“ศรีสุวรรณ”จับมือ “วีระ” แฉ “บิ๊กป้อม”มีนาฬิกานับร้อยเรือนไม่แจ้งป.ป.ช. ชี้ใส่โชว์เย้ย กม.-ปชช. ลั่นเรื่องนี้จะจบแบบลอยนวลไม่ได้
วันนี้ (14 ม.ค.) เวลา 13.30 น. คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 ร่วมกับเครือข่ายภาคประชาชน แถลงสรุปผลงานการตรวจสอบทุจริตประพฤติมิชอบของรัฐบาลและหน่วยงานรัฐ ชาตินี้-ชาติหน้า โดยนายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีตส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ในเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น ตนได้มีการแถลงและยื่นให้กับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ประมาณ 20 เรื่อง เช่นการทุจริตใน กทม. การคอร์รัปชั่นยาปราบศัตรูพืช แต่ยังไม่มีอะไรดีขึ้น เพราะบางเรื่องไม่ได้รับความร่วมมือจากทางราชการในการขอข้อมูล และวันนี้ตั้งแต่ปฏิวัติมา ทำให้ประชาชนรู้ว่าเผด็จการกับประชาธิปไตยต่างกันอย่างไร วันนี้ประชาชนพูดเหมือนกันหมด เข็ดแล้ว จะไม่มีกินแล้ว รวมทั้งพ่อค้านักธุรกิจด้วย ที่บอกว่าเศรษฐกิจดีขึ้นก็ไม่จริง เพราะถ้าดีจริงทำไมคนจนยังอยู่เต็มประเทศ ที่ผ่านมาตนลงพื้นที่มีแต่ประชาชนพูดเป็นเสียงเดียวกันหมดว่า เมื่อไหร่รัฐบาลนี้จะไปเสียที ยืนยันว่าอย่างไรการตรวจสอบการทุจริตเราก็จำเป็นต้องทำต่อ
ด้านนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กล่าวว่า การตรวจสอบการทุจริตของตน เป็นการส่งสัญญาณไม่ให้ผู้มีอำนาจเพ้อหลง โดยตนได้ยื่นเรื่องตรวจสอบ ไปแล้วไม่ต่ำว่า 30 เรื่อง แต่บทสรุปของทุกเรื่องอยู่ที่ “นาฬิกาบิ๊กป้อม” หากนายกฯสามารถชี้แจงได้ ก็จะชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลคสช. เข้ามาแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นได้ แต่วันนี้ยังไม่มีคำตอบจากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเลย และหากนาฬิกานี้ ไปอยู่ในมือนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม ตนว่าป่านนี้อาจจะเข้าซังเต ไปแล้วก็ได้ แต่บังเอิญนาฬิกาทั้ง 22 เรือน ซึ่งมีคนกระซิบว่ามีเป็น 100 เรือน ไม่ใช่แค่ 22 เรือน จึงเห็นว่าเรื่องนี้พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีความจริงใจ แต่ไปกอดอกประกาศต่อต้านคอร์รัปชั่น 9 ธันวาคม เสียเงินให้บริษัทรับทำอีเว้นท์โดยไม่เกิดประโยชน์อะไรทั้งสิ้น
