กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกที่เขียนในหมวดสยองขวัญ เป็นเรื่องจากประสบการณ์จริงที่พาลพบมากับตัวเอง
หากมีอะไรผิดพลาดประการใด ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว สมัยที่ผมยังเป็นนิสิตอยู่ที่มหาวิทยาชื่อดังแห่งหนึ่งของเมืองพิษณุโลก
เช้าวันหนึ่งในเดือนธันวาคม เป็นวันที่อากาศเย็นสบาย ผมลุกจากเตียงในหอพักเพื่ออาบน้ำเตรียมตัวไปเรียนที่คณะ
เป็นที่รู้ดีว่านิสิตของมหาวิทยาแห่งนี้นิยม ขับขี่มอเตอร์ไซค์เป็นหลักและตัวผมก็เช่นกัน
เมื่อเดินทางไปถึงคณะ ผมก็เข้าเรียนตามเวลาปกติ ซึ่งวันนั้นมีคลาสแค่เพียง 1 วิชา
พอเรียนเสร็จ ผมกับเพื่อนๆก็มานั่งสนทนากันตามประสาคนขี้คุย และคำถามหนึ่งก็ผุดขึ้นมาจากปากผม "ปีใหม่ไปเที่ยวไหนดีวะ"
ขณะนั้น"ไอ้กาญ"เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่ม ได้เอ่ยปากตอบผมว่า ..อึงมาเที่ยวบ้านอูดิ บ้านอูมีปาร์ตี้ปีใหม่ทุกปี ฟรีทุกอย่าง เพื่อนมากันเยอะ..
ซึ่งบ้านของกาญ นั้นก็อยู่ที่ อ.เมือง จังหวัดพิจิตร จาก มหาวิทยาลัยของเราใช้เวลาเดินทางเพียง 1 ชั่วโมง ผมเห็นว่าใกล้และเดินทางสะดวกดี
ด้วยความที่ผมไม่ได้กลับบ้านอยู่แล้วช่วงปีใหม่ เพราะบ้านผมค่อนข้างไกล จึงตอบปากรับคำในทันที
เวลาก็ดำเนินมาถึงช่วงใกล้ปีใหม่ สาขาที่ผมเรียนไม่มีคลาสตั้งแต่วันที่ 29 ธันวา ผมกับเพื่อนตกลงกันก่อนหน้านี้แล้วว่าเราจะเดินทางวันนี้เลย
ทางบ้านกาญค่อนข้างมีฐานะ ไม่แปลกที่มันจะมีรถยนต์สวยๆขับ และเราก็เริ่มออกเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว
เราออกจากมหาวิทยาลัยช่วงสายๆ การเดินทางตลอด 1 ชั่วโมงกว่าๆเป็นไปอย่างราบรื่น อากาศที่เย็นสบายทำให้ไม่ต้องเปิดแอร์
เพียงแค่ลดกระจกของรถลงทั้งสองฝั่งเพื่อรับอากาศภายนอก ทำให้รู้สึกได้ใกล้ชิดธรรมชาติมากยิ่งขึ้น และสดชื่นไปอีกแบบ
พอขับรถเข้าหมู่บ้านที่กาญอยู่ เหมือนหมู่บ้านตามต่างจังหวัดทั่วไปที่มีทั้งบ้าน วัด และโรงเรียนอยู่ใกล้ๆกัน
ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่เป็นมิตรต่อกันมาก ตลอดสองข้างทางมีแต่คนโบกมือทักทายไอ้กาญเพื่อนผม
กาญก็พูดกับผมพลางบังคับพวงมาลัยรถไปด้วยว่า คนแถวนี้ญาติๆอูหมด รู้จักกันทุกหลัง ตั้งรกรากกันมานานแล้ว อูก็เหมือนเป็นหลานๆเขานี่ละ
ในที่สุดเราก็มาถึงบ้านของกาญ ผมขอลงรถก่อนจะเลี้ยวรถเข้าบ้านเพื่อนเดินสำรวจรอบๆ ลักษณะพื้นที่บริเวณบ้านขนาดประมาณ 1 ไร่
