(บทความ...นายพระรอง) สังคมชนชั้นที่ไม่มีวันหายไปหากอาศัยยูนิฟอร์มเป็นตัวชี้วัด

กระทู้คำถาม
หากการเมืองคือเรื่องของการแบ่งปันผลประโยชน์
สิ่งหนึ่งที่เป็นอุปสรรคของการแบ่งปันผลประโยชน์ทางการเมืองอย่างทั่วถึง ก็คือ สังคมชนชั้น


       เป็นที่รู้กันดีว่าขนบธรรมเนียมประเพณีของประเทศไทยนั้น เป็นสังคมชนชั้นมาตั้งแต่โบราณกาล ที่สถานะความสำคัญของคนใดๆนั้น ขึ้นอยู่กับว่าเกิดในชนชั้นไหน จนประเทศไทยได้มีการประกาศเลิกทาสในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อปี พ.ศ.2448 และได้ประกาศกฎหมายพระราชบัญญัติลักษณะเกณฑ์ทหาร รัตนโกสิทร์ศก 124 เพื่อเป็นการเลิกไพร่ แต่ก็มิได้ทำให้สังคมชนชั้นหายไปจากสังคมไทย เพราะการประกาศเลิกไพร่และทาสนั้นเพียงแค่ทำให้ชนชั้นล่างสุดสองชนชั้นอย่างไพร่และทาส เหลือเพียงชนชั้นเดียวคือ “ราษฎร” แต่นั้นก็ถือว่าดีมากแล้ว เพราะการปกครองตามยุคสมัยนั้น ระบอบสังคมเสรียังมีบทบาทน้อยมากๆ มีเพียงแต่ประเทศชั้นนำของโลกที่เริ่มแนวคิดเสรีนิยมจนกลายมาเป็นระบอบประชาธิปไตยไม่กี่ประเทศเท่านั้น ที่นำหน้าทำการเลิกทาสก่อนหน้าประเทศไทย

       ซึ่งกะทู้นี้ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ต้องการเรียกร้อง ความเสรีหรือศักดิ์ศรีเท่าเทียมอะไร เพราะมันเป็นไปไม่ได้ แม้ต่อให้ประเทศที่เจริญล้ำหน้าทางประชาธิปไตยสุดๆ แบบประเทศตะวันตก ในทุกวันนี้ ก็ยังมีสังคมชนชั้น เพียงแต่ว่าการแบ่งปันผลประโยชน์กันโดยอาศัยการเมืองเป็นเครื่องมือ ประเทศเหล่านั้นทำได้ดีกว่าประเทศไทยของเรามาก เนื่องมาจากปัจจัยการกำหนดชนชั้นสังคมของเขานั้น วัดกันที่ความสามารถ ในขณะที่ประเทศไทยของเรา วัดค่าความเป็นคนจัดแบ่งสังคมชนชั้นจากค่านิยมคร่ำครึ

ค่านิยมอะไรบ้าง..? ที่ว่าคร่ำครึ
       ยกตัวอย่างง่ายๆที่ทุกคนที่มีอายุอยู่ในวัยกลางคน น่าจะเคยได้ยินกันมาบ้างว่า “ตั้งใจเรียนนะลูก โตขึ้นจะได้เป็นเจ้าคนนายคน” คำว่าเจ้าคนนายคนในประโยคนี้ ตามบริบทค่านิยมของสังคมไทยแบบเก่า แปลได้แค่ความหมายเดียว คือ “ข้าราชการ” ที่ทำงานในภาคส่วนของการปกครองการควบคุม ทั้งทหาร ตำรวจ อัยการ ผู้พิพากษา ปลัด หรือนายอำเภอแต่ต่อมาเมื่อเงินตราเข้ามามีส่วนในการกำหนดบทบาทมากขึ้นในประเทศ ค่านิยมในประเทศไทยก็เริ่มมีการปลูกฝังบุตรหลานก็เริ่มมีการเปลี่ยนมาเลือกเป็นอาชีพที่สามารถสร้างรายได้มั่นคงมากขึ้น ด้วยการบอกว่า “เรียนให้เก่งๆนะลูก โตขึ้นจะได้เป็นหมอ เป็นทนาย

