ก่อนอื่นขอเกริ่นกระทู้ด้วยคำถามไปยังออแกไนซ์ที่จัดงานนะครับ ว่า
"คุณคิดว่าสาวกแฮร์รี่ชาวไทยเป็นเหยื่อการตลาดในกำมือ ที่คุณจะย่ำยีอย่างไรก็ได้งั้นหรือ?"
ในฐานะสาวกแฮร์รี่ที่เหนียวแน่นมาก ๆ คนหนึ่ง ผมเฝ้าดูงาน Harry Potter : Christmas in The Wizarding World ที่จัด ณ สยามพารากอนมานานพอสมควรแล้ว และรู้สึกว่าควรตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อตั้งคำถาม, หาแนวร่วมที่ไม่พอใจในสิ่งที่เกิดขึ้น, และกำหนดมาตรการร่วมกันว่าเราจะจัดการเรื่องนี้เหมือนอย่างที่กองทัพดัมเบิลดอร์จัดการยัยคางคกอัมบริดจ์ให้พ้นไปจากฮอกวอตส์กันอย่างไรดี
มาเริ่มกันทีละประเด็น
1. ทำไมต้องเก็บเงิน ทั้งที่มันเป็นงาน Pop-Up Strore ไม่ใช่ Exhibition?
Harry Potter : Christmas in The Wizarding World ที่พารากอนเป็นงานที่จัดเป็นแห่งที่ 2 ถัดจากที่ห้างสรรพสินค้า Shops at South Town ในรัฐยูทาห์ สหรัฐอเมริกา มีหลายคนที่บ่นว่าทำไมพื้นที่จัดงานถึงเล็กกระจิ๋วขนาดนี้ แต่ถ้าลองหาข้อมูลสักนิดก็จะพบนะครับว่าพื้นที่จัดงานของทั้งที่พารากอนและยูทาห์มีขนาดพอ ๆ กันเลย เพราะฉะนั้นความไม่พอใจเรื่องขนาดพื้นที่งานจะไม่ใช่ประเด็นที่ผมจะกล่าวถึงในกระทู้นี้ ... อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญที่ผมอยากให้ทุกคนทราบกันก็คือ งาน Harry Potter : Christmas in The Wizarding World เป็นงานในลักษณะที่เรียกว่า Pop-Up Store ซึ่งหมายความว่า
1.) มันคืองานที่มีการตั้งร้านขายของในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ 2.) ลูกค้าสามารถเดินเข้ามาชมได้ฟรี และ 3.) ลูกค้าสามารถเลือกซื้อของได้อย่างอิสระในเวลานานแค่ไหนก็ได้ ไม่มีการกำหนดเวลาเข้าเป็นรอบ ๆ และไม่มีการไล่ต้อนลูกค้าออกเมื่อหมดเวลา
แต่กระนั้นก็ดี จนถึงวันนี้ก็ยังมีความพยายามที่จะเก็บเงินสำหรับการเข้างาน Harry Potter : Christmas in The Wizarding World อยู่ตลอด หนำซ้ำยังมีการจำกัดเวลาและไล่ลูกค้าออกจากพื้นที่งานอีกด้วย!
