้ว หนทางก็เริ่มลาดลงเรื่อยๆ
บ้านเรือน ไร่สวนเห็นหนาตาขึ้น
อากาศก็ทวีความร้อนขึ้นตามลำดับ
การข้ามภูสิ้นสุดลงสู่เมือง เรารู้สึก
แปลกๆ อาลัยอาวรณ์ป่าเขา
ที่อยู่เบื้องหลัง ไม่รู้อีกกี่วันคืนจะได้
กลับมาไต่ภูน้ำหนาวอีกครั้ง
นายกับเราน้อมกายเข้าไปไหว้สา
พ่อขุนฯ ผู้เป็นพ่อขุนด่าน
คอยคุ้มภัย
ให้กับผู้รอนแรมผ่านช่องเขานี้
ขอความปลอดภัยและสิ่งอันอุดม
มงคลจงบังเกิดมีแก่ข้าพเจ้าและสหาย
ผู้เดินทางมาแสนไกลด้วยเถิด.


ไปให้สุดขอบฟ้า
แต่ขอบฟ้าก็เลื่อนหนีห่าง
จากเราไปทุกที
สุดท้ายเราอาจไปได้แค่
ขอบของใจตัวเอง
เราออกเดินทางกันต่อ
มุ่งหน้าสู่พิษณุโลก
ภูเขาและภูเขาเราไต่ข้าม
"ไม่เมื่อยบ้างหรือ"
แม่ค้าไก่ปิ้งริมทางถามเรา
เราจะตอบอย่างไรได้
"เหมือนขายไก่ปิ้งจ้ะน้องสาว"
เสียงเครื่องยนต์ เสียงลม
เสียงใจมันคุยกัน
ตะวันรอนๆใจหวิวๆ
ต้องหาที่นอนแล้วหละ
อช.ทุ่งแสลงหลวงอยู่อีกไม่ไกล
เหมาะที่สุดที่จะเป็นที่พักแรมคืน
สักหนึ่งตื่น

อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง
หลังจากขออนุญาติจนท.อุทยาน
เรื่องการเข้าพักเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น
แสงตะวันกำลังจะลับหาย
เราขับรถไปที่ลานแคมป์ไฟ
อาศัยไฟหน้ารถแทนไฟฉาย
และตะเกียง
ต้นไม้ขนาด2-3คนขึ้นรายล้อม
เห็นเป็นเงาตะคุ่มๆ
ไม่รู้ว่าเป็นต้นอะไร
เราเร่งรีบปูผ้าพลาสติก
แล้วอ๊อดก็นำมุ้งนอนแบบที่ใช้
ตามบ้านออกมาจากกระเป๋าสัมภาระ
"เฮ้ย นี่หรือวะเต๊นท์ที่นายบอกว่ามี"
เราขำ แต่ก็เอาหละวะ
"มันกันยุงดีนา แม่เราบอกให้เอามาด้วย"
หลังจากมัดเชือกหูมุ้งเรียบร้อย
จัดข้าวของต่างๆเข้าที่
กองไฟกองเล็กๆก็ถูกก่อขึ้น
นั่งกินข้าวเหนียวไก่ปิ้งกับน้ำเปล่า
จากนั้นก่อนเข้ามุ้งเพื่อพักนอน
นายเดินไปรอบๆมุ้งพลาง
ว่าคาถาเสียงพึมพำ
นายว่ากันภยันอันตรายที่จะเข้ามา
กล้ำกลาย


เช้าตรู่ของวันที่16กพ.2528
เสียงนกร้องปลุกเราให้ตื่น
ใจอยากจะนอนมันอย่างนี้ นอนฟัง
เสียงป่าพนาไพรร้องเพลง
แสงแดดสาดมาเป็นลำ ทิ้งเงาไม้
ลงบนลานดิน
อยากหยุดทุกสิ่ง
ในขณะนี้ให้อยู่ตราบนิรันดร์
ไม่อยากไปไหน ไม่อยาก...ให้มีพรุ่งนี้
ไม่ใช่ตะเคียนธรรมดา แต่เป็นต้นตะเคียนทอง
ตื่นเช้ามาถึงรู้ ขนลุกขนชัน
ขณะที่เก็บมุ้งและข้าวของ
ลงในกระเป๋าและเป้
เด็กเล็กๆก็เข้ามาเมียงมอง
รุนหลังเพื่อนให้เข้ามาคุยกับ
พวกเรา ต่อแต่นั้นมิตรภาพน้อยๆ
