สวัสดีค่ะ
เราเขียนกระทู้นี้ขึ้นมาอาจจะเป็นประโยชน์กับใครหลายๆคน ขอเล่าจากประสบการณ์ตัวเอง
เราเป็นไบโพล่าค่ะและโรคซึมเศร้า โรคนี้ถ้าไม่รู้จักวิธีจัดการกับมัน มันทรมานจริงๆค่ะ
เราจะ spoil ชีวิตวัยเด็ก(ฉบับย่อแล้ว 55 )ไว้นะคะเพราะค่อนข้างยาวไร้สาระนิดนึง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เกิ่นนำเลยตั้งแต่เล็กจนโต เราเป็นคนแคร์ความรู้สึกคุณแม่มาก ถึงมากที่สุด
ไม่ว่าเราจะทำอะไร เราอยากให้แม่ภูมิใจ อยากให้แม่ชม แต่เราไม่เคยได้รับคำชมเลย แม่บอกว่าทุกอย่างที่เราทำ เราทำเพื่อผลดีกับตัวเอง แม่เคยสัญญาว่าถ้าสอบได้ที่ 1 แม่จะซื้อดินสอสีให้ เราตั้งใจมากจนเราสอบได้ที่ 1 แต่เราก็ไม่ได้ดินสอสีตามสัญญา แม่ทิ้งเราไว้กับประโยคที่ว่า "สอบได้ที่ 1 ตั้งใจเรียน ทำเพื่อดินสอสี หรือ ทำเพื่อตัวเอง?" ยอมรับค่ะว่าตอนนั้นผิดหวังมาก
และแม่คอยบอกเสมอว่า เป็นทนายความนั้นดีจะได้ไม่มีคนเอาเปรียบ แม่พูดให้เราเป็นทนายความอยู่ทุกวัน เพราะแม่เราอยากเป็นทนายความค่ะ แต่แม่ไม่ได้เป็น จนเรามุ่งมั่นที่จะเป็นทนายความเพื่อแม่
พอเริ่มโตขึ้นมาเราย้ายมาเรียนที่กทม. โดยอาศัยอยู่กับพี่สาวเพียง 2 คน เราชอบภาษามาก ชอบแต่งนิยาย แต่งละคร ชอบเล่นกีฬาต่อสู้ มวยไทย เทควันโด เรียนจนได้สายดำ เราอยากเรียนศิลป์ภาษานะแต่เราก็ไม่สามารถเรียนสายศิลป์ภาษาได้ เพราะแม่บอกว่าให้เรียนสายวิทย์-คณิต จะได้มีโอกาสมากกว่าคนอื่น เราไม่ได้เรียนห้องเรียน King-Queen แต่เป็นห้องเกือบๆบ๊วยของสาบวิทย์ เรายอมรับเลยว่าตอนนั้นก็ยังกังวลกลัวเรียนไม่ได้ แต่พอเรียนไปเรียนมาเรากลับชอบชีววิทยาและเคมี และโชคชะตาก็พาให้เรามาเจอเพื่อนสนิทที่ดีที่สุดที่นี้
ห้องเราเป็นเด็กสายวิทย์ที่เกเรพอควรค่ะ จนครูระอา ห้องของเราไม่มีผลงานดีเด่นอะไรเลยมีแต่สร้างเรื่องให้ครูปวดหัว จนกระทั้งมีงานโรงเรียนที่ละดับชั้นเราต้องทำละครวิทยาศาสตร์ ด้วยความที่เราชอบวิชาชีววิทยาและเคมีมากอีกทั้งเราชอบแต่งนิยาย เราจึงแต่บทละครวิทยาศาสตร์ให้ห้องของเราและทำให้ห้องเราได้รับรางวัลชนะเลิศค่ะ
ตอนนั้นเราสับสันกับชีวิต ว่าเราอยากเป็นทนายความจริงๆหรือเปล่า เราลองสอบไปเรื่อยๆ คะแนนสอบวิชาถนัดทางการแพทย์เราได้เป็นอันดับ 2 ของประเทศ ตอนนั้นเรารู้สึกว่าเราอยากเป็นหมอมากกว่าทนายความ แต่เราต้องทำเพื่อแม่ค่ะ เราจึงเลือกเรียนนิติศาสตร์
