Night Walker หน้ากากรัตติกาล บทที่1

บทที่1 (1)    
        “อย่า”
        เฮือก….
        ร่างกึ่งเปลือยผุดลุกขึ้นนั่งในสภาพที่ตื่นตกใจ เขาหายใจถี่ๆ อย่างเหนื่อยหอบราวกับวิ่งมากลายร้อยกิโล เหงื่อกาฬไหลซึมจนเปียกชุ่มตามหน้าผากและไรผม มือข้างขวาเผลอลูบรอยแผลเป็นตรงอกด้านซ้ายที่เคยได้รับบาดเจ็บอย่างฉกาจฉกรรจ์ไปมา
        นัยน์ตาสีนิลกวาดมองดูไปทั่วห้องอย่างตระหนกเหมือนต้องการจะดูให้แน่ใจว่าตรงที่ตัวเองตื่นขึ้นมาเป็นเพียงเตียงนอนในห้องนอนหรือไม่ ก่อนจะเสยผมที่ปรกหน้าตาขึ้นไปอย่างลวกๆ แล้วผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ เมื่อเห็นว่าภาพที่เห็นเมื่อกี้นี้เป็นเพียงแค่ความฝันในวัยเยาว์ที่เขาพยามจะลบล้างมันออกไป
        “สิบแปดปีแล้ว ยังหลอกหลอนฉันอยู่อีกรึไง”
    โย แอล คูเปอร์ หรือ โย บ่นพึมพำออกมา เขาเอามือเสยผมสีดำสนิทยุ่งๆ ขึ้นไปด้านบนอีกครั้งอย่างรำคาญ ก่อนจะกระชากผ้าห่มที่คลุมร่างกายเอาไว้ให้ออกจากตัว พร้อมกับลุกขึ้นยืนเต็มความสูงหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตรของตัวเอง แล้วเดินเข้าห้องน้ำเพื่อทำภารกิจส่วนตัว  
        สายน้ำเย็นจัดจากฝักบัวช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายความกังวล เมื่อชำระล้างร่างกายที่เหนื่อยล้าจากความฝันเมื่อครู่เสร็จ ร่างสูงก็จัดการปิดฝักบัวก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัวพันร่างกายท่อนล่างเอาไว้อย่างลวกๆ พร้อมกับเดินออกมาจากห้องน้ำ แต่ก็ต้องชะงักฝีเท้าเอาไว้เพียงแค่นั้นเมื่อเดินผ่านกระจกบานใหญ่ที่ติดตั้งอยู่ภายใน
        เขาหันไปมองกระจกบานใหญ่ก่อนจะเอามือลูบใบหน้า พลางจ้องมองภาพที่สะท้อนในกระจก สิ่งที่เห็นเป็นเพียงภาพของชายหนุ่มอายุยี่สิบหกปี ผู้มีใบหน้าเรียบนิ่ง นัยน์ตาสีนิลลึกลับและเยียบเย็น ผิวกร้านแดดเหมือนผ่านกิจกรรมกลางแจ้งมาอย่างโชกโชน
        ก่อนจะเหลือบไปเห็นรอยแผลเป็นที่อกด้านซ้าย จนเผลอยกมือข้างขวาขึ้นมากุมมันอย่างลืมตัว สุดท้ายเขาก็อดนึกถึงเหตุการณ์วันนั้นไม่ได้อยู่ดี
เมื่อสิบแปดปีที่แล้ววันนั้นเขายังจำได้ไม่เคยลืม ในวันที่ฝนตกหนักลมกรรโชกแรงและดูเหมือนจะไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลยสักนิดเดียว อยู่ๆ ประตูหน้าบ้านที่ใครๆ ต่างก็เรียกมันว่าคฤหาสน์ของเขา ก็มีแขกผู้มาเยือนยืนอยู่ที่หน้าประตูเพื่อขอหลบฝน