ถามว่าในโลกนี้มีงาน Harry Potter ที่ไหนที่เก็บค่าเข้างานและจัดเวลาเป็นรอบ ๆ ไหม ... มีนะ แต่เป็นคนละแบบกับงาน Christmas in The Wizarding World อย่างสิ้นเชิง เป็นงานที่เรียกว่า Harry Potter : The Exhibition ซึ่งเป็นรูปแบบของนิทรรศการที่จัดแสดงอุปกรณ์ที่ใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์ มีการแบ่งห้องจัดแสดงเป็นหลายห้อง มีการขายบัตร และกำหนดรอบเวลาสำหรับผู้เข้าชมงาน
ผมไม่ทราบนะครับว่าจนถึงเดี๋ยวนี้แล้วทางออแกไนซ์ผู้จัดงานในไทย (ไม่ขอเอ่ยชื่อบริษัท มันปรากฏหราอยู่แล้วบนโปสเตอร์และสื่อประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ) เข้าใจแล้วหรือยังว่างาน Harry Potter : Christmas in The Wizarding World มันคือ Pop-Up Store ไม่ใช่ Exhibition เพราะขนาดในวันที่มีการแถลงข่าวเปิดตัวงานนี้เมื่อ 16 ธันวาคม 2017 ที่ผ่านมา พิธีกรยังเรียกงานนี้ว่าเป็น Exhibition อยู่เลย ถึงขนาดที่ฝาแฝด James & Oliver Phelps ต้องออกปากท้วง ณ ขณะที่แถลงข่าวในทันทีว่างานนี้ไม่ใช่ Exhibition (มีคลิปช่วงที่สัมภาษณ์ดังกล่าวอยู่ใน link นี้
https://www.facebook.com/swishandflickTH/videos/881299002018403/ ตรงนาทีที่ 1.15-130 สามารถกดเข้าไปดูได้)
ทั้งที่มันควรจะได้เข้าฟรี แต่เท่าที่ทราบมาก็คือทางออแกไนซ์ดึงดันแข็งขันว่าจะเก็บเงินค่าเข้างาน โดยตอนแรกจะเก็บ 350 บาท และให้พารากอนประกาศเรื่องนี้ลงเว็บไซต์ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน 2017 แต่ไป ๆ มา ๆ
ทางบริษัท GES ซึ่งเป็นบริษัทต้นสังกัดจากเมืองนอกที่ได้ลิขสิทธิ์งานนี้จาก Warner Brothers ไม่อนุญาตให้เก็บเงิน ทางพารากอนจึงต้องลบเนื้อหาในส่วนดังกล่าวออกไปในวันเดียวกันนั้นเอง
แต่สุดท้ายเหมือนว่าจะมีการเล่นแง่เลี่ยงบาลีจนมาเก็บที่ 100 บาทจนได้ ซึ่งแทนที่จะเรียกว่า “ค่าเข้างาน” ก็เรียกว่าเป็น "ค่าบริการจัดคิว" ... ซึ่งในวันแรก ๆ ของการจัดงาน มันก็เข้าใจได้ว่าต้องมีระบบจัดคิวดังกล่าวเนื่องจากมีคนสนใจเยอะ แต่กระนั้นก็ได้ยินเสียงบ่นมาหนาหูว่าเจ้าหน้าที่จัดการเรื่องแถวต่าง ๆ ได้วายป่วงมาก
ต่อมาปรากฏว่าสินค้าในงานหมด ... ซึ่งผมขอยังไม่พูดตรงนี้ว่าปัญหาเกิดจากตรงไหน แต่ของมันหมดตั้งแต่ก่อนคริสต์มาส! .. พอในงานไม่มีของจะขาย คนก็ไม่ค่อยมากันสิครับ ยอดจองคิวมันก็ไม่ได้ถล่มทลาย ในงานนี่โล่งมาก คนน้อยสุด ๆ มีคนไป Walk-in แล้วปรากฏว่าพนักงานไปเรียกเก็บเงินเขา 100 บาท เขาก็งงสิว่าในเมื่อไม่มีการต้องจองคิวแล้วจะมาเก็บ "ค่าบริการจัดคิว" ทำไม ... แรก ๆ ก็ยอมจ่ายแบบเสียมิได้ ต่อมาพอมีมาตรการเรียกเก็บเงินแบบนี้หนักขึ้น ๆ ก็มีคนส่งอีเมลไปถึง GES และนี่คืออีเมลตอบกลับที่ยืนยันมาว่าห้ามเก็บเงินจากลูกค้าในกรณีที่ Walk-in
อีเมลนี้ผมนำมาจากทวิตเตอร์ของคุณ Nattacha ซึ่งในย่อหน้าที่ 2 ระบุชัดเจนว่า
“ไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับการเข้างาน แต่กระนั้นเราก็มีบริการจองบัตรคิวล่วงหน้าสำหรับกรณีที่ต้องการหลีกเลี่ยงการเข้าแถวรอนานในช่วงเวลาที่มีผู้สนใจเป็นจำนวนมาก โดยสามารถทำการจองบัตรคิวล่วงหน้าได้ทางเว็บไซต์ โดยบัตรคิวดังกล่าวไม่มีค่าใช้จ่าย แต่มีค่าบริการจองคิว 100 บาท ซึ่งเป็นค่าบริการที่ไม่ควรจะเก็บที่หน้างาน”
เวลาผ่านไป อีเมลฉบับนี้ถูกรีทวิตไปเป็นวงกว้าง เลยก่อให้เกิดแถว Walk-in ขึ้นมาโดยปริยายสำหรับคนที่ไม่ได้จอง และต้องการจะเข้าฟรี … แต่เท่าที่ทราบมา คือกลายเป็นว่าพนักงานไม่ยอมปล่อยให้แถว Walk-in นี้เข้าไปในงาน โดยอ้างว่ามีคนจองออนไลน์มาเต็มแล้ว (ทุกคนที่ไปยืนยันว่ารอแล้วรออีกก็ไม่เห็นมีใครมารับบัตรสำหรับพวกจองออนไลน์เลย มีก็นิด ๆ หน่อย ๆ) ... อ้างว่าคนเต็ม ทั้งที่ข้างในนี่โล่งมากจนอดสงสัยไม่ได้ว่าเป็นรอบสำหรับลูกค้าแผนกผีและวิญญาณที่เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่าหรืออย่างไร ... ดูรูปประกอบข้างล่างก็ได้ รูปนี้ผมถ่ายเองจากมุมสูงบนชั้น 2 ของห้างพารากอนในเวลาที่แถว Walk-in ยาวเฟื้อย
ส่วนอันนี้แถว Walk-in ที่ถูกกั้นให้รออยู่ข้างนอก ท้งที่ข้างในว๊างว่าง

คนที่ต่อแถว Walk-in จะถูกจำกัดให้เข้าได้รอบละ 60 คน และจะไม่มีทางถูกปล่อยให้เข้างานจนกระทั่งเวลาสำหรับรอบนั้นผ่านไปแล้ว 30 นาที ... คนที่ทนรอ 30 นาทีไม่ได้หรืออยากเข้าก่อนก็ต้องยอมเข้าไปในเว็บไซต์เพื่อทำการจองและจ่ายจ่ายตังค์ 100 บาท ถึงจะได้เข้า ... คำถามคือในเมื่อข้างในไม่มีคน และไม่มีหลักฐานใด ๆ มายืนยันให้เชื่อได้ว่าคิวออนไลน์นั้นเต็มจริง ๆ เหตุใดพนักงานถึงไม่ปล่อยให้คนที่เข้าแถวรออยู่เข้าไปในงาน การทำแบบนี้ถือว่ามีเจตนาเล่นแง่และบังคับกลาย ๆ ให้เราต้องยอมจ่ายเงิน 100 บาท ใช่หรือไม่?
และนี่คือภาพล่าสุดที่ถ่ายเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แสดงถึงการใช้มาตรการดังกล่าวอย่างจริงจัง เป็นป้ายที่ถูกนำมาตั้งบริเวณหัวแถวก่อนจะเข้าชมงาน
อ่านแล้วอยากจะตั้งคำถามไปยังออแกไนซ์ผู้จัดงานว่ารู้สึกอะไรบ้างไหมตอนที่พิมพ์ว่า
“... ร้านค้าที่คับคั่งด้วยสินค้ามากมาย” ทั้งที่ความจริงแทบไม่มีของอะไรจะขาย ... ป้ายนี้อ่านเผิน ๆ แล้วเหมือนว่าคนสนใจงานนี้ถล่มทลายมาก ซึ่งก็ใช่ครับ มันเป็นอย่างนั้นในวันแรก ๆ แต่หลังจากการบริหารจัดการอันดีเลิศที่ทำให้ของหมดเกลี้ยงและไม่สามารถเติมสต็อกได้ในเวลาหลังจากเริ่มงานเพียงแค่ไม่กี่วัน คนเขาก็ไม่อยากจะมากันแล้ว พวกเรามีการสื่อสารผ่านนกฮูกประสิทธิภาพสูงที่เรียกว่าโซเชียลนะครับ เรื่องของหมดนี่รู้กันทั่ว คนเขาไม่ได้อยากจะมาเสียดายเงินและเวลาเพื่อพบกับความผิดหวังกันแล้ว ทางผู้จัดยังจะมาอ้างลอย ๆ เรื่องคนสนใจเยอะเพื่อหาเรื่องเก็บค่าจัดการคิว (ทั้งที่มันไม่มีคิว) อยู่อีกหรือ?
