การรีวิวครั้งนี้ไม่มีสปอร์ยแน่นอนครับ
เป็นการกลับมาบู๊ไม่มากแต่ได้ใจอีกครั้งของป๋า
เลียม นีสันที่แท็คทีมกับผกก.คู่บุญของแกมาร่วมงานอีกครั้ง อย่าง Jamue Serra-Collet ที่เคยร่วมงานกันมาสามเรื่อง คือ Unknown(2011),
Non-Stop(2014), Run All Night (2015) และนี่เป็นครั้งที่สี่ใน The Commuter หนังของผกก.ท่านนี้ก็ยังคงความเป็นทริลเลอร์นำบท
แอ็คชั่นอยู่ดี เหมือนสามเรื่องที่ผ่านมา มีดราม่าบ้างในบางส่วนของหนังเรื่องนี้ แต่ไม่ดราม่าหนักเท่า Run All Night หนังไม่ยาวมาก ความยาว 105 นาที ดูไม่มีช่วงน่าเบื่อ ป๋าแกก็เล่นดีเหมือนเคย ยังมาบทรันทดเหมือนเดิม แต่ก็ไม่ซ้ำกับคาแร็ตเตอร์เรื่องก่อนหน้า
เรื่องย่อ : ไมเคิล (นีสัน) ชายวัย 60 ปี ทำงานเป็นนักขายประกันในบริษัทแห่งหนึ่งในเมืองนิวยอร์ค เขาเดินทางไปทำงานด้วยรถไฟตลอดระยะเวลา 10 ปี ทำให้คุ้นเคยหลายคนบนรถไฟสายนี้ วันหนึ่งขณะไมเคิลกำลังนั่งรถไฟกลับบ้านก็มีหญิงสาวลึกลับมาตีสนิทเขา นามว่า
โจแอนนา (ฟาร์มิเก้) และได้ยื่นข้อเสนอให้เขา ด้วยเงินห้าแสนดอลล่าร์ในการหาตัวคน คนนึงที่ไม่ควรอยู่บนรถไฟที่มาพร้อมกระเป๋า นามว่า Blink และเธอคนนี้ก็ลงจากรถไฟไป ส่วนไมเคิลก็ยังงงอยู่ แต่เขาได้ตกลงรับข้อเสนอพร้อมเงินมาแล้ว คราวนี้เขาต้องแข่งกับเวลาในการ หาตัวคนคนนี้ ในรถไฟสายนี้ที่เต็มไปด้วย ผู้โดยสารหลายร้อยคน และบุคคลที่ต้องสงสัยหลายคน โดยถ้าไมเคิลหาตัวคนคนนี้ไม่ทันตามกำหนด ทุกคนบนรถไฟก็ต้องตาย ตอนนี้ความเป็นความตายของผู้โดยสารทั้งหมด ขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง
ความรู้สึกหนังจากที่ผมได้ดูเรื่องนี้ : หนังสนุกมากครับ อย่างที่บอกไม่มีช่วงไหนในหนังชวนง่วงเลย ถึงฉากแอ็คชั่นจะไม่ได้มากมาย แต่หนังให้อารมณ์ความกดดันในสถานการณ์ช่วงเวลานั้นได้ดีมาก ทำให้เราคนดูนั่งไม่ติดเก้าอี้ตลอด หนังมีฉากลุ้นตลอด ช่วงเวลานับตั้งแต่พระเอกเริ่มตามหาผู้โดยสารแปลกหน้า เริ่มตามสืบหา ทีละโบกี้ มันลุ้นและทำให้เราคิดตามพระเอกไปด้วย เรื่องนี้ตัวละครเด่นๆมีไม่มาก หนังไม่ได้ลงทุนมากมาย เป็นหนังฟอร์มกลาง แต่เนื้อเรื่องหนังดีกว่าหนังฟอร์มใหญ่หลายๆเรื่องซะอีก เหมือนหนังเนื้อเรื่องดูไม่มีอะไรมาก แค่คนแปลกหน้าจ้างพระเอกหาคนแปลกหน้าบนรถไฟ แต่หนังซ่อนความซับซ้อนไปมากกว่านั้นเยอะ อารมณ์เรื่องนี้คล้าย Non-Stop แต่โดยส่วนตัวผมว่า The Commuter สนุกกว่า