ก็เกิดขึ้น ดังภาพถ่ายที่ประทับรอย
แห่งอารมณ์แย้มยิ้มของเด็กๆผู้เป็น
ลูกหลานของจนท.อุทยาน
ทุ่งแสลงหลวง
เราแวะเที่ยวในอุทยานไม่กี่ที่
สะพานสลิงข้ามลำน้ำเข็ก
และไม่ลืมล้างหน้าล้างตา
ที่ทิ้งคราบเปื้อนไว้แต่เมื่อวาน
ออกจากอุทยานมาได้ไม่ไกลนัก
มีน้ำตกวังนกแอ่น(สกุโณทยาน)
อยู่ริมถนน สายน้ำสีน้ำขุ่นทิ้งตัวลง
จากหน้าผา เราแวะเข้าไป
เพื่อเข้าห้องน้ำ แล้วเดินทางต่อไป
.กระซิบเล่าวัยละอ่อน Honda xl 90 cc"จากเพือนเมธี"
เราไปเช่นกัน เรารู้ได้เฉพาะขอบของใจตัวเอง
การเดินทาง การฟันฝ่า
ไม่รู้สักนิดอะไรคอยอยู่
มันคือเสน่ห์ของชีวิต
11กพ.2528 แล้วก็ออกเดินทางจนได้
หลังจากตรวจเช็ครถอย่างดีเป็นเวลา
หลายวัน รวมทั้งนายได้เปลี่ยนไฟหน้า
เป็นสีเหลือง ขับรถออกแต่เช้าตรู่ด้วย
หัวใจพองโต ความสุขของนักเดินทาง
ด้วย2ล้อ กอดสายลมที่ล้อมอยู่รอบกาย
ยู้ฮู้...
แต่พอมาถึงแถวเขาสวนกวาง
รถก็สะอึก เร่งไม่ขึ้น แล้วก็ดับ
สตาร์ทใหม่ก็ติด ทว่ายังมี
อาการเครื่องสำลักและเร่ง
ไม่ขึ้น สุดท้าย...ดับสนิท
คันสตาร์ทค้าง อาการคล้ายกับ
ลูกสูบติด แหวนตาย นายกับเรา
ช่วยกันเข็นรถเข้าป่าละเมาะ
ริมทาง ฝันให้ไกลแต่ยังไปไม่ถึงไหน
ตั้งรถดีแล้ว ถอดหัวเทียนออก
ถีบคันสตาร์ทใหม่ มันค้างไม่ขยับ เครื่องยนต์ร้อนมาก มีเสียงแก๊กๆดังเป็นระยะๆ
ตกลงกันว่า จะรอให้เครื่องเย็นก่อนแล้ว
ค่อยว่ากัน
แล้วก็งัดเสบียงที่แม่นายทำให้ออกมากินกัน
กินไปคิดไปมันป่วยเป็นอะไรวะ
พอคนอิ่ม เครื่องก็อุ่น สะดวกที่จะรื้อจะถอด อย่าให้ต้องใส่รถกระบะกลับ
ขอนแก่นเลยพับผ่า อายเขาตาย
งานเข้า
ชิ้นส่วนเครื่องยนต์ค่อยๆถูกถอดออก
ด้วยเครื่องมือเท่าที่พวกเรามี
กระเดื่องกดวาล์วไอดี-ไอเสีย
แห้งแกรก ไม่มีคราบน้ำมันเครื่อง
หัวลูกสูบยันกับวาล์ว
แสดงว่า น้ำมันเครื่องไม่ขึ้นไป
หล่อลื่นช่วงบน ร้อนจนเพลาราวลิ้น
กัดครูดบูชจนสึก
พาให้เฟืองโซ่ราวลิ้นรวน
ผิดจังหวะการทำงาน
หัวลูกสูบจึงยันวาล์ว
เครื่องสะอึกและดับ เครื่องก็ร้อน
งานเข้า
แล้วก็หาสาเหตุเจอ นายไม่ได้ล้าง
ตะแกรงถ้วยกรองน้ำมันเครื่อง
ถอดออกมาดูมันมีแต่เศษขยะและขี้โลหะ
น้ำมันเครื่องถึงขึ้นไปยังเพลาราวลิ้น
ไม่ได้ แล้วก็เลยมีอาการดังว่า
พอล้างถ้วยตะแกรงกรองน้ำมันเครื่อง
สะอาดดีแล้ว ก็ประกอบชิ้นส่วนเครื่องยนต์
เข้าที่เดิม ตรวจมาร์คให้ตรง ตั้งทองขาว
ตั้งจังหวะจุดระเบิดพอดีๆไม่แก่ไม่อ่อน
ลองสตาร์ทด้วยใจระทึก...