หลายคนอาจมองว่าเราขี้เหนียว จะอะไรนักหนากับเงินแค่ 100 บาท ... ใช่ครับ เงิน 100 บาทมันไม่เยอะหรอก แต่ในเมื่อมันไม่ควรต้องจ่าย จะกี่บาทเราก็ไม่ควรต้องจ่ายทั้งนั้นแหละครับ แล้วคิดดูว่าถ้ามีคนยอมจ่ายวันละแค่ 100 คน ทางออแกไนซ์ก็จะได้ไปฟรี ๆ เป็นหมื่นเลยนะ
นอกจากนี้เมื่อเวลาแต่ละรอบหมดลง (เมื่อคนที่ยอมจ่าย 100 บาท ได้เข้างานเป็นเวลา 1 ชั่วโมง และผู้ที่รอเข้าฟรีได้เข้างานเพียงแค่ 30 นาที หรือน้อยกว่านั้น) ก็มีพนักงานมาประกาศเชิญลูกค้าทุกคนออกจากพื้นที่งานจนหมด ไม่ให้เหลืออยู่แม้แต่คนเดียว .... คำถามครับ มี Pop-Up Store ที่ไหนในโลกบ้างที่จำกัดเวลาเข้าชมและไล่ลูกค้าออกแบบนี้?
ผมมองว่าในทางปฏิบัติแล้ว เงิน 100 บาทไม่ควรเรียกว่าเป็นค่าจัดการคิวเลย แต่ควรเรียกว่าเป็นค่าโง่มากกว่า! ... เป็นเงินที่ผู้จัดงานมองสาวกแฮร์รี่อย่างเราว่าเป็นเหยื่อการตลาดโง่ ๆ ในกำมือที่เขาจะขูดรีดอย่างไรก็ได้ ถ้าอยากเข้าพื้นที่งานแบบเต็มที่ก็ต้องจ่ายให้เขา ถ้าไม่จ่ายก็ยืนรอต่อไป อยากเข้าไปในพื้นที่ก็ส่งแบงค์สีแดง ๆ มา
เพราะฉะนั้นมันก็เป็นเรื่องสำคัญที่สาวกแฮร์รี่อย่างเราจะต้องมาฉุกคิดว่าต่อไปจะยอมเสียค่าโง่นี้ให้กับออแกไนซ์ผู้จัดงานหรือไม่? แล้วที่พนักงานอ้างว่าคิวออนไลน์จองเต็มแล้ว แต่ไม่มีใครมาเลยนั้น มันเต็มจริง ๆ หรือเปล่า มีหลักฐานให้ดูไหม เพราะถ้าไม่มีหลักฐานก็เท่ากับกล่าวอ้างลอย ๆ และกั้นคนไว้นอกงานเพื่อกดดันแกมบังคับให้จ่ายเงินที่พวกเขาไม่ควรจะต้องจ่าย ... เราทุกคนควรจะพร้อมใจกันไม่จองเลยดีไหม? ...
แล้วถ้าทางผู้จัดงานไม่สามารถเติมสินค้าให้เต็มอัตราเหมือนวันแรก ๆ ที่จัดงานได้ล่ะก็ คำถามคือมันถึงเวลาหรือยังที่งานนี้ควรจะเปิดให้เข้าฟรีอย่างอิสระ ไม่จำกัดเวลา และเป็น Pop-Up Store ตามเจตนารมณ์ดั้งเดิมอย่างแท้จริง?