    โดยที่ตัวเขาเองก็จำไม่ได้แล้วว่าชายผู้นั้นชื่อว่าอะไร เพราะสิ่งที่เขาจำได้มีเพียงแค่ว่า ชายผู้นั้นสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสแล็คสีดำ เดินขากระเผลกจนต้องใช้ไม้เท้าความยาวกว่าสามฟุตครึ่งค้ำยันเอาไว้ นอกเหนือจากตรงนั้นก็มีอีกสิ่งที่เขาจำได้ติดตาไม่เคยลืม
มันเป็นรอยสักรูปกางเขนคว่ำ ที่ดูคล้ายกับอสรพิษร้ายเลื้อยมาคลานทับกัน ซึ่งดูๆ ไปมันน่าเป็นรูปกางเขนที่น่าสะอิดสะเอียนเสียมากกว่าน่าชื่นชม และตรงกลางของรูปที่ว่านั่นก็มีตัวอักษรภาษาอังกฤษสลักไว้ว่า ดีไออี โดยที่มันถูกสักเอาไว้ตรงข้อมือด้านขวาของชายผู้นั้นเท่านั้น
        นอกจากนั้นเขาก็จำลายละเอียดของชายผู้มาใหม่คนนั้นไม่ได้อีกเลย เพราะเมื่อชายนิรนามเข้ามานั่งพักภายในบ้านได้เพียงไม่นาน ตัวเองก็ถูกผู้เป็นมารดาพาไปนอนตามประสาเด็กอายุแปดขวบพึงกระทำ
    แต่ทว่าพอเข้าสู่ห้วงนิทราได้ไปเพียงไม่นานก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมา เพราะรู้สึกปวดท้องเข้าห้องน้ำอย่างกะทันหัน เลยทำให้ต้องลุกไปเข้าห้องน้ำอย่างช่วยไม่ได้เพื่อทำภารกิจส่วนตัว และหลังจากที่ธุระส่วนตัวเสร็จ แล้วกำลังจะเดินกลับไปนอนอยู่นั่นเอง
        อยู่ๆ เซโน่ชายชราอายุห้าสิบปีต้นๆ ผู้เป็นคนสวนของบ้านหลังนี้ ก็มาอุ้มตนเองขึ้นพาดบ่าก่อนจะพาเขาเดินเข้ามาในห้องเก็บของที่นานๆ จะเปิดเข้ามาสักที ฝุ่นมากมายคลุ้งตลบอบอวนไปทั่วจนเด็กชายไอโขลกๆ สองสามครั้ง ก่อนจะถูกจับเขายัดให้เข้ามาอยู่ในตู้เสื้อผ้าเก่าๆ ใกล้ผุเต็มที ที่อยู่ด้านในสุดของห้องแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
        ซึ่งตัวเขาเองเมื่อโดนกระทำก็เพียงแค่ตกใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้มีอาการหวาดกลัวอย่างใด เพราะว่าชายชราชอบเล่นกับตนเองแบบนี้อยู่เป็นประจำ
    “ลุงเซโน่ จะเล่นซ่อนแอบกับผมหรือ” เขาเอียงคอถามอย่างสงสัย นัยน์ตาสีนิลมีแววตกใจแต่ก็รู้สึกตื่นเต้นไปในตัว ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเศร้าหมองลงเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาเล่นหรือทำกิจกรรมอะไร ไม่อย่างนั้นถ้าโดนผู้เป็นมารดาจับได้ว่าแอบมาเล่นอาจถูกดุเอา “แต่ตอนนี้มันยังไม่ถึงตอนเช้าเลย เดี๋ยวคุณแม่ท่านจะดุผมเอา”
    “คุณนายท่านอนุญาตแล้วขอรับ แต่ตอนนี้คุณหนูต้องแอบอยู่ในนี้ก่อนนะขอรับ” เซโน่เอ่ยอย่างร้อนรน ก่อนจะหันรีหันขวางไปมาอย่างตื่นตกใจ “ถ้ากระผมไม่มาเปิดให้ อย่าออกมาจากตรงนี้เด็ดขาดเลยนะขอรับ” จบคำของเซโน่ตัวเขาเองก็ได้แต่ฉีกยิ้มกว้างออกมา พร้อมกับพยักหน้าลงอย่างเข้าใจ หลังจากวางใจ เซโน่จึงรีบปิดประตูตู้เอาไว้แล้วเดินจ้ำพรวดๆ ออกไปจากตรงนั้นทันที