เราไปสอบตรงไปหลายที่ แต่ไม่สนใจคะแนนสอบเท่าไหร่ว่าจะติดหรือไม่ เพราะพี่สาวเป็นคนสนับสนุนให้เรียน ABAC เพราะเราชอบภาษา
จนเรามาตรวจผลการสอบ เราสอบตรงติดนิติศาสตร์ที่ม.ธรรมศาสตร์ เราดีใจนะคะ ดีใจมากแต่มันสายเกินไปแล้วที่จะไปเรียนที่นั้น ตอนเราไปสอบเราไม่คิดว่าเราจะติดหรอกค่ะ เพราะเราคิดว่าเราโง่มาตลอดชีวิตเราไม่เคยได้รับคำชมเชยจากแม่เลยและเราไม่มีความมั่นใจในตัวเอง
สุดท้ายเราเรียน ABAC ระหว่างเรียนเราก็ทำงานไปด้วย เรียนไปด้วยจนจบ
ตั้งแต่เราเรียนจบมาก็ทำงานที่สำนักกฎหมายนานาชาติแถวสุขุมวิท ทำได้อยู่หลายปีก็เปลี่ยนงานไปเรื่อยๆ แต่ก็เป็นงานสายเดิมๆ จนกระทั่งออกมาเปิดสำนักงานกฎหมายของตัวเอง
หลายคนบอกว่า เราเก่ง แต่เราไม่เคยมีความรู้สึกนั้นเลย
เราเริ่มมีอาการ Mania ช่วงอาการนี้เราจะพูดมาก มั่นใจในตัวเองสุด จนเพื่อนคิดว่าเราต้องโดนตัวไหนมาซักตัว มั่นใจขนาดที่สามารถใส่โจงกะเบนออกจากบ้านได้ เราเป็นแบบนี้อยู่ 2-3 อาทิตย์ได้ จากนั้นอาการ Mania ก็จะลดลงและเข้าสู่ภาวะซึมเศร้า เราหดหู่ โลกเป็นสีเทา ทุกอย่างในชีวิตมันแย่
เราเป็นสลับกันแบบนี้อยู่หลายเดือน
จนกระทั่งเดือนกันยายนที่ผ่านมา เป็นวันเกิดของเราเอง เราโดนข่มขืนค่ะ และนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราโดนข่มขืน แต่ครั้งนี้ไม่รุนแรงเท่ากับครั้งในอดีตของเรา เราขอไม่เอ่ยถึงนะคะ ขอเล่าเเค่ครั้งล่าสุด
เราไปนวดกับแฟน เพราะแฟนเราซื้อคูปองนวดให้เป็นของขวัญวันเกิด พอไปถึงร้านนวด คนนวดเป็นผู้ชายแต่เนื่องจากเราไปกับแฟนนอนติดกัน จับมือกันถึง มีเพียงผ้าม่านกั้น เราจึงไม่คิดอะไรมาก พอเริ่มนวดเราก็พล่อยหลับไปค่ะ แฟนก็หลับ เพราะต่างคนต่างเหนื่อย พอนวดไปซักพักหมอนวดมันเอานิ้วใส่เข้าไปในช่องคลอดเราและดูดหัวนมเรา (ตามกฎหมายถือว่าข่มขืนแล้ว) เรากับแฟนไปแจ้งความ แต่ร้านนวดเค้าพาหนีค่ะ ปกปิดทำลายหลักฐานทุกอย่าง เราไปตรวจร่างกายดำเนินการทุกอย่างตามกฎหมาย แต่ผ่านมาตั้งบัดนั้นจนถึงปัจจุบันเราขับรถผ่านไปเรายังเห็นไอ้หมอนวดคนเดิมนั่งอยู่หน้าร้านรอลูกค้าอย่างมีความสุขอยู่หน้าอยู่เลย เราเล่าให้เพื่อนๆเราฟังหลังจากเกิดเหตุได้ 1 วัน เราเป็นคนที่ไม่คิดอะไรมากกับเพื่อนๆ แต่ครั้งนี้ทำให้เรารู้ตัวว่าอาการเราแย่ คือเพื่อนเราคนนึงพูดมาว่า "ก็สมควรแล้ว" ถ้าเป็นเราเมื่อก่อน เราจะไม่คิดอะไรเลย
