ช่วงราวปี AD.100 – 170 (พ.ศ. 644-714) มีแนวคิดของ Claudius Ptolemy ซึ่งเรานิยมเรียกท่านสั้นๆว่า “ปโตเลมี” ท่านเป็นนักภูมิศาสตร์, นักดาราศาสตร์, และนักโหราศาสตร์ชาวกรีกโบราณที่มีความสามารถและมีผลงานเขียนด้านโหราศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่

ปโตเรมีได้แสดงโมเดลของโลกและจักรวาลไว้โดยนำดาวที่อยู่ใกล้โลกมาเรียงต่อกันออกไปจนถึงดาวเสาร์ ซึ่งเป็นลักษณะที่นักพยากรณ์ใช้ในการทำวงจักรราศีปัจจุบัน (เพิ่มเส้นแบ่งเรือนและราศีเข้าไป)

จากภาพด้านบนนี้ เป็นแนวคิดโคจรของดาว ซึ่งสมัยนั้นเข้าใจว่าโลกเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาล เรียก Geocentric Model
(ในโหราศาสตร์ไทยและสากล เพิ่มราหู, เกตุ, ยูเรนัส (พบ 1781), เนปจูน (พบ 1846), พลูโต (พบ 1930) มาใช้ไม่กี่สิบกี่ร้อยปีนี่เอง ฉะนั้นรอบสถิติโหราศาสตร์ยังน้อย)

ภาพด้านบน ให้ท่านสมมุติว่าตนเองกำลังยืนที่ขั้วโลก ท่านจะพบว่ากลุ่ม 12 ราศีและดาวจะหมุนรอบตัวท่าน แต่หากท่านยืนที่เส้นศูนย์สูตร (เส้นสีแดงที่พันโลก) กลุ่ม 12 ราศีและดาวจะโคจรเหนือศรีษะ
+++++++++++++++++++++
โมเดลการโคจรของดาวในแนวคิดของปโตเลมี
ท่านปโตเลมีผู้มีความสามารถได้บันทึกและคำนวนการเคลื่อนไหวของดาว โดยสามารถแสดงการโคจรรูปแบบ 2 มิติ โดยมุมมองนี้เป็นการมองลงไปยังขั้วโลกเหนือ (เหมือนที่ผู้อ่านเรียนจักรราศีแบบทวนเข็มนาฬิกา)

เหตุที่ทำให้เกิดการเคลื่อนไปหน้าและหลังของดาว หรือเรียกพักตร์ เสริด มนตร์นั้น แนวคิดของปโตเลมีแสดงว่าเกิดจากจุดหมุน 3 แกน คล้ายๆว่าโลกนี้อยู่ในเครื่องจักรขนาดใหญ่
+++++++++++++++++++++
หนังสือโหราศาสตร์ของปโตเลมี
ปโตเลมีได้สร้างงานเขียนทางโหราศาสตร์ที่ตกทอดมาเกือบ 2 พันปีและมีชื่อเสียง ชื่อ Tetrabiblos, หรือ 'four-part book' ซึ่งเป็นหนึ่งในตำราโหราศาสตร์โบราณที่สิ่งสำคัญที่สุดที่อยู่รอดมาถึงยุคปัจจุบัน

ในหนังสือโหราศาสตร์
The Tetrabiblos แบ่งออกเป็น 4 ส่วน คือ
ส่วนที่ 1: พื้นฐาน อาทิ พลังของดวงดาว, มุมสัมพันธ์ดาวอาทิตย์, มุมสัมพันธ์ดวงดาวต่างๆ, ความสำคัญของฤดูกาล (โหรไทยรุ่นใหม่ไม่ค่อยสนใจตรงนี้), ปลีกย่อยเรื่องราศี, และเพศชาย-หญิง
ส่วนที่ 2: เรื่องการทาย
ส่วนที่ 3-4: เน้นทายเฉพาะเรื่อง
*************
ยกตัวอย่างข้อมูลที่น่าสนใจจากหนังสือ
ยกตัวอย่างส่วนหนึ่งของส่วนที่ 3 ข้อ 4 "Of Parents. " เรื่องบุพการี ท่านเขียนว่า
“Now the sun and Saturn are by nature associated with the person of the father and the moon and Venus with that of the mother”
แปลว่า พระอาทิตย์และดาวเสาร์เป็นธรรมชาติที่เกี่ยวพันกับพ่อ และดวงจันทร์กับดาวศุกร์นั้นแลแม่
แค่การยกมาเพียงเท่านี้ ผู้อ่านก็พอเห็นได้ว่าหนังสือเล่มนี้น่าสนใจ เพราะเราพบว่าการถ่ายทอดโหราศาสตร์หลายแห่งในเมืองไทยสอนข้อมูลขาดไปตั้งครึ่ง! “ดาวเสาร์” มักจะอ่านว่าทุกข์ระทม ซึ่งทำให้นักพยากรณ์จำนวนมากขาดความหมายของ “พ่อ”
และ "ดาวศุกร์" เองก็มิได้หมายถึงรายได้ หรือความสุขเท่านั้น หมายถึง "แม่" ได้อีกด้วย
เมื่อผู้เขียนนึกถึงหลักฐานหนึ่ง ไพยิปซีชุด Rider-Waite (พิมพ์ครั้งแรก ปี ค.ศ.1910) ก็ผุดขึ้นมา เพราะในภาพไพ่ The Empress ซึ่งมีความหมายหนึ่ง คือ แม่ นั้น มีสัญลักษณ์ของดาวศุกร์ ตรงฐานเก้าอี้