เพราะตอนคลี่คลายปมท้ายเรื่อง มันชัดเจนและเข้าใจกว่าเรื่อง Non-Stop เรื่องนี้เราจะไม่ได้เห็นป๋าเลียมแกบู๊เก่ง แบบ Taken ไตรภาค ที่มาบุกรังโจรคนเดียว ฉลาดมีไหวพริบ รู้ทันโจร เรื่องนี้ป๋าแกมาแบบคนทำงานธรรมดาๆ ไม่ได้เก่งเว่อร์ หรือ ฉลาดตลอดเวลา มีพลาดท่าเสียทีบ้าง หนังดำเนินเรื่องค่อยเป็นค่อยไป ให้อารมณ์สืบสวนสอบสวนอยู่บ้าง คล้ายๆ Jack Reacher ภาคแรกเหมือนกัน ฉาก
แอ็คชั่นในเรื่อง ก็ไม่หวือหวาอลังการ มีเตะต่อยกันระหว่างป๋าแกกับพวกตัวร้ายบ้าง แต่ดูแล้วลุ้นเอาใจช่วยพระเอกมากกว่าเรื่อง Taken เพราะอย่างที่บอกเรื่องนี้ป๋าแกเป็นคนธรรมดา ไม่ได้ไปฝึกเป็นยอดจารชนนักฆ่า ฉากบู๊ก็ไปตามน้ำ มีอะไรคว้าได้ป๋าแกก็หยิบมาป้องกันตัว ถึงตอนนี้แกจะอายุ 65 ปีแล้ว แต่ที่ดูจากในหนังแกก็ยังแข็งแรงดีอยู่ ถึงหน้าจะเหี่ยวไปเยอะ แต่รวมๆแกก็ยังฟิตดีอยู่ครับ ผมว่าหนังเรื่องนี้คุ้มกับการเสียเงินไปดูในโรงภาพยนตร์ครับ แค่ดูฝีมือการแสดงของป๋า เลียม นีสัน ก็คุ้มค่าตั๋วแล้วครับ
เรื่องนี้ผมให้คะแนนเต็ม 10 เลยครับ จากความรู้สึกส่วนตัว คือชอบมากๆ ทริลเลอร์ลุ้นระทึกทั้งเรื่องจริงๆ
- Review By Jason Trong -
รีวิวหนังแอ็คทริลเลอร์มันต้อนรับปี 2018 "The Commuter" นรกใช้มาเกิด By Jason Trong
เป็นการกลับมาบู๊ไม่มากแต่ได้ใจอีกครั้งของป๋า
เลียม นีสันที่แท็คทีมกับผกก.คู่บุญของแกมาร่วมงานอีกครั้ง อย่าง Jamue Serra-Collet ที่เคยร่วมงานกันมาสามเรื่อง คือ Unknown(2011),
Non-Stop(2014), Run All Night (2015) และนี่เป็นครั้งที่สี่ใน The Commuter หนังของผกก.ท่านนี้ก็ยังคงความเป็นทริลเลอร์นำบท
แอ็คชั่นอยู่ดี เหมือนสามเรื่องที่ผ่านมา มีดราม่าบ้างในบางส่วนของหนังเรื่องนี้ แต่ไม่ดราม่าหนักเท่า Run All Night หนังไม่ยาวมาก ความยาว 105 นาที ดูไม่มีช่วงน่าเบื่อ ป๋าแกก็เล่นดีเหมือนเคย ยังมาบทรันทดเหมือนเดิม แต่ก็ไม่ซ้ำกับคาแร็ตเตอร์เรื่องก่อนหน้า
เรื่องย่อ : ไมเคิล (นีสัน) ชายวัย 60 ปี ทำงานเป็นนักขายประกันในบริษัทแห่งหนึ่งในเมืองนิวยอร์ค เขาเดินทางไปทำงานด้วยรถไฟตลอดระยะเวลา 10 ปี ทำให้คุ้นเคยหลายคนบนรถไฟสายนี้ วันหนึ่งขณะไมเคิลกำลังนั่งรถไฟกลับบ้านก็มีหญิงสาวลึกลับมาตีสนิทเขา นามว่า
โจแอนนา (ฟาร์มิเก้) และได้ยื่นข้อเสนอให้เขา ด้วยเงินห้าแสนดอลล่าร์ในการหาตัวคน คนนึงที่ไม่ควรอยู่บนรถไฟที่มาพร้อมกระเป๋า นามว่า Blink และเธอคนนี้ก็ลงจากรถไฟไป ส่วนไมเคิลก็ยังงงอยู่ แต่เขาได้ตกลงรับข้อเสนอพร้อมเงินมาแล้ว คราวนี้เขาต้องแข่งกับเวลาในการ หาตัวคนคนนี้ ในรถไฟสายนี้ที่เต็มไปด้วย ผู้โดยสารหลายร้อยคน และบุคคลที่ต้องสงสัยหลายคน โดยถ้าไมเคิลหาตัวคนคนนี้ไม่ทันตามกำหนด ทุกคนบนรถไฟก็ต้องตาย ตอนนี้ความเป็นความตายของผู้โดยสารทั้งหมด ขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง
ความรู้สึกหนังจากที่ผมได้ดูเรื่องนี้ : หนังสนุกมากครับ อย่างที่บอกไม่มีช่วงไหนในหนังชวนง่วงเลย ถึงฉากแอ็คชั่นจะไม่ได้มากมาย แต่หนังให้อารมณ์ความกดดันในสถานการณ์ช่วงเวลานั้นได้ดีมาก ทำให้เราคนดูนั่งไม่ติดเก้าอี้ตลอด หนังมีฉากลุ้นตลอด ช่วงเวลานับตั้งแต่พระเอกเริ่มตามหาผู้โดยสารแปลกหน้า เริ่มตามสืบหา ทีละโบกี้ มันลุ้นและทำให้เราคิดตามพระเอกไปด้วย เรื่องนี้ตัวละครเด่นๆมีไม่มาก หนังไม่ได้ลงทุนมากมาย เป็นหนังฟอร์มกลาง แต่เนื้อเรื่องหนังดีกว่าหนังฟอร์มใหญ่หลายๆเรื่องซะอีก เหมือนหนังเนื้อเรื่องดูไม่มีอะไรมาก แค่คนแปลกหน้าจ้างพระเอกหาคนแปลกหน้าบนรถไฟ แต่หนังซ่อนความซับซ้อนไปมากกว่านั้นเยอะ อารมณ์เรื่องนี้คล้าย Non-Stop แต่โดยส่วนตัวผมว่า The Commuter สนุกกว่า เพราะตอนคลี่คลายปมท้ายเรื่อง มันชัดเจนและเข้าใจกว่าเรื่อง Non-Stop เรื่องนี้เราจะไม่ได้เห็นป๋าเลียมแกบู๊เก่ง แบบ Taken ไตรภาค ที่มาบุกรังโจรคนเดียว ฉลาดมีไหวพริบ รู้ทันโจร เรื่องนี้ป๋าแกมาแบบคนทำงานธรรมดาๆ ไม่ได้เก่งเว่อร์ หรือ ฉลาดตลอดเวลา มีพลาดท่าเสียทีบ้าง หนังดำเนินเรื่องค่อยเป็นค่อยไป ให้อารมณ์สืบสวนสอบสวนอยู่บ้าง คล้ายๆ Jack Reacher ภาคแรกเหมือนกัน ฉาก
แอ็คชั่นในเรื่อง ก็ไม่หวือหวาอลังการ มีเตะต่อยกันระหว่างป๋าแกกับพวกตัวร้ายบ้าง แต่ดูแล้วลุ้นเอาใจช่วยพระเอกมากกว่าเรื่อง Taken เพราะอย่างที่บอกเรื่องนี้ป๋าแกเป็นคนธรรมดา ไม่ได้ไปฝึกเป็นยอดจารชนนักฆ่า ฉากบู๊ก็ไปตามน้ำ มีอะไรคว้าได้ป๋าแกก็หยิบมาป้องกันตัว ถึงตอนนี้แกจะอายุ 65 ปีแล้ว แต่ที่ดูจากในหนังแกก็ยังแข็งแรงดีอยู่ ถึงหน้าจะเหี่ยวไปเยอะ แต่รวมๆแกก็ยังฟิตดีอยู่ครับ ผมว่าหนังเรื่องนี้คุ้มกับการเสียเงินไปดูในโรงภาพยนตร์ครับ แค่ดูฝีมือการแสดงของป๋า เลียม นีสัน ก็คุ้มค่าตั๋วแล้วครับ
เรื่องนี้ผมให้คะแนนเต็ม 10 เลยครับ จากความรู้สึกส่วนตัว คือชอบมากๆ ทริลเลอร์ลุ้นระทึกทั้งเรื่องจริงๆ
- Review By Jason Trong -