ผมเข้าใจแล้วว่าทำไม Star Wars :The Last Jedi มีทั้งคนชอบและเกลียด

ลังเลอยู่นานว่าจะเขียนกระทู้ดีไหมเพราะเพิ่งได้ดูหนังเรื่องนี้เมื่อสัปดาห์ก่อนในขณะที่กระทู้ไหลไปหมดแล้วและไม่เคยอ่านเลยเพราะกลัวสปอยล์  ทำให้ต้องไปขุดมาอ่านใหม่  ตอนนี้รู้แล้วว่าเขาดราม่าอะไรกัน

ถามตัวเองชอบหรือไม่  ผมคงเป็นมนุษย์ประหลาดคนเดียวมังที่ดันเหยียบเรือสองแคม  ทางหนึ่งชอบ  อีกทางหนึ่งไม่ขอพูดว่าเกลียดแต่เข้าใจว่ามันไม่ใช่หนัง Star Wars ที่รู้จัก

ที่ชอบเพราะบังเอิญเป็นคนชอบหนังแอคชั่น ผจญภัยหรือไซไฟที่แทรกอารมณ์ขันเป็นทุนเดิม  หนังที่บางคนมองว่าสนุกไร้สาระ  เหมาะกับเด็กชายอายุต่ำกว่า 13  อย่าง Back to the future, Indiana Jones, John Carter  อ้าว...ก็ชอบมาตั้งแต่เด็กจนตอนนี้แก่กระโหลกกะลาล่ะจะให้โยนความชอบทิ้งเหรอ  มันก็กระไรอยู่  ข้อดีคือมันทำให้เรากระชุ่มกระชวยเหมือนเป็นเด็กตลอด  เหอ เหอ

ส่วนที่บอกว่าเข้าใจอีกฝ่าย  จะพูดไงดี  ผมว่าดราม่าส่วนหนึ่งมาจากการใช้คำสั้นไป  ฝ่ายหนึ่งบอกว่านี่ไม่ใช่หนัง Star Wars  อีกฝ่ายบอกทำไมต้องยึดติดรูปแบบเดิมๆ  คนรุ่นใหม่ต้องก้าวไปสู่สิ่งใหม่สิ  ควรจะเปลี่ยนนิยามใหม่เป็น Star Wars ในแบบของยอร์จ ลูคัสหรือ Star Wars ตระกูล SkyWalker แบบหนึ่ง กับ Star Wars ในแบบของไรอัน จอห์นสันหรือ Star Wars ของดิสนีย์  แบบหนึ่ง

อย่างนี้พอฝ่ายหนึ่งบอกว่า เฮ้ย...นี่ไม่ใช่หนัง Star Wars ในแบบของยอร์จ ลูคัสนิ  อีกฝ่ายก็แย้งไม่ได้เพราะมันจริง  ยอร์จ ลูคัสไม่มายุ่งแล้วนี่หว่า  ถ้าอีกฝ่ายบอกว่า  เฮ้ย...ตรูชอบหนัง Star Wars ในแบบของไรอัน จอห์นสัน  อีกฝ่ายก็แย้งไม่ได้เพราะมันไม่ใช่หนังของยอร์จ ลูคัสอีกต่อไปแล้ว  มันจบไปแล้ว  ถือเสียว่ามันเป็นตำนานที่มีแค่ 1-6 แค่นั้น  ถ้าอยากสานฝันต่อคงต้องจินตนาการเอาเองเพราะอยากแค่ไหนถ้าไม่มีคนสร้างให้มันก็ป่วยการเปล่า

แล้วหนังสไตล์ยอร์จ ลูคัสมันเป็นยังไง  อันนี้แล้วแต่แฟนแต่ละคนตีความละกันจะมองในแง่วิทยาศาสตร์  มองในแง่ความสมจริง  แล้วแต่สิทธิ  สำหรับผมผมไม่ mind ตรงนั้นเท่าไร  ถ้าชีวิตของลุคจะก้าวไปสู่จุดสูงสุดแบบนั้นหรือลีอาจะลอยได้  สำหรับผมโอเค  สำหรับผมมันเป็นเรื่องการตีความและนำเสนอของผู้กำกับมากกว่าหรือจะเรียกว่ากลิ่นอายของความเป็น Star Wars ในแบบของยอร์จ ลูคัสก็ได้