มันติด บรึม...บรึม
เราสองคนแทบจะกระโดดตัวลอย
ความหวังยังมี พวกเราจะได้ไปต่อ เฮ้!
ไปต่อ....แต่ว่า
นายให้เราขับ บอกว่าจะคอยฟัง
เสียงเครื่องยนต์ว่ามันปกติดีมั้ย
มันก็โอเคแหละ แต่พอเราเร่งเครื่อง
ในความเร็วเดินทาง ราว50-60
กม./ชม. น้ำร้อนๆก็เริ่มกระเซ็นมาถูก
หัวเข่าของเรา มันคือน้ำมันเครื่อง
ที่ออกมาจากรูบูชเพลาราวลิ้นที่สึก
เราจอดรถ ตรวจดูให้แน่ใจว่า
มันยังพอไหวมั้ย ตกลงไปต่อ ไปแบบ
ช้าๆประคับประคอง คิดในใจว่า
ต้องเข้าโรงกลึงแน่ คือต้องกลึงบูช
มาเปลี่ยน
เย็นแล้วยังไปไม่ถึงไหน
นายบอกว่า ตรงแยกกุมภวาปี
นายมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง ไปอาศัย
มันนอนค้างสักคืน แล้วค่อยว่ากัน
บ้านเพื่อนของนายอยู่ริมุถนน
ต้อนรับพวกเราดีมาก
เลี้ยงข้าว จัดที่หลับที่นอน
คืนนั้นเรานอนคิดว่าจะแก้ปัญหา
น้ำมันเครื่องกระเซ็นอย่างไรดี
จนหลับไป
ระหว่างกินข้าวเช้าด้วยกัน
เพื่อนนายแนะนำเส้นทางไป
วานรนิวาส จ.สกลนคร
เพราะเรากับนายคิดว่าจะไปเยี่ยม
บักเชาวลิต
เราได้ไอเดียแล้วว่าจะแก้ปัญหา
เครื่องยนต์อย่างไรดี ก่อนจากเลย
ขอตัดแผ่นโฆษณาสังกะสียาอมโบตัน
มาหนึ่งฝ่ามือ
แล้วรถเครื่องก็พาพวกเราจากบ้าน
หลังนั้นมา ลืมแล้วว่าเพื่อนนาย
ชื่ออะไร? ไม่รู้ว่าจะได้มีโอกาสกลับไป
ทดแทนบุญคุณอีกหรือไม่
พวกเรามุ่งหน้าสู่วานรนิวาส
ไปได้สัก2-3กม.ก็เลี้ยวเข้าไปจอด
ใต้ร่มจามจุรีริมทาง
เราเล่าไอเดียให้นายฟัง
เราจะตัดแผ่นสังกะสี ให้เป็นแผ่นชิม
แล้วนำไปใส่ในบูชเพลาราวลิ้น
มันจะฟิตขึ้น น้ำมันเครื่องก็จะ
ไม่รั่วกระเซ็นออกมาอีก
นายเห็นด้วย พวกเราก็เลยรื้อ
และเอาแผ่นสังกะสียัดเข้าไปตรงปลาย
เพลาราวลิ้น เสร็จแล้วประกอบชิ้นส่วน
กลับเข้าที่ สตาร์ทเครื่อง
ลองบิดเบิ้ลเครื่อง ฮะฮ่า มันได้ผล
ไม่รู้จะใช้วิธีไหนแล้วนี่ วิธีที่ถูกต้อง
เราต้องคว้านแล้วกลึงบูชใหม่ อัดบูช
เข้ากับเสื้อเพลาราวลิ้น
แต่พวกเรามีเงินกันไม่มากพอที่จะมาจ่าย.
เพราะไม่งั้นค่าอาหารคน อาหารรถก็จะ
หมดไป พวกเราก็จะไปไม่ถึงเมืองเหนือ
อย่างที่วางแผน
เราออกเดินทางกันต่อ ไปหาเชาวลิต
พอไปถึงวานรนิวาส ไปถามหา
บังเอิญไปเจอคนที่รู้จักเชาวลิต
เขาเลยบอกว่า มันอยู่พังโคนเด้อ
พวกเราก็ไป ไปมันต่อไป จนกระทั่ง
ได้พบกับ.......