       และค่านิยมคร่ำครึเหล่านี้ก็กลายเป็นข้อกำหนดบทบาทชนชั้นในสังคมด้วยสัมมาอาชีพไปโดยปริยาย ซึ่งในที่นี้ผมแทนความหมายด้วยคำว่า “ยูนิฟอร์ม” เพราะผมมองว่าการมียูนิฟอร์มหรือการใส่เครื่องแบบคือเครื่องการรันตรีสถานะชนชั้นในสังคมไทยตามค่านิยมแบบเก่า

       หลักฐานสำคัญที่บอกว่าแต่ล่ะอาชีพในสังคมมีศักดิ์ศรีไม่เท่าเทียมกัน ก็ชี้ให้ท่านที่เข้ามาอ่านเห็นกันง่าย คือ การรวมตัวรวมกลุ่มแล้วสามารถกำหนดบทบาทตัวเอง หรือขับเคลื่อนสังคมได้ ยกตัวอย่าง หมอมี แพทย์สภา  ทนายมี สภาทนายความ วิศวกร มี วิศกรรมสถาน เป็นต้น การรวมกลุ่มเหล่านี้ เข้มแข็งจนสามารถกำหนดบทบาทของตัวเองให้ดูมีสิทธิเหนือสัมมาอาชีพอื่น เช่นเวลา คนในสัมมาอาชีพที่มีการรวมกลุ่มกันเข้มแข็งทำผิด ก็จะถูกตัดสินโดยองค์กรของตัวเองก่อน หมอทำผิด ตัดสินโดยแพทยสภา วิศกรผิดพลาด ตัดสินโดย วิศกรรมสถาน แต่อาชีพที่เป็นรองด้านศักดิ์ศรีกว่าสัมมาอาชีพชั้นนำเหล่านี้ ไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ เคยเห็นไหม วินมอเตอร์ไซต์รับจ้างทำผิด ต้องถูกตัดสินโดยสมัชชาวินมอเตอร์ไซต์ หรือแม่ค้าในตลาด ทำผิด ต้องถูกไต่สวนและตัดสินโดยสภาแม่ค้าตลาดสด

       หากใครคิดว่าที่ผมเล่ามา ไม่เป็นความจริง ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมชนชั้นของประเทศไทย ก็ลองคิดตามผมง่ายๆอีกสักนิดว่า หากวันนี้มีสื่อสำนักไหนก็ได้ พาดหัวข่าวว่า ชาวนาโง่ หรือ เอาอาชีพชั้นนำอื่นๆที่ผมเอ่ยมาข้างต้น มาต่อท้ายด้วยคำว่าโง่ คุณคิดว่าปฏิกิริยาการต่อต้านจากผู้ประกอบสัมมาอาชีพแบบไหน จะมีสิทธิ์เสียงในสังคมมากกว่ากัน ผมว่าคำตอบที่ท่านผู้ใดที่ลองคิดตามก็คงไม่ได้แตกต่างไปจากที่ผมคิด

       หรือลองอีกสักตัวอย่าง หากชาวนาหรือเกษตรกรที่ปลูกผลิตผลอย่างอื่นแห่กันมามืดฟ้ามัวดินมาชุมนุมเรียกร้องราคาตอบแทนผลผลิต เทียบกับสักอาชีพที่ผมเอ่ยข้างต้นสักอาชีพ ที่ก็มารวมตัวกันชุมนุมเหมือนกัน แต่จำนวนไม่ต้องเยอะเอาสักหลักร้อยมาเรียกร้องผลตอบแทนในอาชีพตนเองเพิ่ม ท่านที่ลองคิดตามผม ท่านคิดว่าอาชีพไหนจะได้รับการตอบสนองจากภาครัฐมากกว่ากัน อาชีพที่ใส่เครื่องแบบหรือมียูนิฟอร์ม หรือว่าเกษตรกรที่แต่งชุดแบบชาวบ้าน

       และคำตอบที่ท่านที่ได้ลองคิดตามผมได้รู้อยู่ในใจ มันก็เป็นเครื่องยืนยันที่แน่ชัดว่า ประเทศไทยของเราใช้สัมมาอาชีพติดตัวเป็นปัจจัยส่วนหนึ่งในการกำหนดชนชั้นทางสังคม

       ถามว่าที่ต่างประเทศ เอาเฉพาะประเทศที่ได้ชื่อว่า “พัฒนาแล้ว” มีปรากฏการณ์เช่นนี้หรือไม่ ไอ้คนที่ทั้งชีวิต มีเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงที่เคยเหยียบแผ่นดินต่างประเทศอย่างผมจะกล้าตอบแบบเต็มปากเต็มคำว่าไม่มี มันก็ทำได้ยาก แต่จากที่ติดตามข่าวสารมาก็ต้องบอกว่า ในกลุ่มชนชั้นรายได้น้อยของสังคมที่พัฒนาแล้ว อย่างแรงงานเกษตรกร หรือผู้ใช้แรงงานในภาคอุตสาหกรรมของต่างประเทศที่พัฒนาแล้ว รวมถึงทุกอาชีพที่มีส่วนร่วมอยู่ในสังคม ต่างก็สามารถเรียกร้องสิทธิแบ่งปันผลประโยชน์จากภาคสังคมได้ ไม่น้อยหน้าสัมมาอาชีพอื่นของพวกเขา

       ซึ่งนั้นแปลว่าการเลือกประกอบอาชีพหรือจำเป็นต้องประกอบอาชีพใดๆของพวกเขา แทบไม่ได้เป็นปัจจัยที่กำหนดบทบาทให้เขาอยู่ชนชั้นที่แตกต่างกันของสังคม

       หากมองในภาพรวม ก็ต้องบอกว่าที่ปัญหาการเหลื่อมล้ำทางสังคมของพวกเขาน้อย(ผมใช้คำว่าน้อยนะครับ ไม่ได้บอกว่าไม่มี) เพราะประเทศที่พัฒนาแล้ว เขาไม่ได้มีค่านิยมเอาสัมมาอาชีพมาชี้วัดตัดสินการเข้าถึงสิทธิและโอกาสของประชาชน ซึ่งนั้นทำให้ช่องว่างของการฉกฉวยผลประโยชน์จากคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งทำได้ยาก มีโอกาสน้อยมากๆที่จะเกิด “ภาวะรวยกระจุกจนกระจาย” เพราะทุกคนในทุกชนชั้นสังคมสามารถแบ่งปันผลประโยชน์กันได้โดยอาศัยสิทธิทางการเมือง

คำถามคือ แล้วเราล่ะ เคยคิดเรื่องแบบนี้กันบ้างไหม..?
       หรือรู้แต่ว่า อยากให้ลูกลานเมื่อโตขึ้นแล้วเป็นนั้นเป็นนี้ เพราะมีศักดิ์ศรีทางสังคมสูงและได้รับการยอมรับ ปล่อยให้ค่านิยมคร่ำครึมากำหนดบทบาทชนชั้นทางสังคมที่มีช่องว่างถ่างออกจากกันเรื่อยไป