ขณะเดียวกัน ภาพบนไพ่ The Emperor ซึ่งมีความหมายแทน “พ่อ” ด้วยนั้น ก็มีลักษณะอารมณ์แบบดาวเสาร์ (หน้างิ้ว คิ้วขมวด ทุกข์ไม่พอใจ) และคฑาความยุติธรรมที่มือขวาก็เป็นสัญลักษณ์ของดาวเสาร์ด้วย (คฑาทรงนี้ได้รับอิทธิผลมาแบบของผู้ปกครองอียิปต์โบราณ)

Santos Bonacci นักวิชาการด้านโหราศาสตร์โบราณ เคยบอกว่า ลักษณะคฑาเช่นนี้สามารถแทนดาวเสาร์ได้ เพราะเขาเทียบว่า หัวคฑากลมแทนทรงดาว และเส้นตรงใต้คฑาแทนวงแหวนดาว ในระบบสุริยะจักรวาลจึงมีดาวเสาร์เท่านั้นที่ชัดเจน ซึ่งก็เป็นแนวคิดที่แปลกหูดี

ภาพ: Santos Bonacci (
https://universaltruthschool.com/about-santos/)
ผู้เขียนคิดว่าความรู้โหราศาสตร์โบราณแบบปโตเลมีน่าสนใจมาก และเมื่อได้มีโอกาสสัมผัสกับ The Tetrabiblos ทำให้โหราศาสตร์น่าสนใจมากขึ้น ควรค่าแก่การศึกษาเพื่อวงการโหราศาสตร์ของเมืองไทยที่จะกว้างขวางขึ้นกว่าเดิม ไม่ซ้ำซากน่าเบื่อ
ลิงค์หนังสือ The Tetrabiblos
http://www.astrologiamedieval.com/tabelas/Tetrabiblos.pdf หรือหาซื้อทางอเมซอนดอทคอมก็มี
โชคดีครับ
"ปโตเลมี" ผู้เขียน The Tetrabiblos หนังสือโหราศาสตร์โบราณ อายุเกือบ 2,000 ปี – ทัศนะโหราศาสตร์
ปโตเรมีได้แสดงโมเดลของโลกและจักรวาลไว้โดยนำดาวที่อยู่ใกล้โลกมาเรียงต่อกันออกไปจนถึงดาวเสาร์ ซึ่งเป็นลักษณะที่นักพยากรณ์ใช้ในการทำวงจักรราศีปัจจุบัน (เพิ่มเส้นแบ่งเรือนและราศีเข้าไป)
จากภาพด้านบนนี้ เป็นแนวคิดโคจรของดาว ซึ่งสมัยนั้นเข้าใจว่าโลกเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาล เรียก Geocentric Model
(ในโหราศาสตร์ไทยและสากล เพิ่มราหู, เกตุ, ยูเรนัส (พบ 1781), เนปจูน (พบ 1846), พลูโต (พบ 1930) มาใช้ไม่กี่สิบกี่ร้อยปีนี่เอง ฉะนั้นรอบสถิติโหราศาสตร์ยังน้อย)
ภาพด้านบน ให้ท่านสมมุติว่าตนเองกำลังยืนที่ขั้วโลก ท่านจะพบว่ากลุ่ม 12 ราศีและดาวจะหมุนรอบตัวท่าน แต่หากท่านยืนที่เส้นศูนย์สูตร (เส้นสีแดงที่พันโลก) กลุ่ม 12 ราศีและดาวจะโคจรเหนือศรีษะ
+++++++++++++++++++++
โมเดลการโคจรของดาวในแนวคิดของปโตเลมี
ท่านปโตเลมีผู้มีความสามารถได้บันทึกและคำนวนการเคลื่อนไหวของดาว โดยสามารถแสดงการโคจรรูปแบบ 2 มิติ โดยมุมมองนี้เป็นการมองลงไปยังขั้วโลกเหนือ (เหมือนที่ผู้อ่านเรียนจักรราศีแบบทวนเข็มนาฬิกา)
เหตุที่ทำให้เกิดการเคลื่อนไปหน้าและหลังของดาว หรือเรียกพักตร์ เสริด มนตร์นั้น แนวคิดของปโตเลมีแสดงว่าเกิดจากจุดหมุน 3 แกน คล้ายๆว่าโลกนี้อยู่ในเครื่องจักรขนาดใหญ่
+++++++++++++++++++++
หนังสือโหราศาสตร์ของปโตเลมี
