พูดคุยกับคนรักหนังสือ

วันนี้ไปร้านหนังสือมาแล้วนึกถึงเรื่องของตัวเองตอนเด็กๆเลยอยากเขียนกระทู้นี้ขึ้นมา

เราเป็นเด็กบ้านนอก บ้านอยู่ไกลจากตัวเมืองและความเจริญมาก อยู่ในจังหวัดที่ไม่มีห้างสรรพสินค้าเลยสักแห่ง ร้านหนังสือหายากมากต้องเข้าไปในเมืองถึงจะมีร้านเล็กๆร้านนึงซึ่งก็มีแต่หนังสือแบบเรียนไรงี้ หนังสืออ่านนอกเวลาไม่ค่อยมี

อ้อ ลืมไป แต่ในตำบลมีร้านคุณลุงที่ขายหนังสือพิมพ์ ขายการ์ตูนขายหัวเราะ มหาสนุก สาวดอกไม้กะนายกล้วยไข่ และก็นิยายเล่มบางๆเล่มละ 5 บาท ที่มีชื่อเรื่องแนวๆ "โจรทมิฬ" "รักนิรันดร์" อะไรประมาณนี้อยู่ร้านนึง เป็นร้านเดียวในตำบล ร้านนี้ใกล้บ้านที่สุดแล้ว เวลาแม่ไปตลาดในตำบลซึ่งแม่จะไปประมาณอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง ก็จะตามไปด้วยตลอด เราจะไปนั่งอ่านนั่งด้อมๆมองๆดูทุกครั้ง จนลุงจำได้ ขอแม่ซื้อได้บ้างไม่ได้บ้างก็ขึ้นอยู่กับความใจดีของแม่วันนั้น แต่ส่วนใหญ่จะได้ 55

ทุกวันนี้กลับไปที่ร้านลุงก้ยังจำได้และชวนคุยตลอดว่า โตกันหมดแล้วเนาะเด็กพวกนี้ โตไวจริงๆเผลอแป๊ปเดียว จะไม่ให้โตได้ไงคะคุณลุงผ่านไปเป็นสิบปี แล้วยิ้ม
แต่ก็ต้องขอขอบคุณคุณลุงนะคะ ที่ทำให้หนูได้อ่านการ์ตูนหัวใจ

แต่ชอบอารมณ์ตอนนั้นเหมือนกันนะ คิดถึงบรรยากาศแบบนั้น คิดถึงความพยายามของเด็กคนนึงกว่าจะได้อ่านหนังสือที่อยากอ่าน กว่าจะได้ซื้อหนังสือเป็นของตัวเองมานอนอ่านให้ชื่นใจ ต้องรอกว่าจะมีญาติพาไปห้าง ไปร้านหนังสือในเมือง (ต้องข้ามจังหวัดกันเลยทีเดียว) ตอนนั้นบ้านเราจนกว่านี้มาก รถยนต์ก็ยังไม่มี พ่อแม่พี่ชายลำบากมาก แต่ทุกคนก็พยายามเลี้ยงดูเราให้สบาย ให้โอกาสทางการศึกษาเราเต็มที่

เวลาไปห้างที่ต่างจังหวัดกับญาติ แม่ก็จะเตือนก่อนไปตลอดว่า "ซื้อหนังสือหมดก็ไม่ได้กินขนมนะ" 55ก็แม่รู้ไงว่าเรามีจุดประสงค์อะไรเวลาไป เรากวาดหนังสือมาจนตังค์หมดแน่เพราะเรากระหายอยากจะอ่านอยากจะได้มากๆ ทุกครั้งที่ไปแม่ก็จะให้เงินเป็นหลักพันตลอดทั้งๆที่เมื่อก่อนบ้านเราเงินพันนึงกินได้อีกหลายวัน ไปใช้ได้อีกเยอะ แต่แม่ยอมเสียเงินจำนวนนั้น และไม่ต่อว่าอะไรเวลาซื้อหนังสือกลับมาจนตังค์ไม่เหลือสักบาท อาจจะมีบ่นบ้างที่เราไม่ยอมซื้ออะไรกิน ยอมอดกินขนมเพื่อให้ได้หนังสือ แต่ก็ไม่เคยบ่นจนเป็นเรื่องใหญ่ พ่อแม่ท่านเล็งเห็นอะไร...

บ้านเราจน พ่อแม่จบการศึกษาระดับประถม เป็นชาวนา แต่ท่านทั้งสองเก่งที่สุดในโลกในสายตาฉัน
ตั้งแต่เล็กจนโตพ่อกับแม่ให้โอกาสทางการศึกษาสำหรับฉันอย่างเต็มที่มาก คำสอนของท่านหล่อหลอมให้ฉันเป็นฉันในทุกวันนี้
ฉันจำได้วันที่ฉันเข้าไปในเมืองกับแม่ตอนนั้นฉันอยู่ ป.5 ฉันตื่นเต้นกับร้านหนังสือเล็กๆร้านหนึ่งที่พึ่งมาเปิดมาก ฉันขอแม่เข้าไปดู ฉันเดินวนไปวนมา จับหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้ขึ้นมาอ่าน จนพี่คนขายยิ้มกรุ่มกริ่ม ยิ้ม แล้วก็วิ่งกลับไปหาแม่
"แม่ขอซื้อหนังสือเล่มนึงได้มั้ย นะๆ"
"หนังสืออะไร"
"หนังสือท่องเที่ยวปากีสถาน มันน่าอ่านมากเลย"
"เท่าไร"
"275บาท แฮะๆ"
"เดี๋ยวก่อนนะ" แล้วแม่ก็เดินซื้อกับข้าวมื้อเย็นในตลาดต่อไป
"อ่ะ ไปซื้อซะ ให้งบแค่นี้นะ" แม่เอาตังค์ใส่มือให้เรา 300 แล้วให้เรารีบๆวิ่งไปซื้อ เราดีใจมาก มาคิดดูตอนนั้นแม่คงมีตังค์ไม่มาก ท่านต้องไปซื้อของกินประทังชีวิตครอบครัวก่อน ต้องคำนวณดูก่อนว่าพอไหม ค่อยให้เรา (ตอนนั้นฉันก็คิดไม่ได้ไม่สงสารแม่เลย ร้องไห้)
จนถึงทุกวันนี้หนังสือเล่มนั้นก็ยังเป็นหนังสือเล่มโปรดและเล่มที่สร้างแรงบันดาล เปิดโลกกว้างให้กับฉันในหลายๆเรื่อง
ฉันดีใจที่ฉันโตมาในครอบครัวที่ส่งเสริมให้อ่านและรักหนังสือ
พ่อกับแม่เล็งเห็นความสำคัญของการอ่านมาโดยตลอด
ท่านเลี้ยงฉันมาแบบไม่เคยกดดันว่า ลูกต้องเป็นนู้น นี่ ต้องเรียนให้ได้เกรดเท่านั้นเท่านี้ (มีแต่ฉันกดดันตัวเอง 55)
ชอบอะไรก็ทำ รักอะไรก็ทำ มีอะไรก้บอกคุยกันได้ทุกเรื่องพร้อมช่วยเหลือและสนับสนุน

พ่อกับแม่จะพูดเสมอว่า พ่อกับแม่ไม่มีโอกาสเลยอยากสร้างโอกาสให้กับลูกให้มากที่สุด วันนึงถ้าไม่มีพ่อกับแม่จะได้ดูแลตัวเองได้
พ่อเราเป็นเป็นพี่ชายคนรอง เลยต้องเสียสละให้น้องเรียน ตัวเองจึงไม่ได้เรียนต่อ
แม่เรากำพร้าแม่แต่เล็ก ตามีลูก 6 คน จึงไม่สามารถส่งให้เรียนได้สูงกว่านี้
เราเห็นแล้วว่าท่านไม่อยากให้เราขาดโอกาสเหมือนท่าน เมื่อลูกอยากเรียนต้องได้เรียน แม้จะต้องกู้หนี้ยืมสินก็ตาม

ชีวิตความลำบากตอนเด็กมันย้อนกลับมาเป้นความทรงจำที่งดงามจริงๆ
ตอนนี้ฉันยืนอยู่ในร้านหนังสือใหญ่โต มีหนังสือมากมายให้เรื่องสัน อยากอ่านเมื่อไหร่ก็ขับรถมาซื้อหรือสั่งซื้อแป๊ปเดียว ไม่ลำบากเหมือนก่อน
ซื้อง่ายจนอ่านไม่หมด ความฟินในการอ่านจะลดลงกว่าเมื่อก่อนหน่อยเพราะมันได้มาง่ายกว่า ถ้าเป็นเมื่อก่อนถอยมาวันเดียวก็อ่านจบ อดหลับอดนอนอ่านจนจบ ชื่นใจยิ่งกว่าได้กินขนมอร่อยๆ

ในยุคที่อะไรๆมันง่ายขึ้น ใช้ความพยายามน้อยลง เราต้องระวังว่าคุณค่าของบางสิ่งอาจจะลดลงไปด้วยนะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่