แต่คำพูดในวันนั้นทำให้เราคิดอยากฆ่าตัวตายค่ะ และเกลียดเพื่อนคนนั้นมาก เราเริ่มรู้สึกตัวเเล้วว่าเราไม่ปกติเพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร
ตั้งแต่นั้นมาเรารู้สึกด้อยค่า รู้สึกชีวิตเรามันแย่ รู้สึกเราไม่มีคุณค่าที่จะอยู่บนโลกใบนี้ เรารู้สึกแบบนี้มาตลอด จนกระทั้งความรู้สึกแบบนี้มันเริ่มมากขึ้นๆ มากจนถึงกับนอนไม่หลับติดๆกัน 3-4 วัน
จากคนที่ขยันทำงาน งานทุกอย่างต้องดี 100% เราเริ่มทิ้งๆขว้างๆ ทำงานชุ่ยๆ บางครั้งถึงขนาดไม่ทำงานงานนอนอย่างเดียวเป็นหลายๆอาทิตย์
เราเริ่มทำร้ายตัวเอง เราเอามีดคัตเตอร์กรีดที่ต้นขาพอเห็นเลือดซึมๆออกมาเรารู้สึกดีมาก เราต่อยกำแพง เตะกำแพงจนเล็บหัก เรารู้สึกได้ปลดปล่อย
เราเริ่มคุยกับตุ๊กตาหมี ได้ยินเสียงแว่ว เราสามารถคุยกับตุ๊กตามีได้เป็นวันๆ อาการ Mania เริ่มหายไปเหลือไว้แต่อาการซึมเศร้า เราทำลายข้าวของ พังโทรศัพท์ ปาแก้วน้ำ กรี๊ดเหมือนคนบ้า ร้องไห้ได้เป็นวันๆคืนๆ ขี้ลืมและพูดวนไปวนมา เราขี้ลืมถึงขนาดเราลืมว่าเรากินข้าวไปแล้ว ภายใน 30 นาที เราพูดเรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมา 2-3 ครั้ง
จนกระทั้งเพื่อนเราคนนึงในกลุ่มเป็นโรคซึมเศร้า เพื่อนก็เล่าให้ฟังว่าไปหาหมอที่โรงพยาบาลรามาได้ยามากินอาการดีขึ้น (ปกติเราหาหมออยู่แล้วสืบเนื่องจากเราโดนข่มขืน ซึ่งคนไข้รายที่โดยข่มขืนนั้นจะต้องพบจิตแพทย์และนักสังคมสงเคราะห์)แต่หมอของเราจำกัดเวลาคุยแค่ 30 นาที เลยรู้สึกว่าอยากเปลี่ยนหมอพอดี เราจึงโทรไปนัดคุณหมอที่ รพ. รามาและโชคดีเราได้คิวพอดีในวันถัดมา
วันศุกร์ที่ 12 มกราคม 2560
เราไปรพ.ตั้งแต่หกโมงเช้าเพื่อรับบัตรที่อาคาร 1 ชั้น 1 เราได้ลงทะเบียนออนไลน์ไว้เรียบร้อบแล้ว จึงรวดเร็วไม่ถึง 5 นาทีก็ได้บัตรหละ ค่าทำบัตร 5 บาทเท่านั้นเจ้าหน้าที่ให้หยอดใส่กล่อง เราเลยหยอดไป 20 บาท ใครสนใจก็คลิ๊กตามลิงค์ด้านล่างนะคะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://med.mahidol.ac.th/mr/
จากนั้นเราจึงไปแผนกจิตเวชอยู่อาคาร 4 ชั้น 2 ซึ่งเปิดตอน 7 โมงเช้า ยื่นบัตรเสร็จก็รอพยาบาลเรียกชั่งน้ำหนักวัดส่วนสูง ถามประวัติเบื้องต้น เสร็จประมาณ 8 โมงก็นั่งรอคุณหมอลงตรวจประมาณ 9 โมง เราได้เป็นคิวแรกนะคะ แต่มีเคสด่วนเราเลยได้คิวที่ 2 เข้าตรวจเวลา 10 โมงกว่าๆ