นายศรีสุวรรณ กล่าวต่อว่า ในส่วนของป.ป.ช.ที่ตนยื่นเรื่องไปนั้น แม้จะไม่มีความหวัง แต่ก็เป็นการร้องหรือประจานให้ประชาชนรับรู้ว่าผู้มีอำนาจไม่ให้ความสำคัญกับการทุจริตประพฤติมิชอบ ซึ่งข้อเสนอของตนที่ว่าควรจะสั่งหยุดงาน พล.อ.ประวิตร เพื่อให้การตรวจสอบรวดเร็ว เหมือนอย่างกรณีผู้ว่ากทม.หรือข้าราชการอื่นที่ใช้มาตรา 44 ให้หยุดงานหรือให้พ้นจากตำแหน่งไปก่อน
“ในส่วนการทำงานของ ป.ป.ช.โดยเฉพาะประธานป.ป.ช.ก็เคยเป็นรองเลขาธิการรองนายกฯฝ่ายการเมือง ก็เป็นที่น่าเคลือบแคลงสงสัย ซึ่งท้ายที่สุดก็นำไปสู่การเขียนกฎหมายเพื่อให้คุณสมบัติของ ป.ป.ช.ยังดำรงตำแหน่งอยู่ มีการต่ออายุจาก 7 ปี เป็น 9 ปี และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ก็ไม่ยอมยื่นตีความ ส่วนกรณีร้องไปยัง สตง. ในเรื่องของการเหมาเครื่องบินเหมาลำไปที่ฮาวาย มีเมนูไข่ปลาคาเวียร์ซึ่งสตง.บอกว่าไม่ผิด อย่างนั้นทุกราชการถ้ามีการสั่งไข่ปลาคาเวียร์มาก็ไม่ผิดเลย ดังนั้นการต่อต้านคอร์รัปชั่นและเขียนรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง ก็คือเขียนให้เด็กๆ เพ้อหลง แต่คนไทยไม่ได้กินแกลบ กินหญ้า การต่อต้านคอร์รัปชั่นจะจริงจังมากน้อยเพียงใดก็ ขึ้นอยู่กับนาฬิกาของบิ๊กป้อมเท่านั้น”นายศรีสุวรรณ กล่าว
ขณะที่นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชั่น(คปต.) กล่าวว่า การที่ใครจะหยุดการแถลงวันนี้ แสดงหวั่นไหวในสิ่งที่ภาคประชาชนจะออกมาพูดต่อสาธารณะไม่ต้องห่วง ถ้าเอาอะไรที่ไม่จริง เอาความเท็จมาพูดเพื่อให้ใครเสียหาย ก็มีกลไกทางกฎหมายอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ต้องหวั่นไหว ไม่ต้องกลัว
นายวีระ กล่าวถึงการทำงานขององค์กรอิสระ โดยเฉพาะการทำงานของป.ป.ช.ในเรื่องเครื่องบินเหมาลำ เขาไม่ได้ให้ตรวจสอบว่ามีการเหมาเครื่องบินไปฮาวายหรือไม่ เขาให้ตรวจสอบว่า ใครเป็นคนสั่งการ รวมถึงเรื่องนาฬิกาและแหวน ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นเรื่องที่ต้องช่วยกันตามเพราะไม่ไว้ใจ ป.ป.ช. เรื่องนี้ถือว่าท้าทายกฎหมายมาก ไม่ใช่แค่แหวนและนาฬิกาเท่านั้น ยังมีของมีค่าอย่างอื่นอีกที่ พล.อ.ประวิตร ต้องแสดงบัญชี ถ้าเรื่องนี้ ป.ป.ช.บอกว่าไม่ผิด กฎหมายป.ป.ช.มีปัญหาและบังคับใช้ไม่ได้แล้ว แต่จะมีการเอาไปเป็นตัวอย่าง ต่อไปจะไม่มีใครแจ้งบัญชีทรัพย์สิน เพราะแม้ไม่แจ้งบัญชีก็ไม่ผิด ทั้งที่กฎหมายบอกให้แจ้งก็ต้องปฏิบัติตาม หากไม่ปฏิบัติตาม ก็เป็นการจงใจปกปิด การที่พล.อ.ประวิตร อ้างว่าเป็นเสรีภาพไม่เปิดเผยได้ อย่างนั้นถ้าจะใช้เสรีภาพนี้ก็ไม่ต้องเข้าการเมือง ไม่ต้องร่วมรัฐบาล