12กพ.2528 ได้พบพ่อและน้องชาย
เชาวลิต ส่วนตัวหัวหมู่ยังไม่กลับจาก
โรงเรียนสว่างแดนดิน ระหว่างรอ
พวกเราตรวจสภาพรถอีกครั้ง
น้ำมันเครื่องยังเยิ้มออกมาอยู่ดี
พอรื้อออกมาดู ชิมแผ่นสังกะสีสึก
จนบาง มันไม่workต้องหาวัสดุอื่น
มาใช้แทน แล้วก็เจอกระป๋องนมสด
ตราหมีซึ่งทำจากอลูมิเนี่ยมอย่างหนา
ถูกทิ้งอยู่ที่ข้างบ้าน ที่สุดมันก็ถูกตัด
และจับใส่แทนแผ่นสังกะสียาอมโบตัน
ไม่น่าเชื่อว่ามันเกิดมาเพื่อการนี้ เพราะ
ตลอดทริปอาการน้ำมันเครื่องรั่วไม่
เกิดขึ้นอีกเลย
แต่มันก็ไม่จบ ตัวตึงโซ่ราวลิ้นมันหมด
สภาพ และการสตาร์รถให้ติดเริ่มยาก
ขึ้นทุกที มัดข้าวต้มที่ผลิตไฟจ่ายให้กับ
ระบบจุดระเบิดมันป่วย ต้องเข็นกระตุก
รถทุกครั้งถึงสตาร์ทได้ เป็นไปได้ว่า
ความร้อนเกินพอดี จากไส้กรองน้ำมัน
เครื่องตัน ไปทำให้สารเคลือบหุ้ม
ทองแดงของมัดข้าวต้มละลาย
และช๊อดกัน
เรากับนายเดินเตร่หาอะไหล่รถในตลาด
จนแล้วจนรอดก็หามัดข้าวต้มมาเปลี่ยน
ไม่ได้ มีแต่ข้าวต้มมัดของแม่ค้า นายว่า
หาที่ขอนแก่นแล้วก็ไม่มี
แต่ก็ได้สปริงมา1ตัว นายถามว่าเอามา
ทำอะไร เฮอะน่าเดี๋ยวรู้เอง เราบอก
แล้วเจ้าสปริงตัวนั้นก็เข้าไปสถิตย์ใน
ชุดสกรูดันโซ่ราวลิ้นอย่างพอดิบพอดี
มันดันโซ่ได้ตึงอย่างคิด สตาร์ทรถด้วย
การเข็น เครื่องยนต์เดินเรียบนิ่ง
เป็นที่น่าพอใจ
แล้วก็ได้พบ...
ตอนเย็นนั่งล้อมวงกินข้าว
แต่เราจำไม่ได้ว่าเจอเชาวลิต
ในตอนนี้หรือในวันรุ่งขึ้น
13กพ.2528 หลังกินข้าวเช้า
ก็ถึงเวลาลาจาก
พวกเรามุ่งหน้าสู่รร.สว่างแดนดิน
คุณครูเชาวลิตนั่งอยู่ในช๊อป
มีลูกศิษย์แวะเวียนมาพูดคุย
เป็นความโชคดีของเด็กๆที่ได้ครู
แบบนี้ คุยสนุก อารมณ์ดีตลอด
เราคุยกันได้ไม่มาก เพราะเชาวลิต
ต้องเข้าสอนแล้ว เวลาอันสั้นแต่ก็
คุ้มค่า ชีวิตเพื่อนไปได้ดีแล้ว
เรากับนายออกสู่ถนนมุ่งสู่อุดรธานี
เราคิด...แล้วชีวิตของเราหละจะลง
เอยนะตรงไหนหนอ
เราต้องทำเวลากันหน่อยแล้ว
จากอุดรตัดเข้าเส้นวังสะพุง
ผ่านวัดถ้ำกลองเพลของหลวงปู่ขาว
ศิษย์พระอาจารย์มั่น
วันนี้ไม่ได้แวะเที่ยวที่ไหนเลย
ต้องทำเวลา ตะวันคล้อยลงทาง
ทิศตะวันตกทุกทีๆ การขึ้นน้ำหนาว
ในวันนี้เป็นไปไม่ได้ เพราะเส้นทาง
ผ่านป่าเขาสูงชัน บ้านเรือนผู้คนก็
ไม่ค่อยมี ที่สำคัญจะมีปั๊มน้ำมันมั้ย
และต้องไปคลำทางกลางป่า
ตอนกลางคืน
เปลี่ยนแผนเราต้องเลี้ยวย้อนมาชุมแพ
ตรงแยกบ้านโนนหัน(หรือบ.โนนทัน ลืมแล้ว)
แวะซื้อเสบียงที่ตลาดชุมแพ ประมาณข้าวเหนียวไก่ย่าง
ขับรถวนหาที่ค้างแรม มืดลงทุกขณะ
ที่ค้างแรมคืนเป็นบริเวณป่าละเมาะ
ข้างๆรร.ชุมแพ โกวิทมุลตรีไปทำงาน
อยู่ซาอุ พ่อแม่ของมันพวกเราก็ไม่มักคุ้น
เป็นคืนแรกที่ต้องนอนข้างถนน
ดั่งคนไร้บ้าน..