เต็มไปด้วยต้นไม้ขนาดเล็กใหญ่ปะปนกันไป ทั้งต้นปาล์ม ต้นกล้วย หลังบ้านเป็นดงต้นมะนาว และต้นสัก ต้นยางนา ท้ายสุดติดรั้วหลังบ้านเป็นบ่อน้ำ
ภายในพื้นที่ 1ไร่นั้น จะมีบ้านอยู่2หลังเป็นบ้านใต้ถุนสูงทั้งคู่ หลังแรกเมื่อเข้าจากรั้วหน้าบ้านไปเป็นบ้านไม้ ลึกเข้าไปอีกประมาณ 15 เมตร เป็นบ้านปูน
ซึ่งกาญจะแยกกันอยู่กับพ่อแม่ ส่วนของบ้านไม้ปกติกาญจะนอนกับพี่ชาย(พี่เกต)แค่2คน ส่วนบ้านปูนพ่อกับแม่จะอยู่ด้วยกัน
เมื่อเดินเข้าบ้านผมสังเกตความผิดปกติได้ชัดเจนหนึ่งอย่างคือ "ฮวงจุ้ย" บ้านหลังนี้แปลกมากตรงที่ทุกประตูในบ้านทะลุถึงกันหมด
หากผมยืนอยู่หน้ารั้วบ้าน ประตูบ้านไม้ จะตรงกับรั้วบ้านพอดี และประตูบ้านไม้ จะตรงกับประตูห้องนั่งเล่นในตัวบ้าน
ส่วนประตูห้องนั่งเล่น จะตรงกับประตูออกหลังบ้าน ถ้าเปิดประตูทุกบานจะมองทะลุออกเห็นบ้านปูนได้เลย
ซึ่งตามความเชื่อของคนทั่วไปมักจะเรียกลักษณะบ้านแบบนี้ว่า "ทางผีผ่าน" ผมรู้สึกขนลุกไม่น้อยแต่พยายามไม่วิตก
คิดไปว่าคนแถวนี้เขาอาจจะไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ จึงไม่ซีเรียสกับ ฮวงจุ้ย ก็เป็นได้
พอตกช่วงบ่ายแก่ๆ หลังจากเราพักผ่อนกันได้สักพักใหญ่ๆ เพื่อนผมจึงชวนไปไหว้พระที่วัดในหมู่บ้าน
ระยะห่างจากบ้านกาญไปถึงวัดประมาณ 200 เมตร ถือว่าใกล้มากเราจึงตกลงเดินไป
ทุกคนคงรู้อยู่แล้วว่าสมญานามของจังหวัดพิจิตรนั่นคือ "เมืองชาละวัน" ซึ่งวัดนี้ได้คงความเอกลักษณ์ของจังหวัดนี้ไว้
โดยการมีจรเข้อยู่ในบ่อ 1 ตัว ขนาดไม่ใหญ่มาก ยาวประมาณ 1 เมตร พอเดาได้ว่ายังโตไม่เต็มวัย
หลังจากดูจรเข้ เราก็มุ่งตรงไปที่อุโบสถจุดธูปกราบไหว้พระอยู่ครู่หนึ่ง ขากลับตอนเราเดินกำลังจะออกจากอุโบสถ
เราทั้งคู่ก็ได้พบกับพระรูปนึงอายุราวๆ60ปลายๆ ท่าทางใจดีมีเมตตา ยิ้มให้กับเราทั้งคู่ เพื่อนผมจึงก้มลงกราบ
และผมก็ได้รู้ว่าท่านเป็นเจ้าอาวาสของวัดแห่งนี้ คำแรกที่ท่านทักเราคือ "โยมกาญ เพื่อนโยมกำลังดวงตกนะ อย่าประมาทกับการใช้ชีวิตละ"
คนที่หลวงพ่อหมายถึงก็คือผมนั่นเอง ตอนนั้นจิตผมตกไปอยู่ตาตุ่ม แต่ก็พลางทำใจดีสู้เสือ ชวนหลวงพ่อคุยเรื่องจรเข้
ผมก็ถามท่านว่าท่านไปเอามาจากไหน ท่านตอบผมด้วยน้ำเสียงใจดีว่า อาตมารับมาจากชาวบ้านอีกที
จรเข้ตัวนี้น่าจะหลุดมาจากที่ไหนสักแห่ง ครั้นจะปล่อยไว้ก็กลัวมันโดนรถเหยียบตาย หรือไปกัดเป็ด กัดไก่ชาวบ้านเขา อาตมาจึงรับมา
เราทั้งคู่นั่งสนทนากับหลวงพ่ออยู่ครู่นึง หลวงพ่อรูปนี้ถือว่าเป็นญาติห่างๆคนหนึ่งของไอ้กาญท่านหนึ่ง