“ดังนั้นอย่ามาอ้าง อ้างอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น ในเมื่อปกปิดก็ต้องปกปิดให้ถึงที่สุด มาใส่โชว์ทำไม เป็นการดูถูกประชาชน และท้าทายกฎหมาย เรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ นอกจากจะไม่จัดการแล้ว ยังบอกว่าจะเอาอะไรกันหนักกันหนา ยอมๆ กันบ้างได้หรือไม่ ทั้งที่ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ไปร่วมต่อต้านคอร์รัปชั่น นี่แหละดีแต่พูดไม่ได้มีความจริงจังต่อการต่อต้านคอร์รัปชั่น”นายวีระ กล่าว
นายวีระ กล่าวต่อว่า ที่น่าสนใจคือ นาฬิกาทั้ง 22 เรือนของ พล.อ.ประวิตร ไม่เคยแจ้งต่อป.ป.ช.แม้แต่เรือนเดียว และพล.อ.ประวิตร ไม่เคยใช้สิทธิโต้แย้งแม้แต่เรือนเดียว ส่วนเรื่องแหวนนั้นตนเอาไปยื่นป.ป.ช.อย่างต่ำ 10 วง ดังนั้นเรื่องนี้จะจบแบบลอยนวลไม่ได้ เพราะหลักฐานชัดเจนมาก และไม่ต้องไปรอคำวินิจฉัยจากป.ป.ช. หรือขึ้นศาลที่ไหน เพราะประชาชนทั้งประเทศได้พิพากษาไปเรียบร้อยแล้ว เหลืออย่างเดียว พล.อ.ประวิตรจะรับผิดชอบอย่างไร หรือจะลาออก เรื่องก็ไม่จบ เพราะความผิดทางกฎหมายยังมีอยู่ รวมทั้งพล.อ.ประยุทธ์ต้องรับผิดชอบจะจัดการอย่างไร
“ที่น่าสังเกตคือพล.อ.ประวิตรไปแจ้งว่ามีรถยนต์ 1 คนราคา 1 แสนบาท ปกติรถราคาแพงกว่านี้ และคนอย่างพล.อ.ประวิตร นั่งรถราคาแสนบาทใครจะเชื่อ เมื่อรวมกับแหวนและนาฬิกาแล้ว มูลค่าน่าจะเกินกว่าทรัพย์สินที่รับราชการมาตลอดชีวิตบิ๊กป้อม เพราะหากรับเงินเดือนโดยไม่ใช้อะไรเลย ทรัพย์สินไม่น่าจะเกิน 35 ล้านบาท และทรัพย์สินที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. 87 ล้านบาท รวมถึงนาฬิกาหรูที่เพิ่มมาอีก 35 ล้านบาท ก็น่าจะเข้าข่ายร่ำรวยผิดปกติหรือไม่ ตอนนี้อยู่ที่ว่าองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญจะสรุปออกมาอย่างไร และภาคประชาชนจะกัดไม่ปล่อย”นายวีระกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนการเสวนาจะเริ่มขึ้น เจ้าหน้าที่หน่วยความมั่นคงทั้งทหาร และเจ้าหน้าที่ตำรวจสน.สามเสน ทั้งในและนอกเครื่องแบบ ได้มาเฝ้าติดตามบริเวณสมาคมนักข่าวฯ รวมทั้งเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบบางส่วนมาร่วมฟังการเสวนาด้วย โดยนายอดุลย์ชี้แจงว่า ได้ขออนุญาตเรียบร้อยแล้ว แต่ปรากฎว่ามีบางคนไปแอบอ้างว่ามีผู้ใหญ่ ไม่สบายใจต่อการจัดงานครั้งนี้ ทั้งที่ไม่ใช่ความเป็นจริง เมื่อตรวจสอบก็ไม่พบว่าใครอ้าง ฝ่ายความมั่นคงที่อ้าง คสช. คงไม่ฉลาด คงไม่รู้ว่างานนี้จัดขึ้นเพื่ออะไร ขออย่าให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นอีก