คุณหมอจะบันทึกเสียงระหว่างทำการตรวจ คุณหมอดีมากค่ะ เรารู้สึกดีที่ได้คุยกับคุณหมอ เล่าให้คุณหมอฟังว่าเราทำร้ายตัวเอง คุณหมอจึงแนะนำวิธีทำร้ายตัวเองแบบปลอดภัยมาให้ คือการเอาหนังยางดีดที่มือตัวเอง ซึ่งเราพึงพอใจกับวิธีของคุณหมอมาก เราไม่เคยรู้สึกดีแบบนี้มาก่อนเลย เหมือนโลกสดใสขึ้นมาอีกครั้ง จนกระทั้งเวลาผ่านไป 1 ชั่วโมงกว่า ซึ่งเร็วมาก เรารู้สึกเหมือนว่าผ่านไป 10 นาที คุณหมอก็วิฉิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้าและเป็นไบโพล่าด้วย คุณสั่งยาให้ 2 ชนิด
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ 1. Depakine 200 mg 2. Lorazepam 1 mg
คุณหมอนัดอีกทีอาทิตย์หน้า เพื่อเจาะเลือดและดูอาการ แล้วจะมาอัพเดทใหม่
ที่เรามาตั้งกระทู้วันนี้ เราคิดว่าเราพร้อมสู้กับโรคนี้แล้ว และอยากแนะนำคนที่กำลังประสบปัญหาเดียวกันว่าโรคนี้สามารถรักษาให้หายและคุณจะกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง ถึงตอนนี้เราจะยังไม่หายขาดแต่เรารู้สึกว่าโรคนี้มันบันทอนและกินเวลาแห่งความสุขในชีวิตเรามามากพอแล้ว เราอยากมีความสุขอีกครั้งค่ะ
ใครมีญาติหรือคนใกล้ตัวที่เป็นโรคนี้ ขอให้ใจเย็นกับเค้าให้มากๆนะคะ คุณคือกำลังใจที่สำคัญของเค้า ระวังคำพูดที่จะพูดกับคนป่วยโรคนี้ เพราะบางคำพูดมันบันทอนจิตใจพวกเราอย่างมากเลย ตัวอย่างคำพูดที่ควรหลีกเลี่ยงในลิงค์นะคะ สามารถหาได้ทางอินเตอร์เน็ท
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://health.campus-star.com/general/7596.html
เราหาข้อมูลอย่างหนักเกี่ยวกับโรคนี้ทั้งไทยและอังกฤษจึงพบกับ Documentary ของพิธีกรชื่อดังชาวอังกฤษ "Stephen Fry" เค้าให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ป่วยไบโพล่า สามารถหาได้ในยูทูปโดยพิมพ์คำว่า "stephen fry bipolar documentary part 1 " ซึ่งมีหลาย part เป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เข้าใจโรคนี้มากขึ้น
ตอนนี้อาการเราดีขึ้นเล็กน้อยเพราะฤทธิ์ยาหรืออะไรก็ตามแต่ แต่เราร้องไห้น้อยลง จากร้องไห้ทั้งวันทั้นคืน ตอนนี้เฉพาะเวลาอาการของโรคเท่านั้น สามารถนอนหลับได้มากขึ้นกว่าเดิม
หากการพิมพ์ของเราไม่สละสลวยต้องขออภัยด้วย เราพยายามพิมพ์ให้ดีที่สุด ตอนนี้ยังขี้ลืมอยู่ พิมพ์ซ้ำไปซ้ำมาหลายๆครั้งด้วยอาการของโรค จึงต้องกลับไปแก้หลายครั้งอาจจะทำให้อ่านแล้วสับสนบ้างนะคะ
