สติในพุทธศาสนาไม่มีอกุศลสติ
แล้วพวกนอกศาสนามีอกุศลสติหรือ
หลงตำราทั้งนั้น
ตำราเขียนขึ้นจากประสบการณ์ในโลก
ไม่ใช่เอาโลกทั้งโลกไปอยู่ในตำรา
ธรรมชาติ ย่อมมีของคู่กัน มีขาวก็มีดำ
สติในตำราก็จะอ้างถึงสัมมาสติในสัมมามรรค
ที่เป็นสติที่มีแต่กุศลวิตก
ก็เลยไม่ยกสติที่มีอกุศลวิตกมาวิจารณ์
แค่บอกว่ามิจฉาสติใน มิจฉามรรค
สมมุติขึ้นมาเพื่อหลอกให้ธรรมชาติ
ให้ครบคู่กับ สัมมาสติ ในสัมมามรรค
จะสมมุติอย่างไรก็สมมุติไปแต่ธรรมชาติคือความจริงไม่มีสมมุติ
ไม่มีสัมมาสติ ไม่มีมิจฉาสติ ไม่มีสติมีแต่ธรรมชาติ
ธรรมชาติใดที่จิตนึก ก็เรียกว่าสติ
จิตจะนึกถึงเรื่องดี เรื่องชั่ว สติไม่รู้เรื่อง
รู้แต่ว่านึกขึ้นมาได้ว่าคนนั้นเป็นใคร คนนี้เป็นใคร ไปไหนมา
ทำอะไรมา ตามที่เรียกไปตามสมมุติ
สัมปชัญญะก็เป็นตัวรู้สึกตัวว่าเป็นตัวเรากำลังทำอยู่
ปัญญาเป็นตัวรู้ว่าดี ชั่ว
ปัญญาเกิดจากสัมมามรรค มีสัมมาสติเป็นพื้นฐานตัวหนึ่งที่ช่วยให้เกิดปัญญา
แต่สัมมาสติไม่ใช่ปัญญา
สัมมามรรค คือศีล สมาธิ ปัญญา โดยสรุป จะทำชั่วหรือทำดี ก็อยู่ที่สัมมามรรค ที่เป็นปัญญา
ไม่ได้อยู่ที่สติ
หลงสติในตำราทั้งนั้น
แล้วพวกนอกศาสนามีอกุศลสติหรือ
หลงตำราทั้งนั้น
ตำราเขียนขึ้นจากประสบการณ์ในโลก
ไม่ใช่เอาโลกทั้งโลกไปอยู่ในตำรา
ธรรมชาติ ย่อมมีของคู่กัน มีขาวก็มีดำ
สติในตำราก็จะอ้างถึงสัมมาสติในสัมมามรรค
ที่เป็นสติที่มีแต่กุศลวิตก
ก็เลยไม่ยกสติที่มีอกุศลวิตกมาวิจารณ์
แค่บอกว่ามิจฉาสติใน มิจฉามรรค
สมมุติขึ้นมาเพื่อหลอกให้ธรรมชาติ
ให้ครบคู่กับ สัมมาสติ ในสัมมามรรค
จะสมมุติอย่างไรก็สมมุติไปแต่ธรรมชาติคือความจริงไม่มีสมมุติ
ไม่มีสัมมาสติ ไม่มีมิจฉาสติ ไม่มีสติมีแต่ธรรมชาติ
ธรรมชาติใดที่จิตนึก ก็เรียกว่าสติ
จิตจะนึกถึงเรื่องดี เรื่องชั่ว สติไม่รู้เรื่อง
รู้แต่ว่านึกขึ้นมาได้ว่าคนนั้นเป็นใคร คนนี้เป็นใคร ไปไหนมา
ทำอะไรมา ตามที่เรียกไปตามสมมุติ
สัมปชัญญะก็เป็นตัวรู้สึกตัวว่าเป็นตัวเรากำลังทำอยู่
ปัญญาเป็นตัวรู้ว่าดี ชั่ว
ปัญญาเกิดจากสัมมามรรค มีสัมมาสติเป็นพื้นฐานตัวหนึ่งที่ช่วยให้เกิดปัญญา
แต่สัมมาสติไม่ใช่ปัญญา
สัมมามรรค คือศีล สมาธิ ปัญญา โดยสรุป จะทำชั่วหรือทำดี ก็อยู่ที่สัมมามรรค ที่เป็นปัญญา
ไม่ได้อยู่ที่สติ