9 ศาสตรา ผลงานถูกใจฮาร์วีย์ ไวน์สตีน จนเกือบได้ฉาย แต่สุดท้ายกันย์เลือกถอนตัว เพราะประเด็น sexual harassment

จากบทสัมภาษณ์ผู้กำกับเรื่อง 9 ศาสตรา

“พอทำหนังทุกอย่างเสร็จ ขั้นตอนสำคัญที่ไม่เคยทำมาก่อนในชีวิตอีกเหมือนกันก็คือการเอาหนังไปขาย บอกได้เลยว่าพวกเราไปมาเกือบหมดทุกที่ พาราเมาต์, โซนี่, วอร์เนอร์ส, ดรีมเวิร์กส์ มีใครให้โอกาสเข้าไปคุย ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ผมบินตรงไปหาเดี๋ยวนั้นทันทีแบบไม่ต้องคิด ซึ่งทุกที่บอกว่าชอบเหมือนกันหมด แต่เขาไม่ต้องการหนังที่ไม่มีคนรู้จัก เพราะว่าขายยาก เพราะหนังที่ไปฉายในอเมริกาต้องใช้เงินอย่างน้อย 20-30 ล้านเหรียญในการโปรโมตอย่างเดียว
           
จนมีคนรู้จักกับฮาร์วีย์ ไวน์สตีน โปรดิวเซอร์ใหญ่ของฮอลลีวูด ตอนนั้นเขายังไม่มีข่าวเรื่อง sexual harassment เอาหนังไปให้ เขาดูแค่ 15 นาทีก็บอกว่าชอบ แล้วบอกให้รีบบินไปหา ผมก็รีบซื้อตั๋วบินไปหาที่นิวยอร์กตอนนั้นเลย คุยกันไปมาจนได้เซ็นสัญญาเรียบร้อย เตรียมฉายที่อเมริกา แต่สุดท้ายเขามีข่าวเรื่อง sexual harassment ออกมา เราเลยตัดสินใจถอนตัวออกมาจากเขาดีกว่า เสียดายเหมือนกันนะที่โอกาสมาถึงขนาดนั้นแล้ว แต่สุดท้ายคิดว่าเราเลือกทางที่ถูกต้องแบบนี้น่าจะดีกว่า เลยต้องกลับมาเริ่มนับหนึ่งใหม่กับการขายหนังอีกครั้ง จนตอนนี้เซ็นสัญญาที่จีนเรียบร้อย ก็ต้องดูกันว่าจะเป็นยังไง ส่วนที่อื่นๆ ก็จะพยายามต่อไปให้หนังไปได้ไกลที่สุด

4 ปีครึ่งที่ร้องไห้มากที่สุดตั้งแต่เกิดมา แต่ด้วยรักและศรัทธา ๙ ศาสตรา จึงได้กำเนิดขึ้นมาบนโลกใบนี้
กับแฟนผมยังไม่ร้องไห้ขนาดนี้เลยมั้ง (หัวเราะ) ล้อเล่นๆ แต่เป็นช่วงที่ร้องไห้เยอะที่สุดในชีวิตจริงๆ นะครับ ทั้งผิดหวัง ทั้งดีใจ ทั้งเหนื่อย ทั้งท้อ เป็นช่วงที่ครบทุกรสชาติชีวิตมาก งบประมาณก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างที่บอก ระหว่างทำมีหลายคนที่บอกว่าหยุดเถอะ ไปทำแค่หนังสือการ์ตูนอย่างเดียวดีกว่า แม่ก็ด่าว่าไม่เคยทำหนังมาก่อน จะทำขนาดนี้ทำไม แต่ผมคิดว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องแรก แต่อาจจะหมายถึงเรื่องสุดท้ายในชีวิตของผม เพราะฉะนั้นผมอยากทำมันให้ดีที่สุด จะร้องไห้ก็ร้องไห้เพราะมัน ดีใจก็ดีใจเพราะมัน แต่อย่างน้อยได้โอกาสแล้วขอทำให้เต็มที่ที่สุด พาหนังไทยออกไปให้ไกลที่สุดดีกว่า”

—————————

ไรอัน ชอร์ คอมโพสเซอร์ระดับโลกที่มาพร้อมกับเงิน 21 ล้านบาท

หลายคนจะมองว่าแอนิเมชันสำคัญที่ภาพ ซึ่งความจริงมันไม่ใช่ทั้งหมด เรื่องเสียงก็เป็นความท้าทายที่ยากมากๆ เหมือนกัน เพราะเวลาทำหนังเรายังมีเสียงพูด เสียงแอมเบียนต์ประกอบฉากต่างๆ แต่เสียงในแอนิเมชัน ทุกอย่างเป็นศูนย์หมด เราต้องคิดเสียงขึ้นมาจากบทแล้วจินตนาการว่าเสียงอาวุธต่างๆ เสียงการต่อสู้จะออกมาเป็นแบบไหน เพลงที่ใช้ควรจะเป็นอย่างไร ซึ่งพี่ไก่ (สุธี แสงเสรีชน) มิวสิกไดเรกเตอร์ของเราคิดการใหญ่ ยืนยันกับผมว่าดนตรีประกอบแอนิเมชันเรื่องนี้ต้องเป็นไลฟ์ออร์เคสตราเท่านั้น