JJNY : ‘ศรีสุวรรณ’ แฉ คนกระซิบบิ๊กป้อมมีเป็นร้อยเรือน ‘วีระ’ไม่เชื่อ แจ้งปปช.รถราคาแสนเดียว
วันนี้ (14 ม.ค.) เวลา 13.30 น. คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 ร่วมกับเครือข่ายภาคประชาชน แถลงสรุปผลงานการตรวจสอบทุจริตประพฤติมิชอบของรัฐบาลและหน่วยงานรัฐ ชาตินี้-ชาติหน้า โดยนายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีตส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ในเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น ตนได้มีการแถลงและยื่นให้กับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ประมาณ 20 เรื่อง เช่นการทุจริตใน กทม. การคอร์รัปชั่นยาปราบศัตรูพืช แต่ยังไม่มีอะไรดีขึ้น เพราะบางเรื่องไม่ได้รับความร่วมมือจากทางราชการในการขอข้อมูล และวันนี้ตั้งแต่ปฏิวัติมา ทำให้ประชาชนรู้ว่าเผด็จการกับประชาธิปไตยต่างกันอย่างไร วันนี้ประชาชนพูดเหมือนกันหมด เข็ดแล้ว จะไม่มีกินแล้ว รวมทั้งพ่อค้านักธุรกิจด้วย ที่บอกว่าเศรษฐกิจดีขึ้นก็ไม่จริง เพราะถ้าดีจริงทำไมคนจนยังอยู่เต็มประเทศ ที่ผ่านมาตนลงพื้นที่มีแต่ประชาชนพูดเป็นเสียงเดียวกันหมดว่า เมื่อไหร่รัฐบาลนี้จะไปเสียที ยืนยันว่าอย่างไรการตรวจสอบการทุจริตเราก็จำเป็นต้องทำต่อ
ด้านนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กล่าวว่า การตรวจสอบการทุจริตของตน เป็นการส่งสัญญาณไม่ให้ผู้มีอำนาจเพ้อหลง โดยตนได้ยื่นเรื่องตรวจสอบ ไปแล้วไม่ต่ำว่า 30 เรื่อง แต่บทสรุปของทุกเรื่องอยู่ที่ “นาฬิกาบิ๊กป้อม” หากนายกฯสามารถชี้แจงได้ ก็จะชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลคสช. เข้ามาแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นได้ แต่วันนี้ยังไม่มีคำตอบจากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเลย และหากนาฬิกานี้ ไปอยู่ในมือนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม ตนว่าป่านนี้อาจจะเข้าซังเต ไปแล้วก็ได้ แต่บังเอิญนาฬิกาทั้ง 22 เรือน ซึ่งมีคนกระซิบว่ามีเป็น 100 เรือน ไม่ใช่แค่ 22 เรือน จึงเห็นว่าเรื่องนี้พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีความจริงใจ แต่ไปกอดอกประกาศต่อต้านคอร์รัปชั่น 9 ธันวาคม เสียเงินให้บริษัทรับทำอีเว้นท์โดยไม่เกิดประโยชน์อะไรทั้งสิ้น