ปโตเลมีได้สร้างงานเขียนทางโหราศาสตร์ที่ตกทอดมาเกือบ 2 พันปีและมีชื่อเสียง ชื่อ Tetrabiblos, หรือ 'four-part book' ซึ่งเป็นหนึ่งในตำราโหราศาสตร์โบราณที่สิ่งสำคัญที่สุดที่อยู่รอดมาถึงยุคปัจจุบัน
ในหนังสือโหราศาสตร์ The Tetrabiblos แบ่งออกเป็น 4 ส่วน คือ
ส่วนที่ 1: พื้นฐาน อาทิ พลังของดวงดาว, มุมสัมพันธ์ดาวอาทิตย์, มุมสัมพันธ์ดวงดาวต่างๆ, ความสำคัญของฤดูกาล (โหรไทยรุ่นใหม่ไม่ค่อยสนใจตรงนี้), ปลีกย่อยเรื่องราศี, และเพศชาย-หญิง
ส่วนที่ 2: เรื่องการทาย
ส่วนที่ 3-4: เน้นทายเฉพาะเรื่อง
*************
ยกตัวอย่างข้อมูลที่น่าสนใจจากหนังสือ
ยกตัวอย่างส่วนหนึ่งของส่วนที่ 3 ข้อ 4 "Of Parents. " เรื่องบุพการี ท่านเขียนว่า “Now the sun and Saturn are by nature associated with the person of the father and the moon and Venus with that of the mother”
แปลว่า พระอาทิตย์และดาวเสาร์เป็นธรรมชาติที่เกี่ยวพันกับพ่อ และดวงจันทร์กับดาวศุกร์นั้นแลแม่
แค่การยกมาเพียงเท่านี้ ผู้อ่านก็พอเห็นได้ว่าหนังสือเล่มนี้น่าสนใจ เพราะเราพบว่าการถ่ายทอดโหราศาสตร์หลายแห่งในเมืองไทยสอนข้อมูลขาดไปตั้งครึ่ง! “ดาวเสาร์” มักจะอ่านว่าทุกข์ระทม ซึ่งทำให้นักพยากรณ์จำนวนมากขาดความหมายของ “พ่อ”
และ "ดาวศุกร์" เองก็มิได้หมายถึงรายได้ หรือความสุขเท่านั้น หมายถึง "แม่" ได้อีกด้วย
เมื่อผู้เขียนนึกถึงหลักฐานหนึ่ง ไพยิปซีชุด Rider-Waite (พิมพ์ครั้งแรก ปี ค.ศ.1910) ก็ผุดขึ้นมา เพราะในภาพไพ่ The Empress ซึ่งมีความหมายหนึ่ง คือ แม่ นั้น มีสัญลักษณ์ของดาวศุกร์ ตรงฐานเก้าอี้
ขณะเดียวกัน ภาพบนไพ่ The Emperor ซึ่งมีความหมายแทน “พ่อ” ด้วยนั้น ก็มีลักษณะอารมณ์แบบดาวเสาร์ (หน้างิ้ว คิ้วขมวด ทุกข์ไม่พอใจ) และคฑาความยุติธรรมที่มือขวาก็เป็นสัญลักษณ์ของดาวเสาร์ด้วย (คฑาทรงนี้ได้รับอิทธิผลมาแบบของผู้ปกครองอียิปต์โบราณ)
Santos Bonacci นักวิชาการด้านโหราศาสตร์โบราณ เคยบอกว่า ลักษณะคฑาเช่นนี้สามารถแทนดาวเสาร์ได้ เพราะเขาเทียบว่า หัวคฑากลมแทนทรงดาว และเส้นตรงใต้คฑาแทนวงแหวนดาว ในระบบสุริยะจักรวาลจึงมีดาวเสาร์เท่านั้นที่ชัดเจน ซึ่งก็เป็นแนวคิดที่แปลกหูดี
ผู้เขียนคิดว่าความรู้โหราศาสตร์โบราณแบบปโตเลมีน่าสนใจมาก และเมื่อได้มีโอกาสสัมผัสกับ The Tetrabiblos ทำให้โหราศาสตร์น่าสนใจมากขึ้น ควรค่าแก่การศึกษาเพื่อวงการโหราศาสตร์ของเมืองไทยที่จะกว้างขวางขึ้นกว่าเดิม ไม่ซ้ำซากน่าเบื่อ
ลิงค์หนังสือ The Tetrabiblos http://www.astrologiamedieval.com/tabelas/Tetrabiblos.pdf หรือหาซื้อทางอเมซอนดอทคอมก็มี
โชคดีครับ