1. เกือบทุก charaters ของยอร์จมันคือชีวิตของความทุกข์  ทหารที่เข้าร่วมสงครามต่างสูญเสียครอบครัว  คนรักไม่มากก็น้อย  โดยเฉพาะตระกูล SkyWalker ผมต้องขอใช้คำว่า "อาดูรและขมขื่น" บ้านแตก  ลุงกับป้าถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยม  พ่อเป็นตัวร้ายสุดของจักรวาล  มีเพียง character เดียวที่ยอร์จปล่อยให้รวยอารมณ์ขันคือ ฮาน โซโล  คนที่ไม่เคยอยากร่วมสงครามบ้าบอกับคนกลุ่มนี้เลยสักนิด  

ลุคอารมณ์ดีหัวเราะเหมือนกันแต่ในฐานะปุถุชนคนธรรมดาที่หน้าไม่กากบาท 24 ชม.  แต่โทนยังเป็นคนที่มีความขมขื่น  ผิดกับฮานความอารมณ์ดีของเขามาจากจิตที่เป็นอิสระด้วยรู้ว่าชีวิตนี้เป็นนายของตัวเอง  หนังมีความดาร์คมาก่อนโนแลนเพียงแต่ดาร์คไม่เท่า  การใส่อารมณ์ขันฟุ่มเฟือยเกินไปต้องดูจังหวะดีๆมันอาจเปลี่ยนโทนของหนังหรือ character ได้

2. ไม่มีใครรู้ว่า Force ที่แท้จริงเป็นอย่างไร  ในฐานะที่ยอร์จเป็นต้นเรื่องเขาเล่ามันในลักษณะที่ลึกลับ  เหนือจริง  ซับซ้อนและต้องฝึกฝน  ไม่ต่างอะไรกับศาสตร์ทั้งหลายที่ต้องมีขั้น basic  intermediate  advance  เรามีไอสไตน์ที่เป็นอัจฉริยะแต่ไอสไตน์ก็ต้องไปโรงเรียนเหมือนกันเพื่อฝึกความรู้พื้นฐาน  เรามีโรงเรียนฝึกเจไดน้อยในภาค 2 หรือ 3 เพื่อฝึกการคุมพลังของตน  เรามีลุคที่ใส่แว่นปิดตาแล้วใช้ดาบเลเซอร์ฝึกตีเจ้าหุ่นจิ๋วที่ลอยไปมากลางอากาศหรือฝึกยกยานในภาค 5  เรามีนีโอใน The Matrix ที่ต้องใส่ความรู้เข้าไปในการเรียนรู้จูจิสุ  หากไรอันใส่ใจสิ่งเหล่านี้ให้มีความน่าเชื่อถือ  ไม่เบาบาง  ในทางหนึ่งเขาต้องไม่ให้เรย์วิ่งไปหาลุคเพื่อฝึกฝนนั่งสมาธิ  แต่ในอีกทางกลับสามารถใช้ไลท์เซเบอร์สู้กับศัตรูได้  เมื่อศัตรูมาทางซ้ายรับทางขวาได้ประมาณนั้น  เหมือนการเรียนมวยไทยมันต้องมีท่า  คือ ศาสตร์เหล่านี้มันต้องฝึกฝน  พลังมีมาแต่กำเนิดแต่ไม่มีทางที่เราจะรู้ศาสตร์ที่อาจารย์คิดมาก่อน