    เบอร์ลินนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ในตู้เสื้อผ้าอย่างมีความสุข ที่อยู่ๆ ผู้เป็นมารดาก็อนุญาตให้ตัวเองเล่นได้ในยามค่ำคืนนี้ เขานั่งแอบอยู่ในนั้นได้เพียงไม่นาน ก็มีเสียงร้องโหยหวนดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท จนรู้สึกตื่นตกใจแล้วนึกเอะใจขึ้นมาได้ ก่อนจะรีบเปิดประตูตู้เสื้อผ้าเพื่อออกไปดู
        แต่ก็ต้องชะงักการกระทำทั้งหมดลงพร้อมกับพึมพำออกมาว่า “ลุงเซโน่บอกให้อยู่ในนี้นี่นา” สิ้นสุดความคิดดังกล่าวเขาจึงเปลี่ยนจากเอื้อมมือไปเปิดประตูตู้เสื้อผ้าแล้วหันมาแอบมองดูผ่านช่องเล็กๆ ตรงขอบประตูแทน
        แสงสีส้มจากหลอดไฟฟูออเรสเซ้นทำให้เห็นทุกอย่างบ้างประปราย เบอร์ลินนั่งแอบดูอยู่ในนั้นอย่างตั้งอกตั้งใจ เพราะคิดว่าการเล่นซ่อนแอบที่ตัวเองหวังไว้คงเริ่มขึ้นแล้วอย่างแน่นอน
        รูเล็กๆ ทำให้มองอะไรชัดบ้างไม่ชัดบ้าง สิ่งที่เห็นภายในห้องมีเพียงอุปกรณ์เก่าๆ วางระเกะระกะอยู่มากมาย ทั้งโต๊ะไม้โอ๊กเก่าๆ ที่ขาหักนอนเอียงกระเท่เร่อยู่ข้างๆ  โซฟาขาดๆ สีแดงซีดวางอยู่ข้างกัน อีกทั้งยังมีตุ๊กตาไขลานของเล่นเมื่อครั้งยังเป็นเด็กเล่นอยู่ประจำ
        พอนั่งแอบดูได้สักครู่ใหญ่ก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่ออยู่ๆ ก็มีคนเปิดประตูห้องเก็บอุปกรณ์พรวดพราดเข้ามาแบบกะทันหัน
        โดยที่ผู้เข้ามาใหม่นั้นเป็นหญิงสาวคนรับใช้ภายในบ้านหลังนี้กำลังวิ่งเข้ามาอย่างตื่นกลัว บริเวณร่างกายของเจ้าหล่อนนอกร่มผ้ามีร่องรอยถูกอะไรบางอย่างกรีดเป็นทางยาวอยู่หลายจุด โลหิตสีแดงสดไหลปรี่ออกมาจากบาดแผลเหล่านั้นอย่างไม่ขาดสาย จนชุดเอี๊ยมสีขาวดำตามแบบฟอร์มมีแต่คราบสีแดงคล้ำเป็นตะกรันติดอยู่เกรอะกรังบ้างประปราย นัยน์ตาสีดำสนิทเบิกโพลงอย่างหวาดกลัว เธอเดินถอยหลังราวกับคนที่กำลังถูกคุกคาม พอวิ่งเข้ามาเพียงไม่นานก็มีชายนิรนามถือดาบซามูไรเดินตามเข้ามา
    “อย่า อย่าทำอะไรฉันเลย ฉันไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น”
    สาวรับใช้พูดแบบติดๆ ขัดๆ ออกมาก่อนจะเดินถอยหลังอย่างลนลาน สองมือยกขึ้นบังใบหน้าแล้วพยายามปัดป้องตัวเองด้วยมือเปล่าตามสัญชาตญาณ
        “ขอโทษด้วย แต่นี่คือคำสั่ง”
        จบคำร่างสูงก็เหยียดยิ้มที่มุมปากออกมา ก่อนจะตวัดดาบซามูไรสีเงินวาววับ เขาเหวี่ยงดาบขึ้นลงเพียงแค่สองครั้งก็ส่งผลให้ข้อมือทั้งสองข้างที่หญิงสาวใช้ปัดป้องใบหน้าถึงกับขาดกระเด็น รวมถึงลำคอขาวนวลก็ไม่อาจพ้นคมดาบนี้ไปได้ มันเฉือนเนื้อและกระดูกต้นคอบางส่วนไป แต่ด้วยแรงของผู้เป็นเจ้าของที่พยายามเบี่ยงศีรษะหนี จึงทำให้มันหงายลงมาจนห้อยอยู่ด้านหลังแทน