จนเราได้คุยกับไรอัน ชอร์ (คอมโพสเซอร์ซีรีส์ชุด Star Wars Forces of Destiny) จากตอนแรกที่โอเคว่ามีไลฟ์ออร์เคสตรา ก็คิดว่าไว้ว่าจากหนัง 102 นาที เต็มที่มีสัก 60 นาทีก็หรูแล้ว แต่เขาบอกเลยว่าไม่ได้ ของเราต้องใช้ไลฟ์ออร์เคสตรา 102 เต็ม ไม่ว่าจะได้ยินหรือไม่ได้ยินในหนัง แต่เขาต้องอัดทั้งหมด ใช้เครื่องดนตรี 90 ชิ้น ซึ่งพอได้เห็นทุกอย่างแล้วรู้เลยว่าทำไมเพลงที่เราได้ยินในหนังฮอลลีวูดมันถึงดีขนาดนั้น เชื่อไหมครับ นักดนตรีที่มาเล่นไม่เคยได้ดูหนังของเรามาก่อน แต่แค่เขาอ่านโน้ต เขาสามารถร้องไห้และหัวเราะไปตามโน้ตที่เขาได้รับแบบถูกต้องมาก แล้วทุกตัวละครก็ต้องมีธีมดนตรีของตัวเอง แล้วค่อยเอามาประกอบกัน

รู้เลยว่าไรอัน ชอร์ เป็นคนที่ละเอียดมาก ความโชคดีคือตอนแรกเฉพาะค่าตัวพื้นฐานให้มาทำดนตรีอย่างเดียวก็อยู่ที่ 7 แสนเหรียญ หรือประมาณ 21 ล้านบาทอยู่แล้ว ซึ่งเป็นตัวเลขที่แพงมากและคิดไม่ถึงสำหรับเรา แต่พอเขาเห็นตัวหนังที่เราเอาไปให้ดู คงเห็นถึงความตั้งใจ เขาเลยยอมลดค่าตัวส่วนของเขาให้เพื่อไปจ่ายค่านักดนตรีที่เหลือ ทำให้สุดท้ายงบฝั่งดนตรีเลยไม่ต้องบานปลายมากขนาดนั้น



ที่มา: อ่านบทสัมภาษณ์เต็มๆได้ที่:   https://thestandard.co/gun-phansuwon-9-satra/
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 20
อัพเดทรายละเอียดเพิ่มเติมตอนที่ผู้กำกับไปคุยกับฮาร์วีย์ ไวน์สตีน

เกือบจะโกฮอลลีวูด

โบ: นอกจากจีน รู้มาว่าเกือบได้ไปฮอลลีวูดด้วย

กันย์: เราได้เซ็นสัญญาแบบ worldwide release กับบริษัทชื่อ The Weinstein Company

โบ: ชื่อคุ้นๆ นะคะ

กันย์: นั่นล่ะครับ (หัวเราะ) เอาจริงๆ ก่อนหน้านั้นผมไปมาหมดแล้ว โซนี่ พาราเมาท์ ดิสนีย์ แต่พบว่า ไวน์สตีน เป็นบริษัทที่เหมาะกับหนังของเราที่สุด ก็เซ็นสัญญากันเรียบร้อย กำหนดฉายพร้อมเมืองไทยด้วยซ้ำ แต่แล้วก็เกิดเรื่องฉาวกับนายไวน์สตีนเสียก่อน เราเลยถอนตัวเพราะกลัวจะดราม่า แล้วก็กลับมาเร่ขายหนังกันอีกรอบ เทียวไปคุยกับอีกหลายบริษัท ตอนนี้กำลังดูข้อเสนอและเงื่อนไขกันอยู่ครับ แต่เป้าหมายของเราคือหาคนที่จะช่วยพา ๙ ศาสตรา ไปสู่สายตาคนดูให้เยอะที่สุด

โบ: สำหรับคุณผู้ฟังที่ไม่คุ้นเคยกับ คดีของนายไวน์สตีน ลองกูเกิล #MeToo ดูได้นะคะ (หัวเราะ) รู้เรื่องทันที

อย่างไรก็ตาม โบก็แอบได้ยินมาอีกว่า ตอนนั้นมีการคุยกับไวน์สตีนไว้แล้วในเรื่องของการเอาดาราแนวหน้าฮอลลีวูดมาพากย์เสียงให้ ๙ ศาสตรา ใช่ไหมคะ

