ในสมัยรัชกาลที่ 5 เรามีหลายๆสิ่งเป็นแห่งแรกในเอเชีย

รู้สึกว่าประเทศเราพัฒนาเร็วก็ช่วงรัชกาลที่ 5

เลยอยากสอบถามว่า    ในช่วงปี พ.ศ หรือ คศ ไหน  หรือ  ยุคใด

ที่ประเทศไทยเริ่มโดนประเทศอื่นๆในทวีปเอเชีย เริ่มขยับเข้าใกล้  จนแซง

เป็นยุคที่การพัฒนาในบ้านเราช้า  ไม่โตแบบเท่าที่ควรจะเป็น

คิดว่าอยู่ในยุคใดครับ   ที่พวกท่านคิดว่าช้าที่สุดละ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
การพัฒนาเริ่มช้าและมีปัญหา ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475

เกิดการแย่งชิงอํานาจและผลประโยชน์  โดยเอาประชาธิปไตยบังหน้า
ความคิดเห็นที่ 18
ผมชอบดูที่ภาพรวมน่ะครับ ปรกติไม่ค่อยตอบ แต่วันนี้ว่าง ผมอาจจะออกความเห็นแปลก ๆ นะครับ

ความเจริญมักมาคู่กับความเป็นเมือง(Urbanization)ทำให้เกิดอุตสาหกรรม (Industry)

ขอโทษฟ้าดิน ก่อนเป็นอย่างแรก สมัย ร.5 จนแม้แต่ 2475 ก็ตาม ประเทศเราไม่มีหัวเมืองใหญ่ ๆ มีแต่กรุงเทพ สาเหตุเพราะขนาดของประเทศเราแม้จะใกล้เคียงกับญี่ปุ่น ไทย 513,115 ตร.กม.ญี่ปุ่น 377,944 ตร.กม

แต่เรามีพื้นที่ที่สามารถอยู่อาศัยได้มากกว่า เพราะเรามีที่ราบเป็นส่วนใหญ่ อาศัยได้ประมาณ 70% ของพื้นที่ แต่ญี่ปุ่นมีภูเขาที่ไม่สามารถอยู่อาศัยได้ถึง 70% ของพื้นที่ ประชากรญี่ปุ่นจึงต้องอยู่แออัดกว่า เพราะทั้งขนาดประเทศเล็กกว่าเรา พื้นที่อยู่อาศัยน้อยกว่าเรา และมักอยู่กันริมชายฝั่งเช่น ฮิโรชิม่า โตเกียว เซ็นได นาโกย่า ฯลฯ ทำให้ญี่ปุ่นซึ่งตอนนั้นก็มีประชากรเยอะมากอยู่แล้ว ต้องอยู่ในพื้นที่คับแคบของเมืองหลัก ๆ พวกนั้น

    แต่กลับทำให้เกิดความเป็นเมืองได้เร็วกว่า ความเป็นเมืองทำให้การบริหารจัดการง่าย เช่น สร้างรถไฟไปยังหัวเมืองไหนก็ได้ประโยชน์คุ้มค่า แต่สมัย ร.5 ถึงจะสร้างรถไฟ แต่หัวเมืองแรกคือโคราช ซึ่งเล็กกว่ากรุงเทพมาก แล้วประชากรโคราชเอง ก็อยู่กันกระจายเพราะพื้นที่เป็นที่ราบ ก็ประสบความขาดทุนเพราะต้องกู้อังกฤษมาสร้างด้วย ผมมองว่าคงเพื่อรักษาหัวเมืองอีสานไว้ แต่ผลกลับจะเป็นการดึงคนต่างจังหวัดเข้าไปในกรุงเทพ(สังเกตจากคนอีสาน เอาส้มตำเข้าไปในกรุงเทพในยุคต่อมา ซึ่งส้มตำนั้นไม่มีในตำราแม่ครัวหัวป่าก์ที่เขียนในสมัย ร.5) มากกว่าการถ่ายโอนกันไปมาแบบรถไฟญี่ปุ่นตอนนั้นเป็นคันโต-คันไซ ถ้ามีโอกาสคนต่างจังหวัดก็เข้าไปเริ่มชีวิตใหม่ที่กรุงเทพ แต่ถ้าญี่ปุ่นเมืองสองเมืองนั้นมีขนาดพอ ๆ กันเป็นการแบ่งปันทรัพยากรของสองเมืองได้ ส่วนโคราชนั้นต้องพึ่งพาทรัพยากรกรุงเทพ
กรุงเทพเองก็ไม่ได้เป็นเมืองใหญ่ เมื่อเทียบกับหัวเมืองญี่ปุ่น เพราะไทยเราอยู่กันกระจัดกระจายไปทั่วภาคกลาง ด้วยมีที่อยู่อาศัยมากถึง 70% ไทยเราเลยขาดทิศทางว่าควรจะไปลงทุนเมืองไหน นอกจากกรุงเทพ (แต่ถ้าเป็นผมน่าจะทำทางรถไฟไปหัวเมืองใต้ จะได้ประโยชน์ด้านเศรษฐกิจมากกว่า แต่ถ้าคำนึงความมั่นคงก็คงเป็นทางอีสาน)