แล้วคำถามที่สำคัญที่สุดล่ะ ทางแก้เรื่องแบบนี้มีไหม..?
       คำตอบคือ มีครับ แต่ทำได้ค่อนข้างยากมากๆในบ้านเรา หากค่านิยมทางสังคมยังยึดติดกับยูนิฟอร์มหรือสัมมาอาชีพบางอย่างแบบนี้รวมถึงยังมีการยึดติดกับผลประโยชน์ที่ต่างฝ่ายต่างหวังกอบโกยเข้าตัวเองให้มากที่สุดด้วย ส่วนวิธีการเท่าที่ผมคิดและดูจากต่างประเทศที่เขาพัฒนาแล้วก็คือ ภาคส่วนอื่นๆต้องแบ่งปันผลประโยชน์ของตนเองไปให้ภาคการเกษตรหรือชนชั้นแรงงานให้มากขึ้น ช่วงแรกอาจต้องใช้วิธีที่กลุ่มคนชั้นสูงต่อต้านมาตลอด คือใช้เงินอุดหนุนภาคการเกษตร และปรับเพิ่มค่าแรงให้สอดคล้องกับค่าใช้จ่าย ใช้นโยบายควบคุมราคาสินค้ามิให้ผู้ประกอบการมีสิทธิ์ขยับราคาขึ้นตามใจชอบ กำหนดเขตพื้นที่การเกษตรเพาะปลูกผลผลิตแต่ละชนิดไม่ให้มีมากหรือน้อยเกินไปจนกระทบต่อราคาขาย จัดทำนโยบายขึ้นทะเบียนเกษตรกร และภาครัฐส่งเสริมให้จัดสร้างองค์กรที่มีประสิทธิภาพในการต่อรองของภาคการเกษตรแต่ล่ะประเภท เพื่อป้องกันพ่อค้าคนกลางกดราคาผลผลิต ด้านอุตสาหกรรมซึ่งเกี่ยวเนื่องกับภาคแรงงาน ให้ส่งเสริมอุตสาหกรรมขั้นสูง เพื่อสร้างมูลค่าในการส่งออก ปรับฐานภาคการผลิตไปสู่อุตสาหกรรมเทคโนโลยี ควบคุมปริมาณอุตสาหกรรม

       เท่าที่ผมรู้ ญี่ปุ่นเองก็ใช้วิธีแบบนี้ แต่ในช่วง 10 ปีแรกในการใช้นโยบายเช่นนี้อาจใช้งบประมาณจากส่วนกลางมากหน่อย การพัฒนาด้านอื่นๆของประเทศอาจได้รับผลกระทบจากงบประมาณที่ลดลงบ้าง แต่เมื่อการยกระดับฐานะของเกษตรและแรงงานการผลิตของพวกเขาเป็นผลแล้ว สภาพความเหลื่อมล้ำหรือช่องว่างทางสังคมชนชั้น ของพวกเขาก็น้อยลง

       วิธีแบบนี้นักเศรษฐศาสตร์ที่มีกันเต็มบ้านเต็มเมือง ต่างก็รู้ครับ แต่ก็ไม่มีใครเสนอให้ทำ เพราะพอมีคนทำก็มองว่าเขาโกง ทำเพราะหวังผลประโยชน์ส่วนตัว ความหวังที่สังคมของเราจะลดความเหลื่อมล้ำลงได้บ้าง ก็กลายเป็นฝันค้างกันต่อไปอย่างที่เราๆท่านๆเห็นกันอยู่


ท่านที่ได้อ่านงานเขียนชิ้นนี้ของผมล่ะครับ คิดอย่างไร
       ส่วนผมขอสรุปประเด็นว่า มันไม่ค่อยแฟร์หากเอายูนิฟอร์มาชี้วัดค่าของความเป็นคน อย่างที่สังคมไทยโดนปฏิบัติและปลูกฝั่งสืบต่อกันเรื่อยมาครับ



ป.ล.ก็หาเรื่องเขียนไปเรื่อยนะครับ เมื่อแสดงความเห็นทางการเมืองลำบาก ก็หลีกมาถกกันเรื่องเชิงโครงสร้างของสังคมดีกว่าครับ แต่ก็สนุกดีนะครับ เขียนเรื่องแบบนี้ ได้แสดงความเห็นในมุมที่คนอื่นเลือกจะมองข้าม แต่เราก็ยังพอจะมองเห็นความบกพร่องในแง่มุมต่างๆของสังคม ซึ่งมันสามารถแก้ไขได้ด้วยวิถีทาง ทางการเมือง

ขอบคุณครับ
นายพระรอง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่