ท่านก็เล่าประวัติหมู่บ้านนี้ ความเป็นมาต่างๆให้เราทั้งคู่ฟัง จนเวลาล่วงเลยมาประมาณเกือบ4โมงเย็น เราจึงขอลากลับ
ขณะที่เราเดินกลับผมก็รู้สึกไม่สบายใจเท่าไหร่นักกับคำที่หลวงพ่อทัก ทำให้ผมค่อนข้างที่จะกลัวว่าจะเกิดอะไรไม่ดี
แต่ผมยังจำประโยคที่ท่านพูดได้ว่า "จงอย่าประมาทกับการใช้ชีวิต" ผมจึงระลึกถึงคำนี้ และมันก็ช่วงคลายความกังวลได้บ้างเล็กน้อย
หัวค่ำเราก็ได้ทานอาหารกันพร้อมหน้า พร้อมตา ทั้งกาญ พี่เกต พ่อแม่กาญ และผม
พ่อแม่ก็ได้พูดคุยถามไถ่ถึงที่บ้านผม เรื่องเรียน เรื่องแฟน รวมถึงเรื่องกาญ
และพ่อกับแม่ก็พูดเชิงฝากดูแลกาญหน่อยนะเกี่ยวกับเรื่องเรียน เพราะกาญเป็นคนหัวช้า ซึ่งต่างจากผมที่ค่อนข้างเข้าใจอะไรง่าย
ตกดึกเราได้อาบน้ำอาบท่า เล่นเกม และนอนคุยกัน บ้านไม้ที่เรานอนนั้นมีทั้งหมดสองห้องนอน
แต่ผม กาญ พี่เกต ได้ตกลงกันว่าจะมานอนสุมอยู่ห้องเดียวกัน จะได้เล่นเกมด้วยกันและนอนคุยกันสะดวก
จนเวลาล่วงเลยมาประมาณ 5 ทุ่มเราทั้งสามคนจึงได้พากันนอน เพราะพรุ่งนี้เราต้องเตรียมของแต่งบ้าน เตรียมจัดงานปาร์ตี้ปีใหม่แต่เช้า
ตัวผมนั้นนอนบนเตียงกับพี่เกต2คน ปล่อยให้ไอกาญเจ้าของบ้านมันนอนอยู่ที่พื้นคนเดียว(แอบสะใจเล็กๆ555)
เวลาผ่านไปผมคิดว่าตัวเองหลับไปประมาณ2ชั่วโมงได้ จู่ๆก็รู้สึกแปลกๆครั่นเนื่อครั่นตัว จากครั่นเนื้อครั่นตัวก็เริ่มเป็นอาการหายใจลำบาก
ผมสามารถขยับแขนขยับขาได้ สะลึมสะลือขึ้นมา จึงแน่ใจว่าไม่ได้เป็นอาการโดนผีอำแน่นอน
แต่สิ่งที่ผมเห็นตรงหน้า ทำให้ผมใจเสียขึ้นไปอีก เพราะมันน่ากลัวกว่าการโดนผีอำหลายเท่า
ที่ปลายเท้าของผมมีผู้หญิงคนหนึ่ง ใส่ชุดสีออกขาวๆหรือเทาไม่แน่ใจเพราะด้วยความมืด นั่งยองๆมองหน้าเขม่นมาทางผม
ผมยาวฟูรุงรังดูสกปรก นัย์ตามีประกายสีแดงจนน่าขนลุก ที่สำคัญปากเธอกว้างผิดมนุษย์มนาและมีลิ้นที่ยาวมาก คล้ายกับกบ
ลิ้นที่ยาวของเธอนั้นพาดยาวออกมา จนสามารถวางบนตัวผมได้
เมื่อผมก้มลงมองที่หน้าอกตัวเอง อาการที่เรียกว่าสติหลุดก็เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เมื่อภาพที่ผมเห็นคือลิ้นของเธอคนนั้นกำลังพันคอผมอยู่ ทำให้ผมหายใจได้ไม่สะดวก
พรางจะเรียกให้พี่เกตช่วยเสียงผมมันก็ไม่ออกมาจากลำคอ
ตอนนั้นมันมีเส้นบางๆระวังความเป็นกับความตาย ในใจผมคิดว่าถ้าไม่มีใครสักคนมาช่วย
"ผมอาจจะต้องไปอยู่ภพเดียวกับผู้หญิงคนนั้นก็ได้"
..............................................................................................................................................