   ร.5 ไม่ได้มีพระราชกรณียกิจมากนักในด้านเศรษฐกิจ มีกรณีเดียวคือตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ แต่ก็เพื่อความมั่นคง มากกว่าด้านการค้า นโยบายทุกอย่างเป็นไปเพื่อ Centralization สู่ศูนย์กลาง แต่มีปัญหาด้านการเงินเป็นเงาตามตัวอยู่ด้วย เพราะจะตามยุโรป ต้องใช้เงิน ร่างกฎหมายต้องจ้างชาวยุโรป สร้างอาคารสถาปัตยกรรมต้องจ้างยุโรป อาวุธของยุโรป สำหรับผมเห็นว่าถ้าไทยสนใจวิศวกรรมยุโรปจะเป็นประโยชน์กว่าการสนใจเรื่องสถาปัตยกรรมหรืออาวุธ ที่น่าแปลกคือเราให้ความสนใจกับเครื่องจักรน้อยมากเมื่อเทียบกับญี่ปุ่น (หมายถึงเครื่องจักรอุตสาหกรรมการผลิต) จริง ๆ แล้วเครื่องจักรควรมาก่อน Structure แต่ไทยลงทุนกับ Structure ก่อนเครื่องจักร เพราะการปฏิวัติอุตสาหกรรมอุตสาหกรรมทอผ้า(เครื่องจักร)มาก่อนมีไฟฟ้าถนน  พอไม่มีอุตสาหกรรมก็ไม่เกิดพวก Capitalist พวกนักลงทุน(มีความสำคัญมากที่ทำให้ชาติอเมริกาเจริญ) พวกนี้เป็นชนชั้นสูง พ่อค้า ไทยขาดเพราะไม่ได้สอนให้คนรวย ชนชั้นสูงรู้จักทำธุรกิจ คนลงทุนคือรัฐบาล

     เราจึงมีฝ่ายที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจน้อย มาตั้งแต่ ร.5 แต่สมัย ร.6 ถึง 7 เราไม่มีทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจที่ถูกต้อง ช่วง ร.6 เราพัฒนา Nationalism ขึ้นมามาก แต่ก็ไม่ได้ช่วยเศรษฐกิจ สมัย ร.7 ต้องเจอวิกฤติเศรษฐกิจทั้งโลกอีก ไทยก็แย่อยู่แล้ว

ต่อมาจึงไม่มีทางหลีกเลี่ยงการปฏิวัติได้ เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น ด้วยปัญหาที่อิรุงตุงนัง ระบบ monarchy เสื่อมความนิยมไปทั้งโลกหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1

พอปฏิวัติเรายังคงเน้น structure ด้วยเชื่อว่าจะช่วยพะยุงเศรษฐกิจได้ดีขึ้น แต่ไม่สามารถสร้างนักธุรกิจหรือนักลงทุนได้ ธุรกิจส่วนมากเป็นธุรกิจอุตสาหกรรมเบา ธุรกิจบันเทิง ไม่สามารถผลิตอุตสาหกรรมหนักอย่างรถยนต์ได้ ความรู้วิศวกรรมอยู่กับชนชั้นสูงที่ลงทุนไม่เป็น (แต่อุตสาหกรรมต้อง start จากปัจจัย 4 คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย นั่นเป็นเหตุให้ทำไมการปฏิวัติอุตสาหกรรมเริ่มจากอุตสาหกรรมทอผ้า แต่ไทยเพิ่งมีโรงงานทอผ้าแห่งแรกเมื่อประมาณ 60 ปีที่ผ่านมา) สมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามเราเพิ่ม Nationalism เข้าไปอีก แต่ไม่ได้มุ่งเน้นเศรษฐกิจ(อีกแล้ว) และลงทุนเป็นแต่ Structure ถนน รถไฟ แต่ไม่ได้สัมพันธ์กับจำนวนสินค้าที่ยังมีระบบอุตสาหกรรมครัวเรือน มาสมัยสฤษดิ์เราเป็นลูกไล่อเมริกาเราได้ประโยชน์จากเมกา เพราะเมกาต้องการสร้างฐานทัพสู้เวียดนาม สมัยสฤษดิ์เราเศรษฐกิจดีขึ้นเมื่อเมกาเอาเม็ดเงินมาที่บ้านเรา แล้วเมกาก็ไม่ได้สนใจกับความเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ของไทย อย่างน้อยเมกาก็ทิ้ง Structure ที่มาสร้างไว้ให้