มีอีก 2-3 ประเด็น อ่านต่อในคอมเมนต์นะครับ
Harry Potter : Christmas in The Wizarding World ธุรกิจชุ่ย ๆ ในมือผู้จัดชาวไทย กับคำถามว่าทำไมต้องเก็บค่าเข้า?
"คุณคิดว่าสาวกแฮร์รี่ชาวไทยเป็นเหยื่อการตลาดในกำมือ ที่คุณจะย่ำยีอย่างไรก็ได้งั้นหรือ?"
ในฐานะสาวกแฮร์รี่ที่เหนียวแน่นมาก ๆ คนหนึ่ง ผมเฝ้าดูงาน Harry Potter : Christmas in The Wizarding World ที่จัด ณ สยามพารากอนมานานพอสมควรแล้ว และรู้สึกว่าควรตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อตั้งคำถาม, หาแนวร่วมที่ไม่พอใจในสิ่งที่เกิดขึ้น, และกำหนดมาตรการร่วมกันว่าเราจะจัดการเรื่องนี้เหมือนอย่างที่กองทัพดัมเบิลดอร์จัดการยัยคางคกอัมบริดจ์ให้พ้นไปจากฮอกวอตส์กันอย่างไรดี
มาเริ่มกันทีละประเด็น
1. ทำไมต้องเก็บเงิน ทั้งที่มันเป็นงาน Pop-Up Strore ไม่ใช่ Exhibition?
Harry Potter : Christmas in The Wizarding World ที่พารากอนเป็นงานที่จัดเป็นแห่งที่ 2 ถัดจากที่ห้างสรรพสินค้า Shops at South Town ในรัฐยูทาห์ สหรัฐอเมริกา มีหลายคนที่บ่นว่าทำไมพื้นที่จัดงานถึงเล็กกระจิ๋วขนาดนี้ แต่ถ้าลองหาข้อมูลสักนิดก็จะพบนะครับว่าพื้นที่จัดงานของทั้งที่พารากอนและยูทาห์มีขนาดพอ ๆ กันเลย เพราะฉะนั้นความไม่พอใจเรื่องขนาดพื้นที่งานจะไม่ใช่ประเด็นที่ผมจะกล่าวถึงในกระทู้นี้ ... อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญที่ผมอยากให้ทุกคนทราบกันก็คือ งาน Harry Potter : Christmas in The Wizarding World เป็นงานในลักษณะที่เรียกว่า Pop-Up Store ซึ่งหมายความว่า 1.) มันคืองานที่มีการตั้งร้านขายของในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ 2.) ลูกค้าสามารถเดินเข้ามาชมได้ฟรี และ 3.) ลูกค้าสามารถเลือกซื้อของได้อย่างอิสระในเวลานานแค่ไหนก็ได้ ไม่มีการกำหนดเวลาเข้าเป็นรอบ ๆ และไม่มีการไล่ต้อนลูกค้าออกเมื่อหมดเวลา
แต่กระนั้นก็ดี จนถึงวันนี้ก็ยังมีความพยายามที่จะเก็บเงินสำหรับการเข้างาน Harry Potter : Christmas in The Wizarding World อยู่ตลอด หนำซ้ำยังมีการจำกัดเวลาและไล่ลูกค้าออกจากพื้นที่งานอีกด้วย!