ท้ายที่สุดขอเป็นกำลังใจให้คนที่กำลังป่วยเป็นโรคนี้ เราเข้าใจคุณนะคะ
เมื่อฉันเป็นโรคไบโพล่าและโรคซึมเศร้า ตอน 1
เราเขียนกระทู้นี้ขึ้นมาอาจจะเป็นประโยชน์กับใครหลายๆคน ขอเล่าจากประสบการณ์ตัวเอง
เราเป็นไบโพล่าค่ะและโรคซึมเศร้า โรคนี้ถ้าไม่รู้จักวิธีจัดการกับมัน มันทรมานจริงๆค่ะ
เราจะ spoil ชีวิตวัยเด็ก(ฉบับย่อแล้ว 55 )ไว้นะคะเพราะค่อนข้างยาวไร้สาระนิดนึง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ตั้งแต่เราเรียนจบมาก็ทำงานที่สำนักกฎหมายนานาชาติแถวสุขุมวิท ทำได้อยู่หลายปีก็เปลี่ยนงานไปเรื่อยๆ แต่ก็เป็นงานสายเดิมๆ จนกระทั่งออกมาเปิดสำนักงานกฎหมายของตัวเอง
หลายคนบอกว่า เราเก่ง แต่เราไม่เคยมีความรู้สึกนั้นเลย
เราเริ่มมีอาการ Mania ช่วงอาการนี้เราจะพูดมาก มั่นใจในตัวเองสุด จนเพื่อนคิดว่าเราต้องโดนตัวไหนมาซักตัว มั่นใจขนาดที่สามารถใส่โจงกะเบนออกจากบ้านได้ เราเป็นแบบนี้อยู่ 2-3 อาทิตย์ได้ จากนั้นอาการ Mania ก็จะลดลงและเข้าสู่ภาวะซึมเศร้า เราหดหู่ โลกเป็นสีเทา ทุกอย่างในชีวิตมันแย่
เราเป็นสลับกันแบบนี้อยู่หลายเดือน
จนกระทั่งเดือนกันยายนที่ผ่านมา เป็นวันเกิดของเราเอง เราโดนข่มขืนค่ะ และนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราโดนข่มขืน แต่ครั้งนี้ไม่รุนแรงเท่ากับครั้งในอดีตของเรา เราขอไม่เอ่ยถึงนะคะ ขอเล่าเเค่ครั้งล่าสุด
เราไปนวดกับแฟน เพราะแฟนเราซื้อคูปองนวดให้เป็นของขวัญวันเกิด พอไปถึงร้านนวด คนนวดเป็นผู้ชายแต่เนื่องจากเราไปกับแฟนนอนติดกัน จับมือกันถึง มีเพียงผ้าม่านกั้น เราจึงไม่คิดอะไรมาก พอเริ่มนวดเราก็พล่อยหลับไปค่ะ แฟนก็หลับ เพราะต่างคนต่างเหนื่อย พอนวดไปซักพักหมอนวดมันเอานิ้วใส่เข้าไปในช่องคลอดเราและดูดหัวนมเรา (ตามกฎหมายถือว่าข่มขืนแล้ว) เรากับแฟนไปแจ้งความ แต่ร้านนวดเค้าพาหนีค่ะ ปกปิดทำลายหลักฐานทุกอย่าง เราไปตรวจร่างกายดำเนินการทุกอย่างตามกฎหมาย แต่ผ่านมาตั้งบัดนั้นจนถึงปัจจุบันเราขับรถผ่านไปเรายังเห็นไอ้หมอนวดคนเดิมนั่งอยู่หน้าร้านรอลูกค้าอย่างมีความสุขอยู่หน้าอยู่เลย เราเล่าให้เพื่อนๆเราฟังหลังจากเกิดเหตุได้ 1 วัน เราเป็นคนที่ไม่คิดอะไรมากกับเพื่อนๆ แต่ครั้งนี้ทำให้เรารู้ตัวว่าอาการเราแย่ คือเพื่อนเราคนนึงพูดมาว่า "ก็สมควรแล้ว" ถ้าเป็นเราเมื่อก่อน เราจะไม่คิดอะไรเลย