ข้ามทิวเขาสู่แดนเหนือ
15กพ.2528 แต่เช้าตรู่ จากชุมแพเรากำลังไต่ขึ้นภูสูง
เติมน้ำมันรถที่ชุมแพเต็มถัง
เตรียมเสบียงอาหารน้ำใส่เป้ เราขับผ่านปั๊มน้ำมันก่อนขึ้น
ภูน้ำหนาว มีป้ายอันเบ้อเริ่มเขียนว่า
"ปั๊มแห่งสุดท้ายในเส้นทางนี้"
พวกเราหัวเราะกัน บนเส้นทาง
เปลี่ยวสายนี้ กับคำขู่ขวัญ
มันยิ่งทำให้เรายิ่งมีกำลังใจ
ระคนตื่นเต้น มากันถึงขนาดนี้แล้ว
เราจะไม่หันหลังกลับ
รถพาเราไต่ทางชันสูงขึ้นๆทุกขณะ
หลายเนินที่คนซ้อนท้ายต้องลง
กำลังเครื่อง90cc.มันได้แค่นี้
บางทีคนซ้อนต้องใช้เท้ายันพื้นถนน
เหมือนกรรเชียงเรือ
ทางลงเนินก็ปล่อยไหลพร้อมกับเร่ง
เครื่องส่งให้รถขึ้นเนินให้ถึงยอดเนิน
สุดท้ายต้องลงเข็น
ป่าสองข้างทาง เปลี่ยนเป็นป่าสน
สวยแปลกตา อากาศเย็นสบายสดชื่น
แล้วก็มาถึงทางเข้าอุทยานแห่งชาติ
น้ำหนาว เป้าหมายแรกของวันนี้
พวกเราหยุดพักกินอาหารรองท้อง
พักทั้งคนพักทั้งรถสักครู่เถอะ
หนทางที่ผ่านมายังจิ๊บๆ พอเลยป้าย
อุทยานน้ำหนาวไปทางยิ่งสูงชัน
ยิ่งกว่า เหนื่อยทั้งรถทั้งคนเข็น
ทางคดลดเลี้ยวซอกซอนไปใน
ท่ามกลางขุนเขา บางครั้งก็มาโผล่
อยู่บนสันภู เห็นแต่เทือกเขาเรียงตัว
ต่อกันไม่รู้จบสิ้น
เขียวพรึดสุดลูกหูลูกตา จรดขอบฟ้า
ขอบแผ่นดิน
จู่ๆทางก็ลาดลงๆ
ภาพเบื้องหน้า
คือโตรกเขาขนาดใหญ่
มีสะพานคอนกรีตทอดตัวข้ามโตรกเหว
แผ่นดินอีสานสิ้นสุดลงตรงนี้
ข้ามสะพานนี้ไปก็เป็นแดนเหนือ
อ.หล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์
หลังจากข้ามสะพานพ่อขุนผาเมือง
มาแล้ว หนทางก็เริ่มลาดลงเรื่อยๆ
บ้านเรือน ไร่สวนเห็นหนาตาขึ้น
อากาศก็ทวีความร้อนขึ้นตามลำดับ
การข้ามภูสิ้นสุดลงสู่เมือง เรารู้สึก
แปลกๆ อาลัยอาวรณ์ป่าเขา
ที่อยู่เบื้องหลัง ไม่รู้อีกกี่วันคืนจะได้
กลับมาไต่ภูน้ำหนาวอีกครั้ง
นายกับเราน้อมกายเข้าไปไหว้สา
พ่อขุนฯ ผู้เป็นพ่อขุนด่าน
คอยคุ้มภัย
ให้กับผู้รอนแรมผ่านช่องเขานี้
ขอความปลอดภัยและสิ่งอันอุดม
มงคลจงบังเกิดมีแก่ข้าพเจ้าและสหาย
ผู้เดินทางมาแสนไกลด้วยเถิด.