นายศรีสุวรรณ กล่าวต่อว่า ในส่วนของป.ป.ช.ที่ตนยื่นเรื่องไปนั้น แม้จะไม่มีความหวัง แต่ก็เป็นการร้องหรือประจานให้ประชาชนรับรู้ว่าผู้มีอำนาจไม่ให้ความสำคัญกับการทุจริตประพฤติมิชอบ ซึ่งข้อเสนอของตนที่ว่าควรจะสั่งหยุดงาน พล.อ.ประวิตร เพื่อให้การตรวจสอบรวดเร็ว เหมือนอย่างกรณีผู้ว่ากทม.หรือข้าราชการอื่นที่ใช้มาตรา 44 ให้หยุดงานหรือให้พ้นจากตำแหน่งไปก่อน
“ในส่วนการทำงานของ ป.ป.ช.โดยเฉพาะประธานป.ป.ช.ก็เคยเป็นรองเลขาธิการรองนายกฯฝ่ายการเมือง ก็เป็นที่น่าเคลือบแคลงสงสัย ซึ่งท้ายที่สุดก็นำไปสู่การเขียนกฎหมายเพื่อให้คุณสมบัติของ ป.ป.ช.ยังดำรงตำแหน่งอยู่ มีการต่ออายุจาก 7 ปี เป็น 9 ปี และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ก็ไม่ยอมยื่นตีความ ส่วนกรณีร้องไปยัง สตง. ในเรื่องของการเหมาเครื่องบินเหมาลำไปที่ฮาวาย มีเมนูไข่ปลาคาเวียร์ซึ่งสตง.บอกว่าไม่ผิด อย่างนั้นทุกราชการถ้ามีการสั่งไข่ปลาคาเวียร์มาก็ไม่ผิดเลย ดังนั้นการต่อต้านคอร์รัปชั่นและเขียนรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง ก็คือเขียนให้เด็กๆ เพ้อหลง แต่คนไทยไม่ได้กินแกลบ กินหญ้า การต่อต้านคอร์รัปชั่นจะจริงจังมากน้อยเพียงใดก็ ขึ้นอยู่กับนาฬิกาของบิ๊กป้อมเท่านั้น”นายศรีสุวรรณ กล่าว
ขณะที่นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชั่น(คปต.) กล่าวว่า การที่ใครจะหยุดการแถลงวันนี้ แสดงหวั่นไหวในสิ่งที่ภาคประชาชนจะออกมาพูดต่อสาธารณะไม่ต้องห่วง ถ้าเอาอะไรที่ไม่จริง เอาความเท็จมาพูดเพื่อให้ใครเสียหาย ก็มีกลไกทางกฎหมายอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ต้องหวั่นไหว ไม่ต้องกลัว
นายวีระ กล่าวถึงการทำงานขององค์กรอิสระ โดยเฉพาะการทำงานของป.ป.ช.ในเรื่องเครื่องบินเหมาลำ เขาไม่ได้ให้ตรวจสอบว่ามีการเหมาเครื่องบินไปฮาวายหรือไม่ เขาให้ตรวจสอบว่า ใครเป็นคนสั่งการ รวมถึงเรื่องนาฬิกาและแหวน ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นเรื่องที่ต้องช่วยกันตามเพราะไม่ไว้ใจ ป.ป.ช. เรื่องนี้ถือว่าท้าทายกฎหมายมาก ไม่ใช่แค่แหวนและนาฬิกาเท่านั้น ยังมีของมีค่าอย่างอื่นอีกที่ พล.อ.ประวิตร ต้องแสดงบัญชี ถ้าเรื่องนี้ ป.ป.ช.บอกว่าไม่ผิด กฎหมายป.ป.ช.มีปัญหาและบังคับใช้ไม่ได้แล้ว แต่จะมีการเอาไปเป็นตัวอย่าง ต่อไปจะไม่มีใครแจ้งบัญชีทรัพย์สิน เพราะแม้ไม่แจ้งบัญชีก็ไม่ผิด ทั้งที่กฎหมายบอกให้แจ้งก็ต้องปฏิบัติตาม หากไม่ปฏิบัติตาม ก็เป็นการจงใจปกปิด การที่พล.อ.ประวิตร อ้างว่าเป็นเสรีภาพไม่เปิดเผยได้ อย่างนั้นถ้าจะใช้เสรีภาพนี้ก็ไม่ต้องเข้าการเมือง ไม่ต้องร่วมรัฐบาล