กันย์: ใช่ครับ ตอนที่เรานัดเจอเขาครั้งแรก ไวน์สตีนให้เรานั่งรออยู่ 4 ชั่วโมง แล้วพอมาถึง เขาดูหนังไปแค่ 15 นาทีก็ตบโต๊ะเลย แล้วก็บอกว่า แจ๋ว จะเอา! บอกให้เรากลับมาใหม่พรุ่งนี้ จะร่างสัญญาเอาไว้ให้

วันรุ่งขึ้นเราก็กลับไป เขาพูดว่า รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร ฉันคือฮาร์วีย์ ไวน์สตีน ฉันคือพระเจ้า เราก็ ได้ครับพี่ครับ ตามนั้นครับ (หัวเราะเบาๆ) แล้วเขาก็บอกว่า หนังน่ะดูดีนะ แต่ต้องมีดาราดังๆ มาให้เสียงถึงจะเวิร์ก เมื่อวานฉันโทรหา แชนนิง เททัม และเมื่อคืนก็ไปกินข้าวเย็นกับ โรเบิร์ต เดอ นิโร เขาได้ดูตัวอย่างและตกลงแล้ว ส่วนนางเอกเนี่ย เดี๋ยวนะ ขอโทรหา คริสเตน สจวร์ต แป๊บ เธอน่าจะสนใจ ว่าแล้วก็ยกหูโทรเลยครับ เออ มีหนังเรื่องหนึ่ง แอนิเมชัน แอ็กชัน ฉันว่าเธอต้องชอบ อืม โอเค วางหู แล้วหันมาบอกผมว่า สามคนนี้ได้แน่ ผมก็ เชี่ย (หัวเราะ)

หลังจากนั้นเราก็รีบกลับมาทำบทภาษาอังกฤษให้เขาอ่าน ให้เขาได้ดูตัวอย่างหนังบางส่วนเพิ่มเติม ทั้งสามคนก็ชอบกันมาก และถ้าไม่เกิดเรื่องเสียก่อนคงได้มาร่วมงานจริงๆ น่าเสียดายครับ แต่เราก็ยังเดินหน้าค้นหาต่อไปนะ ไม่ได้ แชนนิง เททัม อาจจะได้ แซค เอฟรอน ก็ได้ ใครจะรู้ จริงไหม  

โบ: แล้วที่จีนล่ะคะ เหมือนกันไหม เขาจะหาดาราจีนชื่อดังมาพากย์ให้หรือเปล่า

กันย์: ครับ ทาง โบนา ฟิล์ม จะช่วยหาให้ แต่ที่น่าสนใจคือ ปัจจัยหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงคือเรื่องของภูมิศาสตร์ นั่นคือ หนังจะฉายพื้นที่ไหนของประเทศ คือจีนมันกว้างใหญ่มาก ต้องรู้ก่อนว่าฉายที่ไหน แล้วค่อยหาดาราที่เหมาะกับที่นั่นอีกที ตอนนี้เราได้ยินมาว่านางเอกอาจเป็น แอนเจลาเบบี้ (Angelababy) ส่วนพระเอกนี่ยังไม่รู้ครับ ต้องติดตามกันต่อไป  

ส่วนทางฮอลลีวูดเราก็ยังคงพยายามคุยเรื่อยๆ ใครให้โอกาสผมก็บินไปทันทีเลยนะ แต่โดยมากถ้าเป็นสตูดิโอใหญ่ๆ เขาจะมีหนังในมือเยอะครับ แล้วการจะโปรโมตหนังในอเมริกา ต้องใช้เงินประมาณ 20-30 ล้านเหรียญต่อเรื่อง แล้วเขาจะใช้เงินก้อนใหญ่ขนาดนั้นกับหนังเราทำไม แทนที่จะเอาไปใช้โปรโมตสไปเดอร์แมน ที่เขารู้อยู่แล้วว่าทำเงินมหาศาลแน่ๆ เป็นต้น

นั่นคือสาเหตุที่เราคิดว่าไวน์สตีนเหมาะกับเรา เพราะบริษัทเขาถนัดดันหนังอินดี้ไงครับ แล้วไม่ได้ดันเฉยๆ ดันจนได้ออสการ์มาแล้วหลายเรื่อง และนั่นก็เป็นความฝันหนึ่งของพวกเราด้วย เราคิดกันถึงขนาดว่า ถ้าหนังเราทำเงินในเมืองไทยจนกำไร และถ้าที่สุดแล้วไม่มีใครเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายให้ในฮอลลีวูด เราจะไปเช่าโรงหนังในสหรัฐฯ แล้วเอาหนังไปฉายเองซะเลย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่