แต่คำพูดในวันนั้นทำให้เราคิดอยากฆ่าตัวตายค่ะ และเกลียดเพื่อนคนนั้นมาก เราเริ่มรู้สึกตัวเเล้วว่าเราไม่ปกติเพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร
ตั้งแต่นั้นมาเรารู้สึกด้อยค่า รู้สึกชีวิตเรามันแย่ รู้สึกเราไม่มีคุณค่าที่จะอยู่บนโลกใบนี้ เรารู้สึกแบบนี้มาตลอด จนกระทั้งความรู้สึกแบบนี้มันเริ่มมากขึ้นๆ มากจนถึงกับนอนไม่หลับติดๆกัน 3-4 วัน
จากคนที่ขยันทำงาน งานทุกอย่างต้องดี 100% เราเริ่มทิ้งๆขว้างๆ ทำงานชุ่ยๆ บางครั้งถึงขนาดไม่ทำงานงานนอนอย่างเดียวเป็นหลายๆอาทิตย์
เราเริ่มทำร้ายตัวเอง เราเอามีดคัตเตอร์กรีดที่ต้นขาพอเห็นเลือดซึมๆออกมาเรารู้สึกดีมาก เราต่อยกำแพง เตะกำแพงจนเล็บหัก เรารู้สึกได้ปลดปล่อย
เราเริ่มคุยกับตุ๊กตาหมี ได้ยินเสียงแว่ว เราสามารถคุยกับตุ๊กตามีได้เป็นวันๆ อาการ Mania เริ่มหายไปเหลือไว้แต่อาการซึมเศร้า เราทำลายข้าวของ พังโทรศัพท์ ปาแก้วน้ำ กรี๊ดเหมือนคนบ้า ร้องไห้ได้เป็นวันๆคืนๆ ขี้ลืมและพูดวนไปวนมา เราขี้ลืมถึงขนาดเราลืมว่าเรากินข้าวไปแล้ว ภายใน 30 นาที เราพูดเรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมา 2-3 ครั้ง
จนกระทั้งเพื่อนเราคนนึงในกลุ่มเป็นโรคซึมเศร้า เพื่อนก็เล่าให้ฟังว่าไปหาหมอที่โรงพยาบาลรามาได้ยามากินอาการดีขึ้น (ปกติเราหาหมออยู่แล้วสืบเนื่องจากเราโดนข่มขืน ซึ่งคนไข้รายที่โดยข่มขืนนั้นจะต้องพบจิตแพทย์และนักสังคมสงเคราะห์)แต่หมอของเราจำกัดเวลาคุยแค่ 30 นาที เลยรู้สึกว่าอยากเปลี่ยนหมอพอดี เราจึงโทรไปนัดคุณหมอที่ รพ. รามาและโชคดีเราได้คิวพอดีในวันถัดมา
วันศุกร์ที่ 12 มกราคม 2560
เราไปรพ.ตั้งแต่หกโมงเช้าเพื่อรับบัตรที่อาคาร 1 ชั้น 1 เราได้ลงทะเบียนออนไลน์ไว้เรียบร้อบแล้ว จึงรวดเร็วไม่ถึง 5 นาทีก็ได้บัตรหละ ค่าทำบัตร 5 บาทเท่านั้นเจ้าหน้าที่ให้หยอดใส่กล่อง เราเลยหยอดไป 20 บาท ใครสนใจก็คลิ๊กตามลิงค์ด้านล่างนะคะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จากนั้นเราจึงไปแผนกจิตเวชอยู่อาคาร 4 ชั้น 2 ซึ่งเปิดตอน 7 โมงเช้า ยื่นบัตรเสร็จก็รอพยาบาลเรียกชั่งน้ำหนักวัดส่วนสูง ถามประวัติเบื้องต้น เสร็จประมาณ 8 โมงก็นั่งรอคุณหมอลงตรวจประมาณ 9 โมง เราได้เป็นคิวแรกนะคะ แต่มีเคสด่วนเราเลยได้คิวที่ 2 เข้าตรวจเวลา 10 โมงกว่าๆ