“ดังนั้นอย่ามาอ้าง อ้างอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น ในเมื่อปกปิดก็ต้องปกปิดให้ถึงที่สุด มาใส่โชว์ทำไม เป็นการดูถูกประชาชน และท้าทายกฎหมาย เรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ นอกจากจะไม่จัดการแล้ว ยังบอกว่าจะเอาอะไรกันหนักกันหนา ยอมๆ กันบ้างได้หรือไม่ ทั้งที่ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ไปร่วมต่อต้านคอร์รัปชั่น นี่แหละดีแต่พูดไม่ได้มีความจริงจังต่อการต่อต้านคอร์รัปชั่น”นายวีระ กล่าว
นายวีระ กล่าวต่อว่า ที่น่าสนใจคือ นาฬิกาทั้ง 22 เรือนของ พล.อ.ประวิตร ไม่เคยแจ้งต่อป.ป.ช.แม้แต่เรือนเดียว และพล.อ.ประวิตร ไม่เคยใช้สิทธิโต้แย้งแม้แต่เรือนเดียว ส่วนเรื่องแหวนนั้นตนเอาไปยื่นป.ป.ช.อย่างต่ำ 10 วง ดังนั้นเรื่องนี้จะจบแบบลอยนวลไม่ได้ เพราะหลักฐานชัดเจนมาก และไม่ต้องไปรอคำวินิจฉัยจากป.ป.ช. หรือขึ้นศาลที่ไหน เพราะประชาชนทั้งประเทศได้พิพากษาไปเรียบร้อยแล้ว เหลืออย่างเดียว พล.อ.ประวิตรจะรับผิดชอบอย่างไร หรือจะลาออก เรื่องก็ไม่จบ เพราะความผิดทางกฎหมายยังมีอยู่ รวมทั้งพล.อ.ประยุทธ์ต้องรับผิดชอบจะจัดการอย่างไร
“ที่น่าสังเกตคือพล.อ.ประวิตรไปแจ้งว่ามีรถยนต์ 1 คนราคา 1 แสนบาท ปกติรถราคาแพงกว่านี้ และคนอย่างพล.อ.ประวิตร นั่งรถราคาแสนบาทใครจะเชื่อ เมื่อรวมกับแหวนและนาฬิกาแล้ว มูลค่าน่าจะเกินกว่าทรัพย์สินที่รับราชการมาตลอดชีวิตบิ๊กป้อม เพราะหากรับเงินเดือนโดยไม่ใช้อะไรเลย ทรัพย์สินไม่น่าจะเกิน 35 ล้านบาท และทรัพย์สินที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. 87 ล้านบาท รวมถึงนาฬิกาหรูที่เพิ่มมาอีก 35 ล้านบาท ก็น่าจะเข้าข่ายร่ำรวยผิดปกติหรือไม่ ตอนนี้อยู่ที่ว่าองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญจะสรุปออกมาอย่างไร และภาคประชาชนจะกัดไม่ปล่อย”นายวีระกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนการเสวนาจะเริ่มขึ้น เจ้าหน้าที่หน่วยความมั่นคงทั้งทหาร และเจ้าหน้าที่ตำรวจสน.สามเสน ทั้งในและนอกเครื่องแบบ ได้มาเฝ้าติดตามบริเวณสมาคมนักข่าวฯ รวมทั้งเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบบางส่วนมาร่วมฟังการเสวนาด้วย โดยนายอดุลย์ชี้แจงว่า ได้ขออนุญาตเรียบร้อยแล้ว แต่ปรากฎว่ามีบางคนไปแอบอ้างว่ามีผู้ใหญ่ ไม่สบายใจต่อการจัดงานครั้งนี้ ทั้งที่ไม่ใช่ความเป็นจริง เมื่อตรวจสอบก็ไม่พบว่าใครอ้าง ฝ่ายความมั่นคงที่อ้าง คสช. คงไม่ฉลาด คงไม่รู้ว่างานนี้จัดขึ้นเพื่ออะไร ขออย่าให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นอีก