แต่ขอบฟ้าก็เลื่อนหนีห่าง
จากเราไปทุกที
สุดท้ายเราอาจไปได้แค่
ขอบของใจตัวเอง
เราออกเดินทางกันต่อ
มุ่งหน้าสู่พิษณุโลก
ภูเขาและภูเขาเราไต่ข้าม
"ไม่เมื่อยบ้างหรือ"
แม่ค้าไก่ปิ้งริมทางถามเรา
เราจะตอบอย่างไรได้
"เหมือนขายไก่ปิ้งจ้ะน้องสาว"
เสียงเครื่องยนต์ เสียงลม
เสียงใจมันคุยกัน
ตะวันรอนๆใจหวิวๆ
ต้องหาที่นอนแล้วหละ
อช.ทุ่งแสลงหลวงอยู่อีกไม่ไกล
เหมาะที่สุดที่จะเป็นที่พักแรมคืน
สักหนึ่งตื่น
หลังจากขออนุญาติจนท.อุทยาน
เรื่องการเข้าพักเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น
แสงตะวันกำลังจะลับหาย
เราขับรถไปที่ลานแคมป์ไฟ
อาศัยไฟหน้ารถแทนไฟฉาย
และตะเกียง
ต้นไม้ขนาด2-3คนขึ้นรายล้อม
เห็นเป็นเงาตะคุ่มๆ
ไม่รู้ว่าเป็นต้นอะไร
เราเร่งรีบปูผ้าพลาสติก
แล้วอ๊อดก็นำมุ้งนอนแบบที่ใช้
ตามบ้านออกมาจากกระเป๋าสัมภาระ
"เฮ้ย นี่หรือวะเต๊นท์ที่นายบอกว่ามี"
เราขำ แต่ก็เอาหละวะ
"มันกันยุงดีนา แม่เราบอกให้เอามาด้วย"
หลังจากมัดเชือกหูมุ้งเรียบร้อย
จัดข้าวของต่างๆเข้าที่
กองไฟกองเล็กๆก็ถูกก่อขึ้น
นั่งกินข้าวเหนียวไก่ปิ้งกับน้ำเปล่า
จากนั้นก่อนเข้ามุ้งเพื่อพักนอน
นายเดินไปรอบๆมุ้งพลาง
ว่าคาถาเสียงพึมพำ
นายว่ากันภยันอันตรายที่จะเข้ามา
กล้ำกลาย
เสียงนกร้องปลุกเราให้ตื่น
ใจอยากจะนอนมันอย่างนี้ นอนฟัง
เสียงป่าพนาไพรร้องเพลง
แสงแดดสาดมาเป็นลำ ทิ้งเงาไม้
ลงบนลานดิน
อยากหยุดทุกสิ่ง
ในขณะนี้ให้อยู่ตราบนิรันดร์
ไม่อยากไปไหน ไม่อยาก...ให้มีพรุ่งนี้
ไม่ใช่ตะเคียนธรรมดา แต่เป็นต้นตะเคียนทอง
ตื่นเช้ามาถึงรู้ ขนลุกขนชัน
ขณะที่เก็บมุ้งและข้าวของ
ลงในกระเป๋าและเป้
เด็กเล็กๆก็เข้ามาเมียงมอง
รุนหลังเพื่อนให้เข้ามาคุยกับ
พวกเรา ต่อแต่นั้นมิตรภาพน้อยๆ
ก็เกิดขึ้น ดังภาพถ่ายที่ประทับรอย
แห่งอารมณ์แย้มยิ้มของเด็กๆผู้เป็น
ลูกหลานของจนท.อุทยาน
ทุ่งแสลงหลวง
เราแวะเที่ยวในอุทยานไม่กี่ที่
สะพานสลิงข้ามลำน้ำเข็ก
และไม่ลืมล้างหน้าล้างตา
ที่ทิ้งคราบเปื้อนไว้แต่เมื่อวาน
ออกจากอุทยานมาได้ไม่ไกลนัก
มีน้ำตกวังนกแอ่น(สกุโณทยาน)
อยู่ริมถนน สายน้ำสีน้ำขุ่นทิ้งตัวลง
จากหน้าผา เราแวะเข้าไป
เพื่อเข้าห้องน้ำ แล้วเดินทางต่อไป