ประวัติวันเด็ก
งานวันเด็กแห่งชาติจัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันจันทร์แรกของเดือน ต.ค. พ.ศ.2498 ตามคำเชิญชวนของ นายวี.เอ็ม. กุลกานี ผู้แทนองค์การสหพันธ์เพื่อ สวัสดิภาพเด็กระหว่างประเทศแห่งสหประชาชาติ เพื่อให้ประชาชนเห็นความสำคัญและความต้องการของเด็ก และเพื่อกระตุ้นให้เด็กตระหนักถึงบทบาทอันสำคัญของตนในประเทศ โดยปลูกฝังให้เด็กมีส่วนร่วมในสังคม เตรียมพร้อมให้ตนเองเป็นกำลังที่พร้อมจะขับเคลื่อนชาติในอนาคต
รัฐบาลของ จอมพล ป.พิบูลสงครามในขณะนั้นจึงจัดให้มีคณะกรรมการจัดงานวันเด็กแห่งชาติขึ้นมาคณะหนึ่ง ทำหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และเอกชน กำหนดให้มีการฉลองวันเด็กแห่งชาติทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค และเป็นครั้งเริ่มแรกที่มีการให้คำขวัญวันเด็กโดยนายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกสืบทอดเป็นธรรมเนียมปฏิบัติเรื่อยมา
แต่หากลองพิจารณาให้ดีแล้ว
คำขวัญวันเด็กที่ผ่านมาๆ เกือบทุกปีมีลักษณะเป็นคำสั่งชี้นำทางปฏิบัติให้กับเด็กมากกว่าที่จะปล่อยให้เขาเรียนรู้ได้จากประสบการณ์การเติบโต ต้องอย่างนั้นต้องอย่างนี้ แทนที่จะปล่อยให้เขาเติบโตขึ้นและคิดได้เองตามวุฒิภาวะที่เพิ่มมากขึ้นด้วยอายุในทุกๆปี คล้ายดังว่าเด็กในประเทศนี้คิดเองไม่ได้จึงจำเป็นต้องมีใครสักคนมาสั่งให้ต้องทำแบบนั้นแบบนี้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งในฐานะคนเป็นพ่ออย่างตัวผู้เขียนเอง ค่อยข้างไม่เห็นด้วย และไม่คิดจะใช้คำสั่งมาคอยควบคุมบุตรสาวสองคนภายใต้การดูแลของตัวเองอยู่ตลอดเวลา เพราะผมเชื่อว่าคำสั่งไม่สามารถทำให้ลูกสาวผมเติบโตทางความคิดขึ้นได้ หากปราศจากความรู้ความเข้าใจในบทบาทหน้าที่ของตัวพวกเขาเอง ว่าการที่พวกเขาจะต้องกระทำสิ่งนั้นสิ่งนี้เพราะอะไร และผมเชื่อว่านี้คือเหตุผลจริงๆที่สหประชาชาติแนะนำให้รัฐบาลของไทยได้ดำเนินการจัดงานวันเด็กขึ้น
เพราะหากมองลึกลงไป ก็จะเห็นจุดประสงค์ที่แท้จริงของการจัดงานวันเด็กตามการแนะนำโดยสหประชาติ ก็เพื่อให้เด็กทั่วประเทศทั้งในระบบโรงเรียนและนอกระบบโรงเรียน ได้รู้ถึงความสำคัญของตน เกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบ ระเบียบวินัย ที่มีต่อตนเองและสังคม ซึ่งประเทศไทยจะนำมาอะแด็ปแอพพลาย เปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องเกี่ยวพัน กับความยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ก็ไม่ใช่เรื่องผิด และในจุดนี้ก็ถือว่าจุดประสงค์ของการจัดงานวันเด็กเป็นเรื่องดี แต่เมื่อมีคำขวัญวันเด็กในลักษณะคำสั่งมากำกับ ก็กลับกลายเป็นเกทับให้เด็กกลายเป็นผู้ที่ต้องกระทำตาม อยู่ในลักษณะใต้การปกครองของผู้ใหญ่ตลอดเวลา ซึ่งจากแนวคิดเช่นนี้ตามมุมมองของผมไม่ได้เกิดประโยชน์อันใดกับเด็กเลย
แต่มีความหมายกับผู้ใหญ่มากกว่า ที่สามารถตีตราฝังจิตสำนึกระบบอาวุโสภายใต้คำสั่งที่สามารถมีต่อเด็กไปได้ทุกปี (ไว้วันหลังผมจะนั่งเขียนบทความเรื่องระบบอาวุโสในประเทศนี้มาให้ได้อ่านกันสักครั้ง)
เริ่มแรกงานวันเด็กแห่งชาติจัดขึ้นทุกปีในวันจันทร์แรกของเดือน ตุลาคม แต่เมื่อมาถึงถึงปี พ.ศ.2506 และในปี พ.ศ.2507 ไม่สามารถจัดงานวันเด็กได้ทัน รัฐบาลจึงได้เริ่มจัดอีกครั้งในปี 2508 โดยเปลี่ยนเป็นวันเสาร์ที่สอง ของเดือนม.ค. เนื่องจากเห็นว่าเป็นช่วงหมดฤดูฝนและเป็นวันหยุดราชการ จนถึงทุกวันนี้
ที่หยิบเอามาเขียนให้อ่านกันก็ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ก็แค่อยากจะเกริ่นนำให้เข้ากับสถานการณ์ หรือเรียกแบบบ้านๆว่า “
โหนกระแสวันเด็ก” กับเขาบ้าง แต่ถ้าจะให้เอ่ยอ้างถึงประเด็นของกะทู้นี้อย่างเป็นจริงเป็นจัง ก็คงต้องชี้มือไปยัง หัวกะทู้นั้นแหละครับ เพราะตามมุมมองของผม 85 ปีการเมืองภายใต้ระบอบประชาธิปไตยของไทย แทบไม่เคยได้เติบโตขึ้นเลยนับตั้งแต่วันที่มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง เมื่อ พ.ศ.2475 พอมาเจอคำขวัญวันเด็กที่ผมคิดว่ามันคือคำสั่งภายใต้รูแบบคำขวัญเข้าไปอีก ก็เลยนึกที่จะเขียนบทความเกี่ยวกับประเด็นนี้
ผมเขียนขึ้นในวันที่ผู้มีอำนาจในวันนี้ ยังมองประชาชน ดั่งเช่นที่ คณะ ราษฎรเคยมองเมื่อครั้งเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองครั้งแรก โดยมองว่าประชาชนในประเทศนี้ยังไม่พร้อมที่จะรับความเปลี่ยนแปลงการปกครองซึ่งยึดเอาแบบอย่างมาจากชาติตะวันตก จึงได้กำหนดให้ผู้ที่มาทำหน้าที่ผู้แทนราษฎรในครั้งแรกนั้นมาจากการ“
แต่งตั้ง”ทั้งหมด
และเมื่อเวลาผ่านไป มุมมองของผู้มีอำนาจก็ไม่เคยเห็น ประชาชนมีความรู้มีความเข้าใจ หรือเติบโตในแนวทางประชาธิปไตยขึ้นเลย สมาชิกผู้แทนราษฎรจึงไม่เคยมาจากการคัดสรรของประชาชนแบบร้อยเปอร์เซ็นต์สักที ตามประวัติศาสตร์ 85 ปีของการเมืองระบอบประชาธิปไตยในไทย มีเพียงแค่ช่วงเดียวเท่านั้นแหละ ที่ประชาชนสามารถเลือกตัวแทนของตนเองได้ทั้ง 2 สภา คือ ทั้งวุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎร โดยอาศัยอำนาจของรัฐธรรมนูญ 2540 รัฐธรรมนูญฉบับเดียวที่เขียนขึ้นโดยตัวแทนประชาชน