เดี๋ยวมาต่อนะครับ ขอทำงานก่อน ถ้าว่างจะรีบมาลงให้เร็วที่สุดครับ
ปล.เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
ปีใหม่.. สยองขวัญ
หากมีอะไรผิดพลาดประการใด ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว สมัยที่ผมยังเป็นนิสิตอยู่ที่มหาวิทยาชื่อดังแห่งหนึ่งของเมืองพิษณุโลก
เช้าวันหนึ่งในเดือนธันวาคม เป็นวันที่อากาศเย็นสบาย ผมลุกจากเตียงในหอพักเพื่ออาบน้ำเตรียมตัวไปเรียนที่คณะ
เป็นที่รู้ดีว่านิสิตของมหาวิทยาแห่งนี้นิยม ขับขี่มอเตอร์ไซค์เป็นหลักและตัวผมก็เช่นกัน
เมื่อเดินทางไปถึงคณะ ผมก็เข้าเรียนตามเวลาปกติ ซึ่งวันนั้นมีคลาสแค่เพียง 1 วิชา
พอเรียนเสร็จ ผมกับเพื่อนๆก็มานั่งสนทนากันตามประสาคนขี้คุย และคำถามหนึ่งก็ผุดขึ้นมาจากปากผม "ปีใหม่ไปเที่ยวไหนดีวะ"
ขณะนั้น"ไอ้กาญ"เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่ม ได้เอ่ยปากตอบผมว่า ..อึงมาเที่ยวบ้านอูดิ บ้านอูมีปาร์ตี้ปีใหม่ทุกปี ฟรีทุกอย่าง เพื่อนมากันเยอะ..
ซึ่งบ้านของกาญ นั้นก็อยู่ที่ อ.เมือง จังหวัดพิจิตร จาก มหาวิทยาลัยของเราใช้เวลาเดินทางเพียง 1 ชั่วโมง ผมเห็นว่าใกล้และเดินทางสะดวกดี
ด้วยความที่ผมไม่ได้กลับบ้านอยู่แล้วช่วงปีใหม่ เพราะบ้านผมค่อนข้างไกล จึงตอบปากรับคำในทันที
เวลาก็ดำเนินมาถึงช่วงใกล้ปีใหม่ สาขาที่ผมเรียนไม่มีคลาสตั้งแต่วันที่ 29 ธันวา ผมกับเพื่อนตกลงกันก่อนหน้านี้แล้วว่าเราจะเดินทางวันนี้เลย
ทางบ้านกาญค่อนข้างมีฐานะ ไม่แปลกที่มันจะมีรถยนต์สวยๆขับ และเราก็เริ่มออกเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว
เราออกจากมหาวิทยาลัยช่วงสายๆ การเดินทางตลอด 1 ชั่วโมงกว่าๆเป็นไปอย่างราบรื่น อากาศที่เย็นสบายทำให้ไม่ต้องเปิดแอร์
เพียงแค่ลดกระจกของรถลงทั้งสองฝั่งเพื่อรับอากาศภายนอก ทำให้รู้สึกได้ใกล้ชิดธรรมชาติมากยิ่งขึ้น และสดชื่นไปอีกแบบ
พอขับรถเข้าหมู่บ้านที่กาญอยู่ เหมือนหมู่บ้านตามต่างจังหวัดทั่วไปที่มีทั้งบ้าน วัด และโรงเรียนอยู่ใกล้ๆกัน
ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่เป็นมิตรต่อกันมาก ตลอดสองข้างทางมีแต่คนโบกมือทักทายไอ้กาญเพื่อนผม
กาญก็พูดกับผมพลางบังคับพวงมาลัยรถไปด้วยว่า คนแถวนี้ญาติๆอูหมด รู้จักกันทุกหลัง ตั้งรกรากกันมานานแล้ว อูก็เหมือนเป็นหลานๆเขานี่ละ
ในที่สุดเราก็มาถึงบ้านของกาญ ผมขอลงรถก่อนจะเลี้ยวรถเข้าบ้านเพื่อนเดินสำรวจรอบๆ ลักษณะพื้นที่บริเวณบ้านขนาดประมาณ 1 ไร่
เต็มไปด้วยต้นไม้ขนาดเล็กใหญ่ปะปนกันไป ทั้งต้นปาล์ม ต้นกล้วย หลังบ้านเป็นดงต้นมะนาว และต้นสัก ต้นยางนา ท้ายสุดติดรั้วหลังบ้านเป็นบ่อน้ำ