แต่ก็นั่นละหากเราดู Star Wars ฉบับของไรอัน จอห์นสัน  ถ้าเรามัวจับผิดอย่างนี้เราจะดูหนังไม่สนุก  ต้องคิดในอีกทางหนึ่งว่าเมื่อหนังเป็นแฟนตาซีไซไฟต้องถือว่าละในฐานที่เข้าใจ  มันไม่ใช่หนังดราม่าที่ต้องตรวจสอบความจริง  หนังไซไฟแฟนตาซีจินตนาการเป็นสิ่งสำคัญไม่เช่นนั้นเราคงดูหนัง superhero ของ marvel หรือ dc ไม่สนุกสักเรื่อง

3. ขึ้นชื่อว่าสงครามไม่ว่าภายนอกหรือในใจมันต้องยากนี่คือเรื่องจริง  ยอร์จแสดงให้เห็นถึงความยากในการพัฒนาตัวละครอย่างลุค  ตัวร้ายอย่าง Darth Sidious หรือ Darth Vader  กว่าจะตายต้องหลายภาค  การฝึก Force ก็เป็นเรื่องยากเช่นกัน  ส่วนหนึ่งคือยอร์จค่อยๆขัดเกลาให้เกิดความรู้สึกสมจริง  ส่วนหนึ่งเพราะหนังสมัยก่อนปูเรื่องค่อนข้างมาก  ฉากแอ็คชั่นส่วนใหญ่อยู่ตรงไคลแม็กซ์  เมื่อเวลาผ่านไปอัตราความเร็วของฉากตื่นเต้นเร่งเร็วขึ้น  จนปัจจุบันต้องบอกว่า non-stop action   คนดูหนังสมัยนี้เริ่มเสพติดความเร็ว  หนังที่มัวแต่ปูจะถูกว่าเอื่อย เฉื่อย เนิบ  พอไรอันนำมาทำให้ถูกใจคนสมัยใหม่ทุกอย่างเลยเร็วถูกใจไปหมด  Snoke มาแปบเดียวตาย  Ren มาสองภาคขึ้นเป็นผู้นำสูงสุด  เบื้องหลังของ Rey ปูมาเหมือนขมขื่นแต่ไม่เกินสองภาคเฉลยและดูจะจบแค่นั้น  ฝ่าย Resistance ไม่ต้องสู้กันยืดเยื้อแบบหงายไพ่ทีละใบไปอีกหลายภาค  เอาซะเละเป็นโจ๊กทุลักทุเลกันไป  Rey ไม่ต้องมัวฝึกยกยานมาทีเดียวยกหินทั้งภูเขาเลย  ทุกอย่างเบ็ดเสร็จ  ฉับไว  สะใจดี  กลับบ้านกินอิ่ม  นอนหลับฝันดี  รอดูหนังเรื่องอื่น  คนรุ่นใหม่ถูกใจล้านไลค์  แล้วคนรุ่นเก่าละ  สำหรับผมรูปแบบสมัยใหม่ไม่ได้ผิดหรอก  มันแค่เรื่องกลิ่นอายที่คุณยอร์จแอบผูกใจเราไว้แล้ววันหนึ่งมาสลัดทิ้งเราไปดื้อๆ  คือ  ดูๆให้จบไปเหอะไม่ต้องมาผูกพันธ์กับฉันมาก

หน้งสมัยใหม่ออกแนวกว้าง  ทุกอย่างอัดเข้าไปครบรส  มันก็สนุกดีแต่พอดูไปสัก 20-30 เรื่องอาจรู้สึกว่ามันเหมือนๆกันไปหมด หากยอร์จ ลูคัสสร้าง Star Wars ในยุค 1970 แบบนั้นฐานแฟนคงมีเฉพาะกลุ่ม   แต่เมื่อเลือกเติมความลึกให้ค้นหามันช่วยดึงความผูกพันในกลุ่มคนที่กว้างขึ้น

สรุปคือมันไม่มีใครถูกใครผิด  ดู 1-6 ว่ามันเป็นหนังยอร์จ ลูคัส  ที่เหลือก็ถือว่าดูหนังอีกเรื่องหนึ่งที่ชื่อดันเหมือนกันหรือจะบอกว่าเป็น Star Wars ยุคใหม่ก็ได้  มันก็สนุกไปอีกแบบ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่