และอย่างที่รู้กัน เมื่อรัฐธรรมนูญ 2540 ถูกฉีกไป คนไทยก็ต้องกลับกลายมาเป็นเด็กที่ยังดูแลตัวเองและตัดสินใจเองไม่ได้อีกครั้ง ด้วยระบบ “
แต่งตั้ง” ตัวแทนของประชาชนที่ไม่ได้มาจากประชาชน กลายเป็นว่า 85 ปีที่ผ่าน เด็กชายหรือเด็กหญิงประชาธิปไตยจึงไม่เคยเติบโตขึ้นเลย แม้เวลาจะผ่านไปนานเนิ่น เพราะคนที่คิดว่ามีแต่พวกตนเองเท่านั้นที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ไม่ยอมปล่อยให้คนไทยสามารถเรียนรู้กับคำว่าประชาธิปไตยอย่างแท้จริงเลยสักครั้ง ดังนั้นอย่าไปแปลกใจเลยครับ
หากประชาธิปไตยของบ้านเรา จะดูล้าหลังกว่าประเทศอื่นที่เปลี่ยนมาใช้ระบอบการปกครองนี้ ช้ากว่าเรา เพราะเราทุกคนในประเทศนี้ ล้วนเป็นเด็กที่ยังไม่พร้อมเสมอกับการเข้าถึงอำนาจประชาธิปไตย ตามสายตาของใครบางพวก ที่มองว่าเราประชาชนยังเป็นเด็กที่ต้องฟังคำสั่งอยู่ทุกวัน
ป.ล.ทิ้งท้ายขอคุยกับท่านที่เข้ามาอ่านสักหน่อยว่า
กลับมาครั้งนี้ ผมก็จะหาเรื่องมาเขียนไปเรื่อยนะครับ เมื่อวานได้แอบกลับมาทักทายเพื่อนๆพี่น้องในบางกะทู้ ก็มีคนถามหาบทความของผม ผมก็เลยตัดสินใจกลับมาเขียน ลองตั้งบทความแบบเบาๆไปแล้วเมื่อวาน ปรากฏว่าไม่โดนสอย ก็เลยติดใจอยากจะซ้ำรอยอีกสักบทความหนึ่ง แต่ก็คงไม่ได้เขียนถี่แบบทุกๆวันเหมือนแต่ก่อนนะครับ และคงไม่ลงรายละเอียดอะไรมากมาย เขียนเชิงอุปมาอุปมัยกล่าวถึงเชิงโครงสร้างของระบบมากกว่าเรื่องของตัวบุคคล ส่วนที่ผมเลือกทำเช่นนี้เพราะเหตุใดนั้น ผมว่าทุกท่านก็คงจะพอทราบกันอยู่แล้ว และก็ไม่จำเป็นต้องแสดงความเห็นหรือตอบมาในกะทู้ก็ได้นะครับ คิดเห็นอย่างไรก็เก็บไว้ในใจก็พอ เพราะผมเองก็คงจะขอไม่ตอบหรือเพิ่มเติมประเด็นอะไรอีก บอกตรงๆครับ ค่อยข้างลำบากในการคิดหาคำที่จะนำมาเขียนบทความแต่ละชิ้นมาก ทั้งๆที่เนื้อหาก็ไม่ค่อยมีอะไรสาระที่ได้ก็อาจได้แค่นิดเดียว แต่กลับใช้เวลาเขียนมากกว่าบทความตามปกติของผมที่ผมเคยเขียนอยู่เสียอีก กว่าจะสรุปประเด็นให้จบได้โดยไม่ไปกระทบกระทั่งอะไรเข้าจนเสี่ยงผิดกฎหมาย และศีลธรรมอันดี เล่นเอาเหนื่อยครับ
ป.ล.2 ลงบทความหลังใส่บาตร ก็คงน่าจะได้ความเป็นศิริมงคลมาช่วยทำให้กะทู้นี้แคล้วคลาดและปลอดภัยอยู่รอดไปสู่สายตาผู้อ่านได้นะครับ
ขอบคุณครับ
นายพระรอง