ภายในพื้นที่ 1ไร่นั้น จะมีบ้านอยู่2หลังเป็นบ้านใต้ถุนสูงทั้งคู่ หลังแรกเมื่อเข้าจากรั้วหน้าบ้านไปเป็นบ้านไม้ ลึกเข้าไปอีกประมาณ 15 เมตร เป็นบ้านปูน
ซึ่งกาญจะแยกกันอยู่กับพ่อแม่ ส่วนของบ้านไม้ปกติกาญจะนอนกับพี่ชาย(พี่เกต)แค่2คน ส่วนบ้านปูนพ่อกับแม่จะอยู่ด้วยกัน
เมื่อเดินเข้าบ้านผมสังเกตความผิดปกติได้ชัดเจนหนึ่งอย่างคือ "ฮวงจุ้ย" บ้านหลังนี้แปลกมากตรงที่ทุกประตูในบ้านทะลุถึงกันหมด
หากผมยืนอยู่หน้ารั้วบ้าน ประตูบ้านไม้ จะตรงกับรั้วบ้านพอดี และประตูบ้านไม้ จะตรงกับประตูห้องนั่งเล่นในตัวบ้าน
ส่วนประตูห้องนั่งเล่น จะตรงกับประตูออกหลังบ้าน ถ้าเปิดประตูทุกบานจะมองทะลุออกเห็นบ้านปูนได้เลย
ซึ่งตามความเชื่อของคนทั่วไปมักจะเรียกลักษณะบ้านแบบนี้ว่า "ทางผีผ่าน" ผมรู้สึกขนลุกไม่น้อยแต่พยายามไม่วิตก
คิดไปว่าคนแถวนี้เขาอาจจะไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ จึงไม่ซีเรียสกับ ฮวงจุ้ย ก็เป็นได้
พอตกช่วงบ่ายแก่ๆ หลังจากเราพักผ่อนกันได้สักพักใหญ่ๆ เพื่อนผมจึงชวนไปไหว้พระที่วัดในหมู่บ้าน
ระยะห่างจากบ้านกาญไปถึงวัดประมาณ 200 เมตร ถือว่าใกล้มากเราจึงตกลงเดินไป
ทุกคนคงรู้อยู่แล้วว่าสมญานามของจังหวัดพิจิตรนั่นคือ "เมืองชาละวัน" ซึ่งวัดนี้ได้คงความเอกลักษณ์ของจังหวัดนี้ไว้
โดยการมีจรเข้อยู่ในบ่อ 1 ตัว ขนาดไม่ใหญ่มาก ยาวประมาณ 1 เมตร พอเดาได้ว่ายังโตไม่เต็มวัย
หลังจากดูจรเข้ เราก็มุ่งตรงไปที่อุโบสถจุดธูปกราบไหว้พระอยู่ครู่หนึ่ง ขากลับตอนเราเดินกำลังจะออกจากอุโบสถ
เราทั้งคู่ก็ได้พบกับพระรูปนึงอายุราวๆ60ปลายๆ ท่าทางใจดีมีเมตตา ยิ้มให้กับเราทั้งคู่ เพื่อนผมจึงก้มลงกราบ
และผมก็ได้รู้ว่าท่านเป็นเจ้าอาวาสของวัดแห่งนี้ คำแรกที่ท่านทักเราคือ "โยมกาญ เพื่อนโยมกำลังดวงตกนะ อย่าประมาทกับการใช้ชีวิตละ"
คนที่หลวงพ่อหมายถึงก็คือผมนั่นเอง ตอนนั้นจิตผมตกไปอยู่ตาตุ่ม แต่ก็พลางทำใจดีสู้เสือ ชวนหลวงพ่อคุยเรื่องจรเข้
ผมก็ถามท่านว่าท่านไปเอามาจากไหน ท่านตอบผมด้วยน้ำเสียงใจดีว่า อาตมารับมาจากชาวบ้านอีกที
จรเข้ตัวนี้น่าจะหลุดมาจากที่ไหนสักแห่ง ครั้นจะปล่อยไว้ก็กลัวมันโดนรถเหยียบตาย หรือไปกัดเป็ด กัดไก่ชาวบ้านเขา อาตมาจึงรับมา
เราทั้งคู่นั่งสนทนากับหลวงพ่ออยู่ครู่นึง หลวงพ่อรูปนี้ถือว่าเป็นญาติห่างๆคนหนึ่งของไอ้กาญท่านหนึ่ง
ท่านก็เล่าประวัติหมู่บ้านนี้ ความเป็นมาต่างๆให้เราทั้งคู่ฟัง จนเวลาล่วงเลยมาประมาณเกือบ4โมงเย็น เราจึงขอลากลับ