ถามว่าในโลกนี้มีงาน Harry Potter ที่ไหนที่เก็บค่าเข้างานและจัดเวลาเป็นรอบ ๆ ไหม ... มีนะ แต่เป็นคนละแบบกับงาน Christmas in The Wizarding World อย่างสิ้นเชิง เป็นงานที่เรียกว่า Harry Potter : The Exhibition ซึ่งเป็นรูปแบบของนิทรรศการที่จัดแสดงอุปกรณ์ที่ใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์ มีการแบ่งห้องจัดแสดงเป็นหลายห้อง มีการขายบัตร และกำหนดรอบเวลาสำหรับผู้เข้าชมงาน
ผมไม่ทราบนะครับว่าจนถึงเดี๋ยวนี้แล้วทางออแกไนซ์ผู้จัดงานในไทย (ไม่ขอเอ่ยชื่อบริษัท มันปรากฏหราอยู่แล้วบนโปสเตอร์และสื่อประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ) เข้าใจแล้วหรือยังว่างาน Harry Potter : Christmas in The Wizarding World มันคือ Pop-Up Store ไม่ใช่ Exhibition เพราะขนาดในวันที่มีการแถลงข่าวเปิดตัวงานนี้เมื่อ 16 ธันวาคม 2017 ที่ผ่านมา พิธีกรยังเรียกงานนี้ว่าเป็น Exhibition อยู่เลย ถึงขนาดที่ฝาแฝด James & Oliver Phelps ต้องออกปากท้วง ณ ขณะที่แถลงข่าวในทันทีว่างานนี้ไม่ใช่ Exhibition (มีคลิปช่วงที่สัมภาษณ์ดังกล่าวอยู่ใน link นี้ https://www.facebook.com/swishandflickTH/videos/881299002018403/ ตรงนาทีที่ 1.15-130 สามารถกดเข้าไปดูได้)
ทั้งที่มันควรจะได้เข้าฟรี แต่เท่าที่ทราบมาก็คือทางออแกไนซ์ดึงดันแข็งขันว่าจะเก็บเงินค่าเข้างาน โดยตอนแรกจะเก็บ 350 บาท และให้พารากอนประกาศเรื่องนี้ลงเว็บไซต์ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน 2017 แต่ไป ๆ มา ๆ ทางบริษัท GES ซึ่งเป็นบริษัทต้นสังกัดจากเมืองนอกที่ได้ลิขสิทธิ์งานนี้จาก Warner Brothers ไม่อนุญาตให้เก็บเงิน ทางพารากอนจึงต้องลบเนื้อหาในส่วนดังกล่าวออกไปในวันเดียวกันนั้นเอง
แต่สุดท้ายเหมือนว่าจะมีการเล่นแง่เลี่ยงบาลีจนมาเก็บที่ 100 บาทจนได้ ซึ่งแทนที่จะเรียกว่า “ค่าเข้างาน” ก็เรียกว่าเป็น "ค่าบริการจัดคิว" ... ซึ่งในวันแรก ๆ ของการจัดงาน มันก็เข้าใจได้ว่าต้องมีระบบจัดคิวดังกล่าวเนื่องจากมีคนสนใจเยอะ แต่กระนั้นก็ได้ยินเสียงบ่นมาหนาหูว่าเจ้าหน้าที่จัดการเรื่องแถวต่าง ๆ ได้วายป่วงมาก
ต่อมาปรากฏว่าสินค้าในงานหมด ... ซึ่งผมขอยังไม่พูดตรงนี้ว่าปัญหาเกิดจากตรงไหน แต่ของมันหมดตั้งแต่ก่อนคริสต์มาส! .. พอในงานไม่มีของจะขาย คนก็ไม่ค่อยมากันสิครับ ยอดจองคิวมันก็ไม่ได้ถล่มทลาย ในงานนี่โล่งมาก คนน้อยสุด ๆ มีคนไป Walk-in แล้วปรากฏว่าพนักงานไปเรียกเก็บเงินเขา 100 บาท เขาก็งงสิว่าในเมื่อไม่มีการต้องจองคิวแล้วจะมาเก็บ "ค่าบริการจัดคิว" ทำไม ... แรก ๆ ก็ยอมจ่ายแบบเสียมิได้ ต่อมาพอมีมาตรการเรียกเก็บเงินแบบนี้หนักขึ้น ๆ ก็มีคนส่งอีเมลไปถึง GES และนี่คืออีเมลตอบกลับที่ยืนยันมาว่าห้ามเก็บเงินจากลูกค้าในกรณีที่ Walk-in