(บทความ..นายพระรอง) วันเด็กกับเด็กน้อยที่ไม่มีวันโตเพราะต้องอยู่ภายใต้คำสั่งของผู้ปกครอง
งานวันเด็กแห่งชาติจัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันจันทร์แรกของเดือน ต.ค. พ.ศ.2498 ตามคำเชิญชวนของ นายวี.เอ็ม. กุลกานี ผู้แทนองค์การสหพันธ์เพื่อ สวัสดิภาพเด็กระหว่างประเทศแห่งสหประชาชาติ เพื่อให้ประชาชนเห็นความสำคัญและความต้องการของเด็ก และเพื่อกระตุ้นให้เด็กตระหนักถึงบทบาทอันสำคัญของตนในประเทศ โดยปลูกฝังให้เด็กมีส่วนร่วมในสังคม เตรียมพร้อมให้ตนเองเป็นกำลังที่พร้อมจะขับเคลื่อนชาติในอนาคต
รัฐบาลของ จอมพล ป.พิบูลสงครามในขณะนั้นจึงจัดให้มีคณะกรรมการจัดงานวันเด็กแห่งชาติขึ้นมาคณะหนึ่ง ทำหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และเอกชน กำหนดให้มีการฉลองวันเด็กแห่งชาติทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค และเป็นครั้งเริ่มแรกที่มีการให้คำขวัญวันเด็กโดยนายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกสืบทอดเป็นธรรมเนียมปฏิบัติเรื่อยมา
แต่หากลองพิจารณาให้ดีแล้ว คำขวัญวันเด็กที่ผ่านมาๆ เกือบทุกปีมีลักษณะเป็นคำสั่งชี้นำทางปฏิบัติให้กับเด็กมากกว่าที่จะปล่อยให้เขาเรียนรู้ได้จากประสบการณ์การเติบโต ต้องอย่างนั้นต้องอย่างนี้ แทนที่จะปล่อยให้เขาเติบโตขึ้นและคิดได้เองตามวุฒิภาวะที่เพิ่มมากขึ้นด้วยอายุในทุกๆปี คล้ายดังว่าเด็กในประเทศนี้คิดเองไม่ได้จึงจำเป็นต้องมีใครสักคนมาสั่งให้ต้องทำแบบนั้นแบบนี้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งในฐานะคนเป็นพ่ออย่างตัวผู้เขียนเอง ค่อยข้างไม่เห็นด้วย และไม่คิดจะใช้คำสั่งมาคอยควบคุมบุตรสาวสองคนภายใต้การดูแลของตัวเองอยู่ตลอดเวลา เพราะผมเชื่อว่าคำสั่งไม่สามารถทำให้ลูกสาวผมเติบโตทางความคิดขึ้นได้ หากปราศจากความรู้ความเข้าใจในบทบาทหน้าที่ของตัวพวกเขาเอง ว่าการที่พวกเขาจะต้องกระทำสิ่งนั้นสิ่งนี้เพราะอะไร และผมเชื่อว่านี้คือเหตุผลจริงๆที่สหประชาชาติแนะนำให้รัฐบาลของไทยได้ดำเนินการจัดงานวันเด็กขึ้น
เพราะหากมองลึกลงไป ก็จะเห็นจุดประสงค์ที่แท้จริงของการจัดงานวันเด็กตามการแนะนำโดยสหประชาติ ก็เพื่อให้เด็กทั่วประเทศทั้งในระบบโรงเรียนและนอกระบบโรงเรียน ได้รู้ถึงความสำคัญของตน เกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบ ระเบียบวินัย ที่มีต่อตนเองและสังคม ซึ่งประเทศไทยจะนำมาอะแด็ปแอพพลาย เปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องเกี่ยวพัน กับความยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ก็ไม่ใช่เรื่องผิด และในจุดนี้ก็ถือว่าจุดประสงค์ของการจัดงานวันเด็กเป็นเรื่องดี แต่เมื่อมีคำขวัญวันเด็กในลักษณะคำสั่งมากำกับ ก็กลับกลายเป็นเกทับให้เด็กกลายเป็นผู้ที่ต้องกระทำตาม อยู่ในลักษณะใต้การปกครองของผู้ใหญ่ตลอดเวลา ซึ่งจากแนวคิดเช่นนี้ตามมุมมองของผมไม่ได้เกิดประโยชน์อันใดกับเด็กเลย แต่มีความหมายกับผู้ใหญ่มากกว่า ที่สามารถตีตราฝังจิตสำนึกระบบอาวุโสภายใต้คำสั่งที่สามารถมีต่อเด็กไปได้ทุกปี (ไว้วันหลังผมจะนั่งเขียนบทความเรื่องระบบอาวุโสในประเทศนี้มาให้ได้อ่านกันสักครั้ง)
เริ่มแรกงานวันเด็กแห่งชาติจัดขึ้นทุกปีในวันจันทร์แรกของเดือน ตุลาคม แต่เมื่อมาถึงถึงปี พ.ศ.2506 และในปี พ.ศ.2507 ไม่สามารถจัดงานวันเด็กได้ทัน รัฐบาลจึงได้เริ่มจัดอีกครั้งในปี 2508 โดยเปลี่ยนเป็นวันเสาร์ที่สอง ของเดือนม.ค. เนื่องจากเห็นว่าเป็นช่วงหมดฤดูฝนและเป็นวันหยุดราชการ จนถึงทุกวันนี้
ที่หยิบเอามาเขียนให้อ่านกันก็ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ก็แค่อยากจะเกริ่นนำให้เข้ากับสถานการณ์ หรือเรียกแบบบ้านๆว่า “โหนกระแสวันเด็ก” กับเขาบ้าง แต่ถ้าจะให้เอ่ยอ้างถึงประเด็นของกะทู้นี้อย่างเป็นจริงเป็นจัง ก็คงต้องชี้มือไปยัง หัวกะทู้นั้นแหละครับ เพราะตามมุมมองของผม 85 ปีการเมืองภายใต้ระบอบประชาธิปไตยของไทย แทบไม่เคยได้เติบโตขึ้นเลยนับตั้งแต่วันที่มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง เมื่อ พ.ศ.2475 พอมาเจอคำขวัญวันเด็กที่ผมคิดว่ามันคือคำสั่งภายใต้รูแบบคำขวัญเข้าไปอีก ก็เลยนึกที่จะเขียนบทความเกี่ยวกับประเด็นนี้
ผมเขียนขึ้นในวันที่ผู้มีอำนาจในวันนี้ ยังมองประชาชน ดั่งเช่นที่ คณะ ราษฎรเคยมองเมื่อครั้งเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองครั้งแรก โดยมองว่าประชาชนในประเทศนี้ยังไม่พร้อมที่จะรับความเปลี่ยนแปลงการปกครองซึ่งยึดเอาแบบอย่างมาจากชาติตะวันตก จึงได้กำหนดให้ผู้ที่มาทำหน้าที่ผู้แทนราษฎรในครั้งแรกนั้นมาจากการ“แต่งตั้ง”ทั้งหมด และเมื่อเวลาผ่านไป มุมมองของผู้มีอำนาจก็ไม่เคยเห็น ประชาชนมีความรู้มีความเข้าใจ หรือเติบโตในแนวทางประชาธิปไตยขึ้นเลย สมาชิกผู้แทนราษฎรจึงไม่เคยมาจากการคัดสรรของประชาชนแบบร้อยเปอร์เซ็นต์สักที ตามประวัติศาสตร์ 85 ปีของการเมืองระบอบประชาธิปไตยในไทย มีเพียงแค่ช่วงเดียวเท่านั้นแหละ ที่ประชาชนสามารถเลือกตัวแทนของตนเองได้ทั้ง 2 สภา คือ ทั้งวุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎร โดยอาศัยอำนาจของรัฐธรรมนูญ 2540 รัฐธรรมนูญฉบับเดียวที่เขียนขึ้นโดยตัวแทนประชาชน
และอย่างที่รู้กัน เมื่อรัฐธรรมนูญ 2540 ถูกฉีกไป คนไทยก็ต้องกลับกลายมาเป็นเด็กที่ยังดูแลตัวเองและตัดสินใจเองไม่ได้อีกครั้ง ด้วยระบบ “แต่งตั้ง” ตัวแทนของประชาชนที่ไม่ได้มาจากประชาชน กลายเป็นว่า 85 ปีที่ผ่าน เด็กชายหรือเด็กหญิงประชาธิปไตยจึงไม่เคยเติบโตขึ้นเลย แม้เวลาจะผ่านไปนานเนิ่น เพราะคนที่คิดว่ามีแต่พวกตนเองเท่านั้นที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ไม่ยอมปล่อยให้คนไทยสามารถเรียนรู้กับคำว่าประชาธิปไตยอย่างแท้จริงเลยสักครั้ง ดังนั้นอย่าไปแปลกใจเลยครับ หากประชาธิปไตยของบ้านเรา จะดูล้าหลังกว่าประเทศอื่นที่เปลี่ยนมาใช้ระบอบการปกครองนี้ ช้ากว่าเรา เพราะเราทุกคนในประเทศนี้ ล้วนเป็นเด็กที่ยังไม่พร้อมเสมอกับการเข้าถึงอำนาจประชาธิปไตย ตามสายตาของใครบางพวก ที่มองว่าเราประชาชนยังเป็นเด็กที่ต้องฟังคำสั่งอยู่ทุกวัน
ป.ล.ทิ้งท้ายขอคุยกับท่านที่เข้ามาอ่านสักหน่อยว่า
กลับมาครั้งนี้ ผมก็จะหาเรื่องมาเขียนไปเรื่อยนะครับ เมื่อวานได้แอบกลับมาทักทายเพื่อนๆพี่น้องในบางกะทู้ ก็มีคนถามหาบทความของผม ผมก็เลยตัดสินใจกลับมาเขียน ลองตั้งบทความแบบเบาๆไปแล้วเมื่อวาน ปรากฏว่าไม่โดนสอย ก็เลยติดใจอยากจะซ้ำรอยอีกสักบทความหนึ่ง แต่ก็คงไม่ได้เขียนถี่แบบทุกๆวันเหมือนแต่ก่อนนะครับ และคงไม่ลงรายละเอียดอะไรมากมาย เขียนเชิงอุปมาอุปมัยกล่าวถึงเชิงโครงสร้างของระบบมากกว่าเรื่องของตัวบุคคล ส่วนที่ผมเลือกทำเช่นนี้เพราะเหตุใดนั้น ผมว่าทุกท่านก็คงจะพอทราบกันอยู่แล้ว และก็ไม่จำเป็นต้องแสดงความเห็นหรือตอบมาในกะทู้ก็ได้นะครับ คิดเห็นอย่างไรก็เก็บไว้ในใจก็พอ เพราะผมเองก็คงจะขอไม่ตอบหรือเพิ่มเติมประเด็นอะไรอีก บอกตรงๆครับ ค่อยข้างลำบากในการคิดหาคำที่จะนำมาเขียนบทความแต่ละชิ้นมาก ทั้งๆที่เนื้อหาก็ไม่ค่อยมีอะไรสาระที่ได้ก็อาจได้แค่นิดเดียว แต่กลับใช้เวลาเขียนมากกว่าบทความตามปกติของผมที่ผมเคยเขียนอยู่เสียอีก กว่าจะสรุปประเด็นให้จบได้โดยไม่ไปกระทบกระทั่งอะไรเข้าจนเสี่ยงผิดกฎหมาย และศีลธรรมอันดี เล่นเอาเหนื่อยครับ
ป.ล.2 ลงบทความหลังใส่บาตร ก็คงน่าจะได้ความเป็นศิริมงคลมาช่วยทำให้กะทู้นี้แคล้วคลาดและปลอดภัยอยู่รอดไปสู่สายตาผู้อ่านได้นะครับ
นายพระรอง