ห้องเพลง**คนรากหญ้า**พักยกการเมือง มุมเสียงเพลง มุมนี้ไม่มีสีไม่มีกลุ่ม มีแต่เสียง 13/1/2561 - อาโรคฺยปรมา ลาภา

กระทู้คำถาม


สวัสดีครับอมยิ้ม17 สมาชิกห้องเพลงทุกๆท่าน วันนี้วันเสาร์ MC แอ๊ด (WANG JIE) เข้าประจำการครับ อมยิ้ม36

มาถึงสัปดาห์ที่ 2 MC ก็เจอพายุลมหนาวและพายุไข้ซัดกระหน่ำเข้าให้ เป็นรอบที่ 3 ถ้านับต่อเนื่องตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา นึกรำคาญก็เลยวันนี้ พูดเรื่องโรคภัยไข้เจ็บดีกว่า แต่พูดในทางตรงกันข้าม ก็คือ ถ้าคนเราไม่มีความเจ็บไข้ได้ป่วยอะไร คงเป็นความสุขมิใช่น้อยและถือได้ว่าเป็น "ลาภ" อันประเสริฐ ก็จะตรงกับพระพุทธดำรัส อาโรคฺยปรมา ลาภา ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ

คำว่า "โรค" ภาษาไทยก็ยืมภาษาบาลีมาใช้ อันที่จริงเรายืมมาใช้เยอะมากครับ ไม่น้อยกว่า 50% พอเอามาใช้ในภาษาไทยแล้ว บางทีความหมายก็เปลี่ยนแปรไปมากบ้างน้อยบ้าง บางคำก็คงความหมายเดิมไว้ คำว่า "โรค" นี้ก็ยังคงความหมายเดิมอยู่ แต่คนที่ไม่ได้เรียนภาษาบาลีก็อาจจะไม่ทราบ

"โรค" ในทางบาลีไวยากรณ์ เป็๋นคำนาม ซึ่งเรียกว่า นามกิตก์ เมื่อนำไปใช้ พูดว่า "โรโค โรค (เอกพจน์), โรคา โรคทั้งหลาย (พหูพจน์)"

มันมาจาก ธาตุ (รากศัพท์) คือ รุชฺ ธาตุ เป็นไปในความ "เสียดแทง" มีบาลีวิเคราะห์ว่าอย่างนี้ รุชฺชตีติ โรโค (สภาโว) แปลว่า สภาพใด ย่อมเสียดแทง เหตุนั้น สภาพนั้น ชื่อว่า โรคะ ผู้เสียดแทง

เพราะฉะนั้น "โรโค" หรือ โรค แปลว่า "ผู้เสียดแทง" ครับ เสียดแทงร่างกายสัตว์โลกทั้งมวลนี่แหละ

พระพุทธองค์ตรัสพระบาลีหนึ่งไว้ว่า อาโรคฺยปรมา ลาภา = ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ

ความหมายของพระพุทธพจน์นี้มีทั้งทางโลกและทางธรรม

ทางโลก ก็เป็นอย่างที่ทุกคนอ่านและแปลกันอย่างง่ายๆดังที่เห็น แน่นอนว่าสภาพที่ไม่มีโรค มีแก่ใคร คนนั้นก็นับว่าได้โชค มีโชคอย่างมหาศาลหาที่เปรียบมิได้ ไม่ต้องทุกขทรมาณกับอาการของโรคต่างๆสารพัดที่จะเกิด แต่จะมีคนสักกี่คนบนโลกนี้ที่เกิดจนตายไม่เคยพานพบโรคภัยไข้เจ็บใดๆเลย ?

ความหมายในแนวทางโลกนี้ ชาวโรงพยาบาลเพชรรัชต์ กับ อาจารย์ทองร่วง เอมโอษฐ์ ศิลปินปูนปั้นชาวจังหวัดเพชรบุรี ได้เกิดแนวคิดที่ต้องการสื่อให้ผู้มาใช้บริการของโรงพยาบาล ได้ตระหนักรู้ถึง เหตุแห่งการเกิดโรค ทั้งโรคทางกายและทางจิต เพื่อให้รู้จักการระวังป้องกันและหมั่นดูแลสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรง จึงมีการสร้างรูปแกะสลักชุด "อาโรคฺยปรมา ลาภา" ขึ้น มี 4 ชุดภาพด้วยกัน คือ

ภาพ ชุดที่ 1 ภาพแทนตัวคนเราทุกคน

ภาพประธาน ตรงกลางเป็นคน มีงูสี่ตัว พันคอ พันแขน พันเอว คือ อุปมาเหมือนธาตุทั้ง 4 ในคนเรา อันเปรียบเหมือนงูพิษ เราให้กินให้อยู่อย่างดี แต่พอเผลอมันก็เจ็บป่วย ดุจงูพิษที่กัดชาวนาในเรื่องชาวนากับงูเห่า

ภาพชุดที่ 2

ภาพด้านบน(กลาง) เป็นภาพหมอชีวกโกมารภัทร ซึ่งเป็นบิดาของแพทย์แผนโบราณ (เป็นนายแพทย์ประจำพระองค์ของพระพุทธเจ้าด้วย)
ภาพด้านซ้าย เป็นภาพฤาษีดาบส หรือ นักบวช หมายถึง แพทย์แผนโบราณ ซึ่งการรักษาต้องประกอบด้วยเมตตาธรรม มนุษยธรรม เพื่อการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์, ภาพด้านขวา เป็นภาพยักษ์ ถือสัญลักษณ์กระทรวงสาธารณสุข หมายถึง วงการแพทย์สมัยใหม่ ซึ่งมีความสามารถสูงขึ้น แต่ต้องดูแลควบคุมไม่ให้เป็นธุรกิจทางการแพทย์จนเกินไป

ภาพชุดที่ 3

ภาพชุดนี้ แสดงสาเหตุแห่งการเจ็บป่วย 4 อย่าง คือ
(1) กรรม คือการกระทำของตัวเอง ๆได้แก่ การผิดศีลห้า การเบียดเบียนซึ่งกันและกัน การทรมานสัตว์ การผจญสัตว์ เป็นสาเหตุแห่งการเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นวิบากกรรม
(2) จิต การเจ็บป่วยส่วนมากเกิดจากจิต หรือ ประสาท เป็นสาเหตุที่ละเอียดอ่อน
(3) อุตุ คือ ฤดู ได้แก่ ความร้อน เย็น ดิน ฟ้า อากาศ อุณหภูมิ เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วย
(4) อาหาร การกินอาหารโดยปราศจากสติปัญญา ก็เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยได้

ภาพชุดที่ 5 "4 คนหาม สามคนแห่"

ภาพ "สี่คนหาม สามคนแห่ หนึ่งคนนั่งแคร่ สองคนเดินตาม" สี่คนหาม หมายถึง ธาตุสี่มีดิน น้ำ ไฟ ลม ที่เป็นรูปกายของคนเรา สามคนแห่ คือ โลภ โกรธ หลง ที่นำหน้าเราไป หนึ่งคนนั่งแคร่ คือ จิต สองคนเดินตาม คือ ผลกรรมดี และผลกรรมชั่ว ที่จะติดตามให้ผลเป็นวิบากกรรมติดตามเราไปนั่นเอง

มีคนเคยตั้งกระทู้ถามในบอร์ดแห่งหนึ่ง ว่า "ถามว่า 'ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ' ที่ได้ยินบ่อยๆ เป็นพุทธพจน์หรือไม่ M หากใช่ ร่างกายหิวก็ถือเป็นโรคอย่างหนึ่ง แสดงว่า ลาภอันประเสริฐนั้นก็คือ นัยยะสภาวะจิตที่เป็นบัณฑระใช่หรือไม่ เพราะไม่มีกิเลสในจิต จึงไม่เป็นโรค ถือเป็นลาภอันประเสริฐ ? หากไม่ใช่ แสดงว่าการเกิดและการยึดถือในสังขารธรรม (ร่างกายแข็งแรง) นั้น เป็นทุกข์ ตรงตามคำสอน ?"

ก็มีนักปราชญ์ผู้หนึ่งเข้าไปตอบว่าดังนี้

"จาก พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 496

[๒๘๗] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปล่งพระอุทานนี้ ในเวลานั้น ว่า

ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง บรรดาทางทั้งหลายอันให้ถึงอมตธรรม ทางมีองค์แปดเป็นทางอันเกษม

พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม โดยนัยเบื้องต้น จนถึงสูงสุด เพราะฉะนั้น ความไม่มีโรค เป็นลาภอย่างยิ่ง เป็นพระพุทธพจน์ แต่ ปุถุชน ผู้ไม่ได้สดับ เอามาใช้กัน ก็เข้าใจเพียงโรคร่างกาย แต่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมครอบคลุมทุกส่วน ทั้งการไม่มีโรค คือ โรคทางกาย เป็นสิ่งที่ดีประเสริฐ เพราะ การไม่มีโรคทางกาย ก็สามารถที่จะนำมาซึ่งสิ่งที่ดี ไม่ต้องเสียทรัพย์และอื่นๆ เพราะการมีโรคทางกาย และ มุ่งหมายถึง การไม่มีโรค คือ ไม่มีกิเลสเกิดขึ้นด้วย ย่อมนำมาซึ่ง ลาภ คือ ธรรมฝ่ายดี คือ กุศลธรรม ศรัทธา ปัญญา เป็นต้น และ ธรรมทุกอย่างเป็นทุกข์ เพราะเกิดขึ้นและดับไป ยกเว้นพระนิพพาน ที่เป็นสุข ครับ

     ส่วนใหญ่แล้ว  ก็มักจะคิดถึงโรคทางกาย แต่ก็ยังมีโรคอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเห็นได้ยากและรักษาได้ยาก นั่นก็คือ โรคทางใจ คือ กิเลสที่สะสมมาอย่างเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ ซึ่งเป็นเครื่องเสียดแทงจิตใจ ทำให้จิตใจเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส ตราบใดที่ยังไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็ยังไม่พ้นไปจากโรคทางใจ การที่จะรักษาโรคทางใจ ย่อมยากกว่าโรคทางกาย  ซึ่งจะต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานในการสะสมปัญญาและความดีประการต่าง ๆ ที่จะค่อย ๆ รักษาโรคทางใจไปทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าจะเป็นผู้ไม่มีโรคทางใจ คือ กิเลส อีกเลย เมื่อรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์ เมื่อดับขันธปรินิพพานแล้ว ไม่ต้องมีการเกิดอีก ไม่ต้องมีทั้งโรคทางกายและโรคทางใจ อีกต่อไป"

และมีอีกท่านหนึ่งเข้าไปเสริม ว่าดังนี้...

พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย โรคนี้ มี ๒ อย่าง โรค ๒ อย่าง อะไรบ้าง ? คือ โรคกาย ๑ โรคใจ ๑ ปรากฏอยู่ว่า สัตว์ทั้งหลาย ผู้ยืนยันว่าไม่มีโรคทางกายตลอด เวลา ๑ ปีก็มี ยืนยันว่าไม่มีโรคทางกายตลอดเวลา ๒ ปีก็มี ๓ ปีก็มี ๔ ปีก็มี ๕ ปีก็มี ๑๐ ปีก็มี ๒๐ ปีก็มี ๓๐ ปีก็มี ๔๐ ปีก็มี ๕๐ ปีก็มี ๑๐๐ ปีก็มี ยิ่งกว่า ๑๐๐ ปีก็มี แต่ว่า ผู้ที่จะยืนยันว่า ไม่มีโรคทางใจ แม้เพียงเวลาครู่เดียวนั้น หาได้ยากในโลก เว้นแต่พระขีณาสพ (พระอรหันต์)
(พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต โรคสูตร)

โรค หมายถึง สภาพที่เสียดแทง โรคทางกาย เสียดแทงกายให้ได้รับความเจ็บปวด ทรมาน แต่โรคทางใจ คือ กิเลส เป็นสภาพที่ทำให้จิตเศร้าหมอง ย่อมเสียดแทงจิตใจของสัตว์ทั้งหลายให้เร่าร้อน และไม่ให้ออกไปจากวัฏฏะ

โรคที่สำคัญกว่าโรคทางกาย ก็คือโรคทางใจ (โรคทางใจ หมายถึง กิเลสที่เสียดแทงใจ) ซึ่งบางคนอาจจะไม่ได้พิจารณาเลยว่า โรคทางใจของตนเองมีอะไรบ้าง ซึ่งมีมากเหลือเกิน ทั้งโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น ที่พร้อมจะเกิดขึ้นเสียดแทงใจให้เร่าร้อนอยู่ตลอดเวลา และเมื่อไม่ได้สังเกต ไม่ได้สำรวจ ไม่ได้พิจารณาก็ย่อมจะไม่ได้เห็นโทษของโรคทางใจนั้น เพราะโรคทางใจเป็นโรคที่เห็นได้ยาก เพราะฉะนั้นการที่จะรักษาโรคทางใจ ก็จะต้องรักษายากกว่าโรคทางกาย และจะต้องใช้เวลานานในการเจริญกุศล ซึ่งเป็นยาที่จะรักษาอกุศลซึ่งเป็นโรคทางใจ ซึ่งถ้าผู้ใดพิจารณาเห็นอกุศลธรรมที่ตนมีตามความเป็นจริง แล้วก็รีบแก้ไข คือ พิจารณาเห็นโทษ ก็คงจะดีกว่าการที่จะปล่อยให้โรคนั้นกำเริบหรือว่าทรุดหนัก จนกระทั่งถึงกับเป็นอัมพาตทางใจ คือ ไม่ยอมที่จะขัดเกลากิเลสเลย ถ้าอกุศลมากมายเพิ่มพูนเหนียวแน่นถึงอย่างนั้นก็ยากที่จะแก้ไขได้ เพราะไม่ยอมแม้แต่คิดที่จะขัดเกลากิเลสของตนเองเลย แล้วกิเลสจะน้อยลงได้อย่างไร?

เพราะฉะนั้น ขอให้พิจารณาตนเองเพื่อประโยชน์ว่า การที่แต่ละบุคคลจะมีพระธรรมเป็นที่พึ่งอย่างมั่นคง ก็จะต้องเจริญกุศลเพื่อขัดเกลาอกุศลไปเรื่อย ๆ  จึงควรอย่างยิ่งที่จะเป็นผู้ไม่ประมาทในการเจริญกุศลทุกประการ เพื่อรักษาโรคทางใจคือกิเลส ด้วยความเข้าใจพระธรรมอย่างถูกต้อง จนกว่าจะเป็นผู้ไม่มีโรคทางใจ คือ กิเลส อีกเลย เมื่อรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์  นั่นแหละ คือ  ความไม่มีโรค เป็นลาภอย่างยิ่ง  ที่แท้จริง"

ที่มาของพระดำรัสนี้ คือครั้งหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงนอนไม่หลับเพราะเสวยพระกระยาหารมากเกินไป พระพุทธเจ้าทรงสอนสั่งด้วยพระคาถาหนึ่งโดยให้องค์สุทัสสนะผู้เป็นหลานท่องคาถานั้นให้ฟังในเวลาเสวย เพื่อเตือนสติพระราชาให้เสวยแต่น้อย และเหลือคำข้าวสุดท้ายไว้ เวลาจะหุงข้าวครั้งต่อไป ก็ให้นับเมล็ดข้าวให้เท่ากับที่พระราชาทรงเหลือไว้คราวก่อน ทำอย่างนี้จนกระทั่งในที่สุด พระราชาทรงลดความอ้วนได้ มีพระสรีระเบา วิ่งไล่จับเก้งกวางเองยังทัน ทรงพระสำราญเป็นอันมาก ได้ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าอีกครั้งและกราบทูลเล่าเรื่องที่ผ่านมา พระพุทธเจ้าจึงตรัสพระคาถานี้ ซึ่งมีใจความเต็มๆว่า..

อาโรคฺยปรมา ลาภา   สนฺตุฏฺฐิปรมัง ธนัง
วิสฺสาสปรมา ญาตี    นิพฺพานัง ปรมัง สุขัง


ลาภทั้งหลาย  มีความไม่มีโรค  เป็นอย่างยิ่ง
ทรัพย์ มีความสันโดษ  เป็นอย่างยิ่ง  
ญาติ มีความคุ้นเคย  เป็นอย่างยิ่ง  
พระนิพพาน  เป็นสุขอย่างยิ่ง


ขอบคุณ ข้อมูลจาก http://www.petcharat-hospital.com/pic/arokaya.html
และ http://www.dhammahome.com/webboard/topic/27841

พบกันวันพรุ่งนี้ อีก 1 วันครับ อมยิ้ม04หัวใจดอกไม้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่