        นัยน์ตาสีดำสนิทเบิกโพลงจ้องมองมาที่เด็กชายซึ่งกำลังนั่งคุกเข่าดูเหตุการณ์ทั้งหมออยู่ด้านใน มันเป็นแววตาสุดท้ายที่ทั้งหวาดกลัวเคียดแค้นและชิงชัง ไม่มีแม้แต่เสียงกรีดร้องโหยหวนอย่างที่ควรจะเป็น
        เพียงแค่เสี้ยววินาทีหลังจากโดนคมดาบ ร่างของสาวรับใช้ก็ทรุดฮวบลงกับพื้นทันที โลหิตสีแดงข้นพุ่งทะลักออกมาจากปากแผลฉกรรจ์กระเซ็นไปทั่วทิศ ร่างกายเกร็งกระตุกเบาๆ สองสามครั้งก่อนสิ้นลม
        เมื่อได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบทุกอย่างแบบชัดเจน เบอร์ลินก็ได้แต่ทรุดลงนั่งลงอย่างอ่อนแรง ก่อนจะใช้สองเท้าตะกายพื้นไม้ภายในตู้ราวกับหนูติดจั่น เพื่อขยับร่างกายให้ชิดกับผนัง ด้วยความรู้สึกหวาดกลัวมากมายที่พรั่งพรูเข้ามาในจิตใจ จนรู้สึกได้ถึงความหนาวเหน็บสั่นสะท้านอยู่ตรงนั้น ลมหายใจเริ่มติดขัดและกำลังจะขาดหายไปเป็นห้วงๆ คล้ายคนจะเป็นลม เขาพยายามควบคุมสติของตัวเองไว้ แล้วยกสองมือเล็กๆ ที่กำลังสั่นระริกแทบไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาปิดปากก่อนจะกรีดร้องออกมาเบาๆ อย่างตื่นตกใจ
    มันเลยทำให้ชายนิรนามรู้สึกได้ถึงอีกชีวิตหนึ่งที่หลบซ่อนตัวอยู่ด้านใน เขาเหยียดยิ้มที่มุมปากออกมาบางๆ ก่อนจะสืบเท้าเดินเข้ามาใกล้ แล้วเอื้อมมือมาจับประตู
         “เฮ้ยทางนี้โว๊ยไอ้เนรคุณ”
        แต่อยู่ๆ ขณะที่กำลังจะหมดหนทางก็มีเสียงตะโกนดังเข้ามา ทำให้ให้เบอร์ลินพยายามขยับร่างกายที่แสนหนักอึ้งขึ้นมาแอบดูตรงขอบประตูอีกครั้งเพื่อมองดู
        ก็เห็นได้ว่าคนที่ส่งเสียงตะโกนท้าทายคือเสียงของเซโน่นั่นเอง โดยที่เขาตะโกนโหวกเหวกโวยวายอยู่ที่หน้าประตูราวกับคนบ้า ในมือของชายชราถือปืนลูกซองยาวแฝด บราวนิ่ง พร้อมกับเล็งมาชายนิรนามทันที ก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ ว่า “ตายไปซะ” จบคำเสียงระเบิดกัมปนาทจากปืนลูกซองก็ดังจนสั่นสะท้านไปทั่วทั้งบริเวณ
    โดยที่เป้าหมายของปากกระบอกปืนยืนมองเซโน่ด้วยแววตาที่เรียบนิ่ง ไม่มีท่าทีหวาดหวั่นเลยแม้แต่นิดเดียว จนกระทั้งกระสุนลูกโดดเบอร์ สิบสอง จีเอ พุ่งออกมาจากปากกระบอกปืน มันก็ตัดผ่านม่านอากาศพุ่งตรงไปหาชายนิรนามผู้นั้นอย่างรวดเร็ว