ขณะที่เราเดินกลับผมก็รู้สึกไม่สบายใจเท่าไหร่นักกับคำที่หลวงพ่อทัก ทำให้ผมค่อนข้างที่จะกลัวว่าจะเกิดอะไรไม่ดี
แต่ผมยังจำประโยคที่ท่านพูดได้ว่า "จงอย่าประมาทกับการใช้ชีวิต" ผมจึงระลึกถึงคำนี้ และมันก็ช่วงคลายความกังวลได้บ้างเล็กน้อย
หัวค่ำเราก็ได้ทานอาหารกันพร้อมหน้า พร้อมตา ทั้งกาญ พี่เกต พ่อแม่กาญ และผม
พ่อแม่ก็ได้พูดคุยถามไถ่ถึงที่บ้านผม เรื่องเรียน เรื่องแฟน รวมถึงเรื่องกาญ
และพ่อกับแม่ก็พูดเชิงฝากดูแลกาญหน่อยนะเกี่ยวกับเรื่องเรียน เพราะกาญเป็นคนหัวช้า ซึ่งต่างจากผมที่ค่อนข้างเข้าใจอะไรง่าย
ตกดึกเราได้อาบน้ำอาบท่า เล่นเกม และนอนคุยกัน บ้านไม้ที่เรานอนนั้นมีทั้งหมดสองห้องนอน
แต่ผม กาญ พี่เกต ได้ตกลงกันว่าจะมานอนสุมอยู่ห้องเดียวกัน จะได้เล่นเกมด้วยกันและนอนคุยกันสะดวก
จนเวลาล่วงเลยมาประมาณ 5 ทุ่มเราทั้งสามคนจึงได้พากันนอน เพราะพรุ่งนี้เราต้องเตรียมของแต่งบ้าน เตรียมจัดงานปาร์ตี้ปีใหม่แต่เช้า
ตัวผมนั้นนอนบนเตียงกับพี่เกต2คน ปล่อยให้ไอกาญเจ้าของบ้านมันนอนอยู่ที่พื้นคนเดียว(แอบสะใจเล็กๆ555)
เวลาผ่านไปผมคิดว่าตัวเองหลับไปประมาณ2ชั่วโมงได้ จู่ๆก็รู้สึกแปลกๆครั่นเนื่อครั่นตัว จากครั่นเนื้อครั่นตัวก็เริ่มเป็นอาการหายใจลำบาก
ผมสามารถขยับแขนขยับขาได้ สะลึมสะลือขึ้นมา จึงแน่ใจว่าไม่ได้เป็นอาการโดนผีอำแน่นอน
แต่สิ่งที่ผมเห็นตรงหน้า ทำให้ผมใจเสียขึ้นไปอีก เพราะมันน่ากลัวกว่าการโดนผีอำหลายเท่า
ที่ปลายเท้าของผมมีผู้หญิงคนหนึ่ง ใส่ชุดสีออกขาวๆหรือเทาไม่แน่ใจเพราะด้วยความมืด นั่งยองๆมองหน้าเขม่นมาทางผม
ผมยาวฟูรุงรังดูสกปรก นัย์ตามีประกายสีแดงจนน่าขนลุก ที่สำคัญปากเธอกว้างผิดมนุษย์มนาและมีลิ้นที่ยาวมาก คล้ายกับกบ
ลิ้นที่ยาวของเธอนั้นพาดยาวออกมา จนสามารถวางบนตัวผมได้
เมื่อผมก้มลงมองที่หน้าอกตัวเอง อาการที่เรียกว่าสติหลุดก็เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เมื่อภาพที่ผมเห็นคือลิ้นของเธอคนนั้นกำลังพันคอผมอยู่ ทำให้ผมหายใจได้ไม่สะดวก
พรางจะเรียกให้พี่เกตช่วยเสียงผมมันก็ไม่ออกมาจากลำคอ
ตอนนั้นมันมีเส้นบางๆระวังความเป็นกับความตาย ในใจผมคิดว่าถ้าไม่มีใครสักคนมาช่วย
"ผมอาจจะต้องไปอยู่ภพเดียวกับผู้หญิงคนนั้นก็ได้"
..............................................................................................................................................
เดี๋ยวมาต่อนะครับ ขอทำงานก่อน ถ้าว่างจะรีบมาลงให้เร็วที่สุดครับ
ปล.เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน