(บทความ...นายพระรอง) ความกลัวจากบทเรียนประชาธิปไตยที่ประชาชนเคยสอน

พาดหัวกะทู้ ดูน่าเสียวไส้ว่าอาจจะไม่ได้ไปต่อสำหรับกะทู้นี้
       เพราะดันมีคำว่าประชาธิปไตยซึ่งอาจผิดกฎหมายหากนำมาแสดงความเห็นในห้องการเมือง .....เฮ้อ แต่ก็เอาเถอะ ในเมื่อความตั้งใจของผู้เขียน คือการแลกเปลี่ยนความเห็นเพื่อสร้างความเข้าใจ โดยหวังว่าสถานการณ์ประชาธิปไตยในบ้านเราจะดีขึ้น ผลที่จะเกิดขึ้นต่อไปอย่างไรก็ช่างมัน (เฮ้ย นี้มันข้ออ้างเดียวกับการปิดสนามบินเลยนี้..!!! เหน็บฝ่ายตรงข้ามไปหนึ่งดอก เป็นการยืดอกประกาศให้ทุกคนรู้ว่า ตัวเองยังพร้อมเสมอให้การทะเลาะกับฝ่ายตรงข้าม แต่ไม่พร้อมเลยที่จะมาทะเลาะกันเอง)

       ต้องยอมรับว่าครั้งหนึ่งผู้มีอำนาจในบ้านเมืองนี้ เคยมีความคิดว่าประชาชนยังไม่พร้อมต่อระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ทั้งที่ตนเองและคณะผู้ก่อการตัดสินใจนำมาใช้ในการเปลี่ยนแปลงการปกครองภายในประเทศ ซึ่งที่กล่าวถึงนี้ คือการเปลี่ยนแปลง 2475 ของ คณะราษฎร ซึ่งร่างกติกาการปกครองครั้งแรกใน พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม 2475 ที่กำหนดให้ตัวแทนราษฎรมาจากการคัดสรรกันเองของคณะผู้มีอำนาจ โดยเขียนต่อไว้ในวงเล็บว่า เมื่อวันหนึ่งที่ประชาชนพร้อมก็จะยอมให้ประชาชนมีสิทธิ์ในการเลือกสรรตัวแทนของตัวเอง

       ผ่านมา 85 ปีแล้ว มุมมองของผู้มีอำนาจในประเทศไทยที่มีต่อประชาชนก็ยังไม่เปลี่ยนไป ยังคงมองเห็นว่า ประชาชนในชาตินั้นยังไม่พร้อมสำหรับการเลือกตัวแทนของตนเองอยู่ดี จึงมีการแต่งตั้งคณะบุคคลจำนวน 250 คน มาทำหน้าที่ตัวแทนประชาชนในวุฒิสภา อีกทั้งยังหาวิธีต่างๆนาๆที่จะมาทำให้การเลือกตัวแทนของประชาชนในสภาผู้แทนราษฎร จนไม่สามารถสะท้อนหรือวัดผลความนิยมได้ จากระบบคิดคะแนนแบบจัดสรรปันส่วน ในระบบการเลือกตั้ง สิ่งต่างๆเหล่านี้แม้ไม่ต้องพูดถึงวัตถุประสงค์ของการกำหนดกฎเกณฑ์ ประชาชนที่ยังคงเป็นพวกที่ไม่พร้อมทางประชาธิปไตยในสายตาของคณะปกครอง ต่างก็รู้ดีว่า เพราะอะไร ทำไมถึงได้กำหนดกฎเกณฑ์แบบนี้ขึ้นมา

เพราะจริงๆแล้วประชาชนไม่ได้โง่ หรือว่าไม่พร้อมอะไรเลย
       ตรงกันข้ามที่ประชาชนในประเทศนี้ต่างหากที่พร้อมมานานแล้ว พร้อมที่จะใช้สิทธิในการแสดงออกทางการเมืองอย่างเสรี แต่ติดตรงที่คนบางกลุ่มยังไม่พร้อมที่จะยอมให้เป็นเช่นนั้น ดังนั้น ถ้ากล่าวให้ถูกต้อง ว่าเหตุผลที่ประชาธิปไตยของชาติเราทำไมก้าวหน้าไปได้ช้า คำตอบที่ถูกต้องจริงๆก็คือว่า กลุ่มคนบางกลุ่มยังไม่พร้อมสำหรับระบอบการปกครองแบบนี้ ไม่ใช่มาอ้างว่าประชาชนยังไม่พร้อม

พอรู้แบบนี้ ก็ต้องร้องว่า อ้าว...เห้ย ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี้นา

*บทความนี้เขียนในลักษณะ ระหว่างเนื้อหาสาระของบทความสลับคั่นกับการคุยกับตัวเองเป็นระยะ ก็เพราะว่า ผู้เขียนเริ่มไม่รู้จะคุยกับใคร เพราะหันไปมองทางไหน ก็เห็นแต่พรรคพวกเพื่อนฝูงต่างมะรุมมะตุ้มตีกันเองอยู่ ปล่อยให้เหลืออยู่ไม่กี่คน ที่สนใจจะใช้ห้องการเมืองคุยเรื่องการเมือง (เหน็บฝั่งตัวเองบ้าง ไม่งั้นเดี๋ยวจะว่าลำเอียงเห็นบแต่ฝ่ายตรงข้าม)

       หลักฐานที่เป็นรูปธรรมที่ประชาชนแสดงให้เห็นชัดเจน ว่าตนเองนั้นพร้อมแค่ไหนกับการอยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย คือ ไม่มีสักครั้งเลยในการเลือกตั้งหลังการยึดอำนาจ ที่ประชาชนเลือกตัวแทนของตนเองที่เป็นนักการเมืองในพรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสืบทอดอำนาจ ซึ่งการแสดงออกเช่นนี้ของประชาชน ก็รู้ได้ทันทีว่าประชาชนส่วนใหญ่นั้นไม่เอาพวกที่ไม่เข้าใจหลักการประชาธิปไตย ที่ชอบเข้ามายื้อแย่งสิทธิเสรีภาพของพวกเขา

       หากประวัติศาสตร์ประชาธิปไตย 85 ปี ถูกบันทึกเป็นตำรา ก็มีอยู่หลายบทหลายหน้าที่ประชาชนรุ่นก่อนๆหน้านี้ได้บันทึกเอาสอนคนรุ่นหลังต่อไปเอาไว้ว่า พวกเขาทำเช่นไรกับคนที่เข้ามายื้อแย่งอำนาจไปจากพวกเขา ตัวผู้เขียนเองก็ยอมรับตามตรงว่าตอนนี้ไม่รู้คำนิยามที่แท้จริงของคำว่า ประชาธิปไตย ที่ถูกสอนกันอยู่ในตำราเรียน ไม่รู้ว่าที่ตัวเองเรียนมานั้นถูกต้องหรือไม่ เพราะช่วงหลัง 10 ปีมานี้ ความหมายมันผิดเพี้ยนไปตามวิธีคิดของคนที่ตีความที่ไม่เคยเหมือนกันเลยหากมาจากคนละฝั่งฝากอุดมการณ์ รู้แต่ว่าหากแปลกันตามความหายของหลักภาษา คำว่า ประชาธิปไตย นั้นหมายถึง อำนาจประชาชน และหากให้ตนเอง(หมายถึงตัวผู้เขียน) เป็นผู้ให้คำนิยามตามความเข้าใจที่มีต่อระบอบการปกครองนี้ ก็คงจะให้คำจัดกัดความได้ว่า “ระบอบการปกครอง ที่ประชาชนมีสิทธิ เสรีภาพที่เท่าเทียมกัน ภายใต้การบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียม

       แน่นอน พอมีคำว่า “เท่าเทียม” ปุ๊บ คำนิยามของผมก็ขัดแย้งกับบทบัญญัติสูงสุดของระบอบประชาธิปไตย 2560 ทันที ทั้งที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ได้รับฉันทามติจากประชาชนถึง 17 ล้านเสียง แล้วทำไมผมซึ่งเป็นเพียงคนธรรมดาเพียงคนเดียว ถึงได้กล้าเถียงว่า ผมก็คงต้องยกตัวบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา ที่ว่าด้วยที่มาของ ส.ว.หรือสมาชิกวุฒิสภา ที่บทเฉพาะกาลกำหนดให้ คณะวุฒิสภามีจำนวน 250 คน โดยมาจากการคัดสรร ของ คณะผู้มีอำนาจทั้งหมด ทั้งที่ตำแหน่งวุฒิสภานี้ เป็นตำแหน่งที่ถูกกำหนดบทบาทหน้าที่ให้เป็นตัวแทนประชาชน แต่กลับถูกคนเพียงไม่กี่คนเป็นผู้คัดสรร นั้นแสดงให้อย่างชัดเจนในการใช้สิทธิอย่างเท่าเทียมในการเลือกตัวแทนมันไม่มีจริง

       ยิ่งไปกว่านั้น คณะบุคคลที่มาทำหน้าที่ตัวแทนประชาชนแต่ไม่ได้มาจากประชาชนอย่าง 250 ส.ว.นี้ กลับมีอำนาจเลือกผู้นำที่จะเข้ามาทำหน้าที่บริหารอำนาจของประชาชนในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกด้วย ซึ่งข้อกำหนดแบบนี้ชี้ชัดได้เลยถึงความไม่เท่าเทียมในการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชน ซึ่งน่าจะเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของระบอบประชาธิปไตย พอมีคนทักท้วงทวงถาม ก็ได้คำตอบที่ว่า “นี้คือประชาธิปไตยแบบไทยๆ” ซึ่งมันไม่ Make sense หรือสมเหตุสมผลกับระบอบที่สำคัญที่สุดในการใช้ปกครองประเทศเลย

       ผู้ที่ร่ำเรียนในสาขาวิชารัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ มาจนเชี่ยวชาญ เป็นระดับครูบาอาจารย์หลายๆท่าน ก็พากันออกมาคาดการณ์ล่วงหน้าว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้จะสร้างปัญหาทางการเมืองต่อไปในอนาคต เพราะความไม่เป็นประชาธิปไตยที่ถูกเขียนไว้ในตัวรัฐธรรมนูญเอง ซึ่งผมเองถึงไม่อยากจำขี้ปากใครมาพูด แต่ก็จำต้องหยิบนำคำนี้มาใช้ เพราะมองไม่เห็นว่าคำไหนจะบ่งบอกเรื่องราวปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศของเราได้ดีไปกว่าคำนี้ กับอมตะวาจาของนักการเมืองอาวุโสผู้ล่วงลับไปแล้วอย่างท่าน อดีต นายกฯ สมัคร สุนทรเวช ที่กล่าวไว้ว่า “ความกลัวทำให้เสื่อม

เพราะกลัวตัวเองจะสูญเสียอำนาจหากปล่อยให้ประชาชนใช้สิทธิเสรีภาพของตนเองอย่างอิสระภายใต้กฎหมาย
เพราะกลัวอีกฝ่ายซึ่งตนเองพลักไสให้เป็นศัตรูจะเป็นผู้ชนะในเกมส์ชิงอำนาจทางการเมือง
เพราะกลัวตนเองและพรรคพวกจะถูกเล่นงานภายหลัง หากสุดท้ายแล้วยังกุมอำนาจตามกติกาไม่ได้
เพราะกลัวจนต้องเขียนกติกาขึ้นมาทำลายความเป็นประชาธิปไตยเพื่อให้ตนเองได้เปรียบทางการเมือง
เพราะกลัวประชาชนที่เข้าใจประชาธิปไตยมากกว่าตัวเองจึงได้สร้างคำว่าประชาธิปไตยแบบไทยๆมาเป็นนิยามใหม่ของระบอบการปกครอง

       ผมซึ่งมองจากล่างสุดของสังคมชนชั้นในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ก็เห็นว่า ก็สมควรต้องกลัวล่ะครับ เพราะที่ผ่านมาประชาชนรุ่นก่อนยุคก่อน ก็เคยสอนบทเรียนทางประชาธิปไตยให้กับคนพวกนี้มาแล้ว เพียงแต่คนจำพวกนี้ไม่ยอมจำ พยายามจะทำการรื้อระบบเพื่อสร้างสะพานในการครอบครองอำนาจต่อ ซึ่งก็ต้องวัดผลกันเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ในวันที่ประชาชนได้ใช้สิทธิเสรีภาพของตนเองอีกครั้ง ว่าประชาชนยุคนี้จะยังให้บทเรียนประชาธิปไตยแบบเดิมกับกลุ่มคนที่ไม่ยอมเข้าใจคำว่าประชาธิปไตยอีกครั้งหรือเปล่า

อีกไม่นานพวกเราในที่นี้ ห้องราชดำเนินแห่งนี้
ซึ่งสนใจการเมืองเป็นหลัก(มั้ง) ก็จะได้รู้คำตอบกันครับ

นายพระรอง
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
ผ่านมา 85 ปี มุมมองของผู้มีอำนาจในประเทศไทยที่มีต่อประชาชนก็ยังไม่เปลี่ยนไปจริง แต่ลึกๆแล้วไม่ได้มองว่า ประชาชนในชาตินั้นยังไม่พร้อมสำหรับการเลือกตัวแทนของตน แต่เพราะประชาชนไม่เลือกต่างหาก จึงต้องมีวิธีการเพื่อก้าวขึ้นสู่อำนาจด้วยวิธีลัด

ตั้งแต่ปี 2475 ผ่านมา 85 ปี ประเทศไทย มี

- ปฏิวัติ 1 ครั้ง คือการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
- กบฏ 13 ครั้ง (การรัฐประหาร/ปฏิวัติ ไม่สำเร็จ)
- รัฐประหาร 13 ครั้ง (การรัฐประหารสำเร็จ)
- รัฐธรรมนูญ 20 ฉบับ (รวมฉบับปัจจุบัน)

ค่าเฉลี่ยทางตัวเลข

- มีการล้มรัฐบาลสำเร็จทุกๆ  6.5 ปี
- ถ้ารวมแบบสำเร็จและไม่สำเร็จแปลว่าจะเกิดความวุ่นวายทุกๆ 3.15 ปี
- มีการเขียน รธน. ใหม่ทุกๆ 4.25 ปี

รธน. ในปัจจจบัน มีการแต่งตั้งคณะบุคคลจำนวน 250 คน มาทำหน้าที่ตัวแทนประชาชนในวุฒิสภา (ในช่วง 5 ปีแรก) และทำหน้าที่โหวตเลือกนายกฯได้ สว. ทั้ง 250 คนนี้ถูกเลือกมาจากคณะเดียว โอกาสเป็นไปได้สูงที่จะโหวตเลือกนายกฯในทางเดียวกัน และเป็นคะแนนเสียงกินเปล่าจากจำนวนผู้มีสิทธิ์โหวตเลือกนายกฯ 1 ใน 3 จากทั้งหมด 750 เสียง (ส.ส.500 + ส.ว. 250)

สำหรับการแก้ไขหรือเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ หากมองว่าปัญหาที่จะเกิดขึ้นในการนำมาใช้จริง มาลองดูกันคร่าวๆว่าเราๆท่านๆรวมไปถึงผู้ทำหน้าที่ผู้แทนในสภา จะทำอย่างไรได้บ้าง

การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

มาตรา ๒๕๕ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่เป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ จะกระทํามิได้

มาตรา ๒๕๖ ภายใต้บังคับมาตรา ๒๕๕ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ให้กระทําได้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ดังต่อไปนี้


(๑) ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมต้องมาจากคณะรัฐมนตรี หรือจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจํานวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร หรือจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภาจํานวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา หรือจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคนตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย

(๒) ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมต้องเสนอเป็นร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมต่อรัฐสภาและให้รัฐสภา พิจารณาเป็นสามวาระ

(๓) การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่หนึ่งขั้นรับหลักการ ให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผย และต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยในการแก้ไขเพิ่มเติมนั้น ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกทั้งหมด เท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา ซึ่งในจํานวนนี้ต้องมีสมาชิกวุฒิสภาเห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา

(๔) การพิจารณาในวาระที่สองขั้นพิจารณาเรียงลําดับมาตรา โดยการออกเสียงในวาระที่สองนี้ ให้ถือเสียงข้างมากเป็นประมาณ แต่ในกรณีที่เป็นร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมที่ประชาชนเป็นผู้เสนอ ต้องเปิดโอกาสให้ผู้แทนของประชาชนที่เข้าชื่อกันได้แสดงความคิดเห็นด้วย

(๕) เมื่อการพิจารณาวาระที่สองเสร็จสิ้นแล้ว ให้รอไว้สิบห้าวัน เมื่อพ้นกําหนดนี้แล้วให้รัฐสภาพิจารณาในวาระที่สามต่อไป

(๖) การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สามขั้นสุดท้าย ให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผย และต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยในการที่จะให้ออกใช้เป็นรัฐธรรมนูญมากกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา โดยในจํานวนนี้ต้องมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคการเมืองที่สมาชิกมิได้ดํารงตําแหน่งรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎรหรือรองประธานสภาผู้แทนราษฎร เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบของทุกพรรคการเมืองดังกล่าวรวมกัน และมีสมาชิกวุฒิสภาเห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา

(๗) เมื่อมีการลงมติเห็นชอบตาม (๖) แล้ว ให้รอไว้สิบห้าวัน แล้วจึงนําร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย และให้นําความในมาตรา ๘๑ มาใช้บังคับโดยอนุโลม

(๘) ในกรณีร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมหมวด ๑ บททั่วไป หมวด ๒ พระมหากษัตริย์ หรือหมวด ๑๕ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ หรือเรื่องที่เกี่ยวกับคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของผู้ดํารงตําแหน่งต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ หรือเรื่องที่เกี่ยวกับหน้าที่หรืออํานาจของศาลหรือองค์กรอิสระ หรือเรื่องที่ทําให้ศาลหรือองค์กรอิสระไม่อาจปฏิบัติตามหน้าที่หรืออํานาจได้ ก่อนดําเนินการตาม (๗) ให้จัดให้มีการออกเสียงประชามติตามกฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ถ้าผลการออกเสียงประชามติเห็นชอบด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม จึงให้ดําเนินการตาม (๗) ต่อไป

(๙) ก่อนนายกรัฐมนตรีนําความกราบบังคมทูลเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยตาม (๗) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกทั้งสองสภารวมกัน มีจํานวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา หรือของทั้งสองสภารวมกัน แล้วแต่กรณี มีสิทธิเข้าชื่อกันเสนอความเห็นต่อประธานแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิกหรือประธานรัฐสภา แล้วแต่กรณี ว่าร่างรัฐธรรมนูญตาม (๗) ขัดต่อมาตรา ๒๕๕ หรือมีลักษณะตาม (๘) และให้ประธานแห่งสภาที่ได้รับเรื่องดังกล่าวส่งความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญ และให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่อง ในระหว่างการพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรีจะนําร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยมิได้




จากมาตราการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560นั่นหมายถึง

-  ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมต้องมาจากคณะรัฐมนตรี หรือจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจํานวนไม่น้อยกว่า 100 เสียงจาก ส.ส. ทั้ง 2 ระบบ 500 เสียง หรือจาก ส.ส. และ ส.ว. รามกัน ไม่น้อยกว่า 150 เสียง ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดทั้งสองสภา 750 เสียง  หรือจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นรายชื่อร่วมลงชื่อเสนอการแก้ไข-เพิ่มเติม

-  ต้องเสนอเป็นร่างรัฐธรรมนูญต่อรัฐสภาและให้รัฐสภาพิจารณาเป็นสามวาระ

-  วาระที่หนึ่งขั้นรับหลักการ ให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผย และต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบในการแก้ไข ไม่น้อยกว่า 375 เสียงของจํานวนสมาชิก ส.ส.+ส.ว. ทั้งหมด และต้องมี ส.ว. เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่า 84 เสียงจาก 250 เสียง

-  การพิจารณาในวาระที่สองขั้นพิจารณาเรียงลําดับมาตรา โดยการออกเสียงในวาระที่สองนี้ให้ถือเสียงข้างมากเป็นประมาณ แต่ในกรณีที่เป็นร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมที่ประชาชนไม่ต่ำกว่าห้าหมื่นรายชื่อเป็นผู้เสนอ ต้องเปิดโอกาสให้ผู้แทนของประชาชนที่เข้าชื่อกันได้แสดงความคิดเห็นด้วย เมื่อการพิจารณาวาระที่สองเสร็จสิ้นแล้ว ให้รอไว้สิบห้าวัน เมื่อพ้นกําหนดนี้แล้วให้รัฐสภาพิจารณาในวาระที่สามต่อไป

- การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สามขั้นสุดท้าย ให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผย และต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยในการที่จะให้ออกใช้เป็นรัฐธรรมนูญมากกว่า 375 เสียงของทั้งสองสภา โดยในจํานวนนี้ต้องมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคการเมืองที่สมาชิกมิได้ดํารงตําแหน่งรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎรหรือรองประธานสภาผู้แทนราษฎร เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่า 100 เสียง และมีสมาชิกวุฒิสภาเห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่า 84 เสียงของจํานวนสมาชิกวุฒิสภาทั้งหมด  ปัญหาหลักๆของการลงคะแนนวาระนี้คือ จะมี ส.ส. จากพรรคการเมืองที่สมาชิกมิได้ดํารงตําแหน่งรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎรหรือรองประธานสภาผู้แทนราษฎร เห็นชอบด้วยถึง 100 เสียงหรือไม่ในทางปฏิบัติ และ 84 สว. ที่ถูกแต่งตั้งทั้งหมดจาก คสช จะกล้าลงคะแนนอย่างเปิดเผยว่าต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยเฉพาะมาตรา ๒๗๒ ที่เกี่ยวกับนายกฯคนนอก

-  เมื่อมีการลงมติเห็นชอบวาระสามแล้ว ให้รอไว้สิบห้าวัน แล้วจึงนําร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย และให้นําความในมาตรา ๘๑ มาใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา ๘๑  

มาตรา ๘๑ จะตราขึ้นเป็นกฎหมายได้ก็แต่โดยคําแนะนําและยินยอมของรัฐสภา ภายใต้บังคับจากมาตรา ๑๔๕


มาตรา ๑๔๕ ยังติดข้อแม้ต้องดําเนินการตามมาตรา ๑๔๘ คือ

(๑) หากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกของทั้งสองสภารวมกันมีจํานวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา เห็นว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว (ที่ต้องการแก้ไข-เพิ่มเติม) มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ให้เสนอความเห็นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา หรือประธานรัฐสภา แล้วแต่กรณี แล้วให้ประธานแห่งสภาที่ได้รับความเห็นดังกล่าวส่งความเห็นนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย และแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยไม่ชักช้า

(๒) หากนายกรัฐมนตรีเห็นว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ให้ส่งความเห็นเช่นว่านั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัย และแจ้งให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภาทราบโดยไม่ชักช้า

ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ และข้อความดังกล่าวเป็นสาระสําคัญ ให้ร่างพระราชบัญญัตินั้นเป็นอันตกไป ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ แต่มิใช่กรณีตามวรรคสาม ให้ข้อความที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนั้นเป็นอันตกไป และให้นายกรัฐมนตรี ดําเนินการต่อไปตามมาตรา ๘๑


แล้วก็วนลูปกลับไปยังมาตรา ๘๑ อีกรอบ



- ในกรณีแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ หมวด ๑ บททั่วไป หมวด ๒ พระมหากษัตริย์ หรือหมวด ๑๕ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ หรือเรื่องที่เกี่ยวกับคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของผู้ดํารงตําแหน่งต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ หรือเรื่องที่เกี่ยวกับหน้าที่หรืออํานาจของศาลหรือองค์กรอิสระ หรือเรื่องที่ทําให้ศาลหรือองค์กรอิสระไม่อาจปฏิบัติตามหน้าที่หรืออํานาจได้ ให้ทำประชามติก่อนจึงจะดำเนินการตามวิธีข้างต้นได้

- ก่อนนายกรัฐมนตรีนําความกราบบังคมทูลเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยตาม (๗) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไม่ต่ำกว่า 50 เสียง หรือสมาชิกวุฒิสภา 25 เสียง หรือสมาชิกทั้งสองสภารวมกัน มีจํานวนไม่น้อยกว่า 75 เสียง ของ ส.ส.+ส.ว ทั้งหมดมีสิทธิเข้าชื่อกันเสนอความเห็นต่อประธานแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิกหรือประธานรัฐสภา แล้วแต่กรณี ว่าร่างรัฐธรรมนูญที่จะแก้ไข ตาม (๗) ขัดต่อมาตรา ๒๕๕ หรือมีลักษณะตาม (๘) และให้ประธานแห่งสภาที่ได้รับเรื่องดังกล่าวส่งความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญ และให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวัน นายกรัฐมนตรีจะนําร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยมิได้

มาตรา ๒๕๕

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่