คุณหมอจะบันทึกเสียงระหว่างทำการตรวจ คุณหมอดีมากค่ะ เรารู้สึกดีที่ได้คุยกับคุณหมอ เล่าให้คุณหมอฟังว่าเราทำร้ายตัวเอง คุณหมอจึงแนะนำวิธีทำร้ายตัวเองแบบปลอดภัยมาให้ คือการเอาหนังยางดีดที่มือตัวเอง ซึ่งเราพึงพอใจกับวิธีของคุณหมอมาก เราไม่เคยรู้สึกดีแบบนี้มาก่อนเลย เหมือนโลกสดใสขึ้นมาอีกครั้ง จนกระทั้งเวลาผ่านไป 1 ชั่วโมงกว่า ซึ่งเร็วมาก เรารู้สึกเหมือนว่าผ่านไป 10 นาที คุณหมอก็วิฉิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้าและเป็นไบโพล่าด้วย คุณสั่งยาให้ 2 ชนิด
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
คุณหมอนัดอีกทีอาทิตย์หน้า เพื่อเจาะเลือดและดูอาการ แล้วจะมาอัพเดทใหม่
ที่เรามาตั้งกระทู้วันนี้ เราคิดว่าเราพร้อมสู้กับโรคนี้แล้ว และอยากแนะนำคนที่กำลังประสบปัญหาเดียวกันว่าโรคนี้สามารถรักษาให้หายและคุณจะกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง ถึงตอนนี้เราจะยังไม่หายขาดแต่เรารู้สึกว่าโรคนี้มันบันทอนและกินเวลาแห่งความสุขในชีวิตเรามามากพอแล้ว เราอยากมีความสุขอีกครั้งค่ะ
ใครมีญาติหรือคนใกล้ตัวที่เป็นโรคนี้ ขอให้ใจเย็นกับเค้าให้มากๆนะคะ คุณคือกำลังใจที่สำคัญของเค้า ระวังคำพูดที่จะพูดกับคนป่วยโรคนี้ เพราะบางคำพูดมันบันทอนจิตใจพวกเราอย่างมากเลย ตัวอย่างคำพูดที่ควรหลีกเลี่ยงในลิงค์นะคะ สามารถหาได้ทางอินเตอร์เน็ท
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เราหาข้อมูลอย่างหนักเกี่ยวกับโรคนี้ทั้งไทยและอังกฤษจึงพบกับ Documentary ของพิธีกรชื่อดังชาวอังกฤษ "Stephen Fry" เค้าให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ป่วยไบโพล่า สามารถหาได้ในยูทูปโดยพิมพ์คำว่า "stephen fry bipolar documentary part 1 " ซึ่งมีหลาย part เป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เข้าใจโรคนี้มากขึ้น
ตอนนี้อาการเราดีขึ้นเล็กน้อยเพราะฤทธิ์ยาหรืออะไรก็ตามแต่ แต่เราร้องไห้น้อยลง จากร้องไห้ทั้งวันทั้นคืน ตอนนี้เฉพาะเวลาอาการของโรคเท่านั้น สามารถนอนหลับได้มากขึ้นกว่าเดิม
หากการพิมพ์ของเราไม่สละสลวยต้องขออภัยด้วย เราพยายามพิมพ์ให้ดีที่สุด ตอนนี้ยังขี้ลืมอยู่ พิมพ์ซ้ำไปซ้ำมาหลายๆครั้งด้วยอาการของโรค จึงต้องกลับไปแก้หลายครั้งอาจจะทำให้อ่านแล้วสับสนบ้างนะคะ
ท้ายที่สุดขอเป็นกำลังใจให้คนที่กำลังป่วยเป็นโรคนี้ เราเข้าใจคุณนะคะ