เรามีเศรษฐกิจเปลี่ยนไปกับการเข้ามาของคนจีน ที่เริ่มเข้ามาทำธุรกิจเมื่อประมาณปี 2468 เริ่มลงทุนจากโรงงานอาหารกระป๋อง แต่อาหารกระป๋องเหมาะกับประเทศที่ต้องกักเก็บตุนอาหารช่วงหน้าหนาวมากกว่า อาหารกระป๋องมีประโยชน์ในยามสงคราม คนจีนเข้ามาทำธุรกิจอุตสาหกรรมหลายประเภทมาก ๆ เริ่มที่จะตั้งตัวได้ช่วงหลังสงครามโลก คนจีนส่งลูกเรียนนอก คนจีนพอมีความรู้ด้านวิศวกรรมกลับลงทุนเป็น คนไทยก็เริ่มจะเอาอย่างบ้าง พอเราเห็นอุตสาหกรรมมีประโยชน์ เมื่อช่วง 60 ปีก่อน ที่มีอุตสาหกรรมทอผ้าหนึ่งในปัจจัยสี่สร้างขึ้น เศรษฐกิจเริ่มขับเคลื่อนได้รวดเร็ว เพราะเรามีนักลงทุนมากขึ้น ส่วนใหญ่เป็นคนจีน ส่วนคนไทยไม่ชอบทำธุรกิจ

ลืมตาอ้าปากได้ ยุคของชาติชายชนะเลือกตั้งเปรมวางมือ จากนั้นโดน รสช.รัฐประหาร ชาติชายกลับมาใหม่กำลังจะได้เป็นอีกรอบตอนร่วมรัฐบาล แต่ตอนหลังเปลี่ยนใจเลือกชวน หลีกภัยแทน แล้วก็ทักษิณมีผลงานเป็น Structure มากมายเพราะเรามีอุตสาหกรรมมากขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่ต้องเน้นเศรษฐกิจ เราอำนวย Structure ให้ก็พอ ทักษิณลงทุนกับโครงสร้างพื้นฐานถูกที่ถูกเวลา แล้วประเทศเราก็กลับไปเน้นความมั่นคงอีกรอบกับการรัฐประหาร สิ่งที่ทหารเก่ง คือ ความมั่นคง แต่ภาคประชาชนนั้นเก่งเศรษฐกิจ รวมถึงชาติชายถึงเป็นทหารแต่ก็เป็นคนจีน

แบบเรียนประวัติศาสตร์ น่าจะให้ความสนใจกับ การเมืองภาคประชาชนบ้าง เพราะเศรษฐกิจเราเปลี่ยนไปเมื่อคนจีนหลายคนมาตั้งบริษัทอุตสาหกรรม แต่ไม่ค่อยมีใครรู้หรือสนใจในทางประวัติศาสตร์ เราเรียนแต่เพียงว่า ไปรษณีย์แห่งแรก โทรเลขแห่งแรก โรงงานไฟฟ้าแห่งแรก ส่วนใหญ่เป็น structure ไม่ใช่ Business เช่น โรงงานอาหารกระป๋องแห่งแรก โรงงานทอผ้าแห่งแรก ไม่ค่อยมีใครพูดถึง

ส่วนที่ลืมบอกคือ เครื่องจักร จะมีได้ต้องมี Business ก่อน คนไทยไม่ค่อยชอบทำ Business ต่างจากจีน ไทยตั้งแต่สมัย ร.5 ก็ไม่ได้สนับสนุนอุตสาหกรรมภาคประชาชนเท่าไหร่

ดังนั้นญี่ปุ่นรุดหน้าเราไปตั้งแต่เขาปฏิวัติสมัยเมจิแล้วครับ มีปัจจัยสนับสนุนทั้งภูมิศาสตร์ ประชากร ทำให้เขามีความเป็นเมือง จนทำให้เกิด Urban ชึ้นหลายแห่ง ความเป็น Urbanization ก่อให้เกิด Business -> Industry + Capitalist + Structure -> Capitalism ทุนนิยม มากับความเจริญ คอมมิวนิสต์จีนก็เจริญได้ด้วยทุนนิยม เราเพิ่งเข้าสู่ความเป็นทุนนิยม ได้ไม่ถึง 80 ปีด้วยซ้ำ
ความคิดเห็นที่ 7
ถ้าดูจากการเพิ่มของเครือยข่ายรางรถไฟจะเห็นชัดครับ     ว่าตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 นี่อัตราการขยายเส้นทางทางรางลดลงแบบฮวบๆเทียบกับยุคก่อนหน้าไม่ได้เลย    จนกระทั่งมาเละเทะแบบปัจจุบัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่