อีเมลนี้ผมนำมาจากทวิตเตอร์ของคุณ Nattacha ซึ่งในย่อหน้าที่ 2 ระบุชัดเจนว่า “ไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับการเข้างาน แต่กระนั้นเราก็มีบริการจองบัตรคิวล่วงหน้าสำหรับกรณีที่ต้องการหลีกเลี่ยงการเข้าแถวรอนานในช่วงเวลาที่มีผู้สนใจเป็นจำนวนมาก โดยสามารถทำการจองบัตรคิวล่วงหน้าได้ทางเว็บไซต์ โดยบัตรคิวดังกล่าวไม่มีค่าใช้จ่าย แต่มีค่าบริการจองคิว 100 บาท ซึ่งเป็นค่าบริการที่ไม่ควรจะเก็บที่หน้างาน”
เวลาผ่านไป อีเมลฉบับนี้ถูกรีทวิตไปเป็นวงกว้าง เลยก่อให้เกิดแถว Walk-in ขึ้นมาโดยปริยายสำหรับคนที่ไม่ได้จอง และต้องการจะเข้าฟรี … แต่เท่าที่ทราบมา คือกลายเป็นว่าพนักงานไม่ยอมปล่อยให้แถว Walk-in นี้เข้าไปในงาน โดยอ้างว่ามีคนจองออนไลน์มาเต็มแล้ว (ทุกคนที่ไปยืนยันว่ารอแล้วรออีกก็ไม่เห็นมีใครมารับบัตรสำหรับพวกจองออนไลน์เลย มีก็นิด ๆ หน่อย ๆ) ... อ้างว่าคนเต็ม ทั้งที่ข้างในนี่โล่งมากจนอดสงสัยไม่ได้ว่าเป็นรอบสำหรับลูกค้าแผนกผีและวิญญาณที่เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่าหรืออย่างไร ... ดูรูปประกอบข้างล่างก็ได้ รูปนี้ผมถ่ายเองจากมุมสูงบนชั้น 2 ของห้างพารากอนในเวลาที่แถว Walk-in ยาวเฟื้อย
ส่วนอันนี้แถว Walk-in ที่ถูกกั้นให้รออยู่ข้างนอก ท้งที่ข้างในว๊างว่าง
คนที่ต่อแถว Walk-in จะถูกจำกัดให้เข้าได้รอบละ 60 คน และจะไม่มีทางถูกปล่อยให้เข้างานจนกระทั่งเวลาสำหรับรอบนั้นผ่านไปแล้ว 30 นาที ... คนที่ทนรอ 30 นาทีไม่ได้หรืออยากเข้าก่อนก็ต้องยอมเข้าไปในเว็บไซต์เพื่อทำการจองและจ่ายจ่ายตังค์ 100 บาท ถึงจะได้เข้า ... คำถามคือในเมื่อข้างในไม่มีคน และไม่มีหลักฐานใด ๆ มายืนยันให้เชื่อได้ว่าคิวออนไลน์นั้นเต็มจริง ๆ เหตุใดพนักงานถึงไม่ปล่อยให้คนที่เข้าแถวรออยู่เข้าไปในงาน การทำแบบนี้ถือว่ามีเจตนาเล่นแง่และบังคับกลาย ๆ ให้เราต้องยอมจ่ายเงิน 100 บาท ใช่หรือไม่?
และนี่คือภาพล่าสุดที่ถ่ายเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แสดงถึงการใช้มาตรการดังกล่าวอย่างจริงจัง เป็นป้ายที่ถูกนำมาตั้งบริเวณหัวแถวก่อนจะเข้าชมงาน
อ่านแล้วอยากจะตั้งคำถามไปยังออแกไนซ์ผู้จัดงานว่ารู้สึกอะไรบ้างไหมตอนที่พิมพ์ว่า “... ร้านค้าที่คับคั่งด้วยสินค้ามากมาย” ทั้งที่ความจริงแทบไม่มีของอะไรจะขาย ... ป้ายนี้อ่านเผิน ๆ แล้วเหมือนว่าคนสนใจงานนี้ถล่มทลายมาก ซึ่งก็ใช่ครับ มันเป็นอย่างนั้นในวันแรก ๆ แต่หลังจากการบริหารจัดการอันดีเลิศที่ทำให้ของหมดเกลี้ยงและไม่สามารถเติมสต็อกได้ในเวลาหลังจากเริ่มงานเพียงแค่ไม่กี่วัน คนเขาก็ไม่อยากจะมากันแล้ว พวกเรามีการสื่อสารผ่านนกฮูกประสิทธิภาพสูงที่เรียกว่าโซเชียลนะครับ เรื่องของหมดนี่รู้กันทั่ว คนเขาไม่ได้อยากจะมาเสียดายเงินและเวลาเพื่อพบกับความผิดหวังกันแล้ว ทางผู้จัดยังจะมาอ้างลอย ๆ เรื่องคนสนใจเยอะเพื่อหาเรื่องเก็บค่าจัดการคิว (ทั้งที่มันไม่มีคิว) อยู่อีกหรือ?