แต่ทว่าเพียงแค่เสี้ยววินาทีที่ลูกกระสุนที่ตัดผ่านอากาศเข้าไปหมายจะปลิดชีวิต กลับถูกเป้าหมายตวัดดาบซามูไรความยาวกว่าสามฟุตครึ่งเพียงครั้งเดียว ความแข็งแรงของดาบปัดกระสุนกระเด็นหายวับไป นัยน์ตาสีสนิมมองชายชราอย่างหยันๆ แล้วเหยียดยิ้มมุมปากออกมาบางๆ
    “แก”
    “ถึงตากระผมบ้างนะขอรับ”
    สิ้นคำของชายนิรนาม ก็สืบเท้าตรงดิ่งไปหาเซโน่ที่กำลังก้าวถอยหลังอย่างตกตะลึงทันที นัยน์ตาสีสนิมแข็งกร้าวจ้องมองคนตรงหน้าแบบไม่กระพริบ เมื่อเขาเดินพ้นธรณีประตูออกมาได้ ก็เงื้อดาบซามูไรขึ้นเพื่อหมายจะปลิดชีวิตของชายชราผู้นี้ให้ดับดิ้นลง
        ส่วนเซโน่เองได้แต่ก้าวถอยหลังอย่างหวาดหวั่นตามสัญชาตญาณของตัวเอง เมื่อรู้ว่าลูกกระสุนที่ปลดปล่อยออกจากปากกระบอกปืนที่ตัวเองถืออยู่ไม่สามารถทำอันตรายแก่ชายผู้นี้ได้เลย เขาจ้องมองชายนิรนามอย่างตกตะลึงและงงงัน ก่อนจะเหลือบไปเห็นคมดาบที่กำลังจะฟันลงมา
        เซโน่จึงได้สติขึ้นมาแล้วเบี่ยงตัวหลบคมดาบที่ฟาดฟันเพื่อปลิดชีวิตได้แบบทันท่วงที เลยทำให้คมของดาบซามูไรตัดได้แค่เพียงแขนขวาจนขาดกระเด็น เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดก็พรั่งพรูออกมาจากปากของชายชราผู้นี้ โลหิตสีแดงสดมากมายไหลทะลักออกมาจากบาดแผลฉกรรจ์จนเจิ่งนองไปทั่วทั้งบริเวณ
        ชายชราพยายามกัดฟันอย่างสุดกำลัง โดยที่ใช้มือข้างซ้ายกุมบาดแผลแล้วบีบต้นแขนเอาไว้ ก่อนจะใช้แรงเฮือกใหญ่วิ่งชนชายนิรนามแบบดับเครื่องชนหมายให้ล้มลง ส่งผลให้ชายนิรนามที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเซถอยหลังไปกระแทกกับประตูห้องเก็บอุปกรณ์จนมันปิดลง เมื่อบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ เซโน่ก็พยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืนด้วยความยากเย็น ก่อนจะรีบพาร่างกายที่เหนื่อยล้าจากการสูญเสียเลือดมากเกินแล้วตะกายตัวหนีไป
        ชายนิรนามลุกยืนตั้งหลักได้ก็เดินตามเซโน่ไปอย่างช้าๆ และใจเย็น เขาเดินตามรอยเลือดไปผ่านศากศพของเหยื่อหลายสิบชีวิต สุดท้ายก็ไปเจอชายชรานอนนิ่งไม่ไหวติ่งอยู่ตรงมุมบันได เลือดสีแดงที่เริ่มจะเปลี่ยนเป็นสีคล้ำๆ เปรอะเปื้อนโทรมกาย ไม่เหลือสัญญาณของความมีชีวิตหลงเหลืออยู่เลย  
        “เหลือแค่คนเดียวแล้วสินะ”
        เสียงพึมพำของชายนิรนามพูดออกมา นัยน์ตาสีสนิมฉายแววเรียบนิ่งและเฉยชามองชายชราที่นอนนิ่งไม่ไหวติ่งราวกับชิ้นเนื้อที่ไร้ค่า ก่อนจะยกยิ้มที่มุมปากขึ้นมาอย่างเย้ยหยัน เขาฮัมเพลงเบาๆ แล้วเดินตามหาสมาชิกคนสุดท้ายที่อยู่ภายในคฤหาสน์หลังนี้ด้วยความใจเย็น
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่