หลายคนอาจมองว่าเราขี้เหนียว จะอะไรนักหนากับเงินแค่ 100 บาท ... ใช่ครับ เงิน 100 บาทมันไม่เยอะหรอก แต่ในเมื่อมันไม่ควรต้องจ่าย จะกี่บาทเราก็ไม่ควรต้องจ่ายทั้งนั้นแหละครับ แล้วคิดดูว่าถ้ามีคนยอมจ่ายวันละแค่ 100 คน ทางออแกไนซ์ก็จะได้ไปฟรี ๆ เป็นหมื่นเลยนะ
นอกจากนี้เมื่อเวลาแต่ละรอบหมดลง (เมื่อคนที่ยอมจ่าย 100 บาท ได้เข้างานเป็นเวลา 1 ชั่วโมง และผู้ที่รอเข้าฟรีได้เข้างานเพียงแค่ 30 นาที หรือน้อยกว่านั้น) ก็มีพนักงานมาประกาศเชิญลูกค้าทุกคนออกจากพื้นที่งานจนหมด ไม่ให้เหลืออยู่แม้แต่คนเดียว .... คำถามครับ มี Pop-Up Store ที่ไหนในโลกบ้างที่จำกัดเวลาเข้าชมและไล่ลูกค้าออกแบบนี้?
ผมมองว่าในทางปฏิบัติแล้ว เงิน 100 บาทไม่ควรเรียกว่าเป็นค่าจัดการคิวเลย แต่ควรเรียกว่าเป็นค่าโง่มากกว่า! ... เป็นเงินที่ผู้จัดงานมองสาวกแฮร์รี่อย่างเราว่าเป็นเหยื่อการตลาดโง่ ๆ ในกำมือที่เขาจะขูดรีดอย่างไรก็ได้ ถ้าอยากเข้าพื้นที่งานแบบเต็มที่ก็ต้องจ่ายให้เขา ถ้าไม่จ่ายก็ยืนรอต่อไป อยากเข้าไปในพื้นที่ก็ส่งแบงค์สีแดง ๆ มา
เพราะฉะนั้นมันก็เป็นเรื่องสำคัญที่สาวกแฮร์รี่อย่างเราจะต้องมาฉุกคิดว่าต่อไปจะยอมเสียค่าโง่นี้ให้กับออแกไนซ์ผู้จัดงานหรือไม่? แล้วที่พนักงานอ้างว่าคิวออนไลน์จองเต็มแล้ว แต่ไม่มีใครมาเลยนั้น มันเต็มจริง ๆ หรือเปล่า มีหลักฐานให้ดูไหม เพราะถ้าไม่มีหลักฐานก็เท่ากับกล่าวอ้างลอย ๆ และกั้นคนไว้นอกงานเพื่อกดดันแกมบังคับให้จ่ายเงินที่พวกเขาไม่ควรจะต้องจ่าย ... เราทุกคนควรจะพร้อมใจกันไม่จองเลยดีไหม? ... แล้วถ้าทางผู้จัดงานไม่สามารถเติมสินค้าให้เต็มอัตราเหมือนวันแรก ๆ ที่จัดงานได้ล่ะก็ คำถามคือมันถึงเวลาหรือยังที่งานนี้ควรจะเปิดให้เข้าฟรีอย่างอิสระ ไม่จำกัดเวลา และเป็น Pop-Up Store ตามเจตนารมณ์ดั้งเดิมอย่างแท้จริง?
มีอีก 2-3 ประเด็น อ่านต่อในคอมเมนต์นะครับ