ก่อนอื่นเลย ผมอยากจะให้ถามตัวเองก่อนว่า ตัวเรามี Passion หรือสิ่งที่ชอบอะไร ที่มันจะสามารถดึงเราไปถึงจุดสูงสุดได้ สำหรับผมแล้วการฝึกอะไรสักอย่าง มันต้องผ่านการตอบคำถามตัวเองมาพอสมควร การฝึกภาษาก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ผมผ่านมาได้ค่อนข้างดีในระดับนึง และการมานั่งเขียนกระทู้นี้ไม่ได้เป็นเป็นการแปะป้ายตัวเองว่า “เป็นคนเก่ง”
แต่ผมมาในฐานะคนที่มีพัฒนาการเพิ่มขึ้นมา เพียงแค่เปลี่ยนมุมมองเพียงนิดเดียว
ตามที่ผมได้พูดไปข้างบน อยากให้ทุกคนเริ่มมอง Life Style ของตัวเองก่อน ว่ามีความชื่นชอบอะไรที่เป็นของต่างประเทศบ้าง ยกตัวอย่างจากตัวผมนะครับ ผมชอบ Katy Perry มาก วาดฝันไว้ว่าวันนึงจะต้องได้ไปใกล้ชิดแบบตัวเป็นๆ เพราะผมติดตามอัลบั้มเธอมาโดยตลอด และฟังมาหมดแล้วทุกเพลง ทัวร์ตามดูมาแล้วทุกทัวร์ แต่ผมไม่สามารถที่จะรู้ข่าวสารอะไรเกี่ยวกับเธอได้เลย ข่าวเธอจากต่างประเทศก็อ่านไม่ออก สิ่งที่เธอทวีตลง Twitter ก็อ่านไม่ได้ แล้วผมต้องทำไงล่ะ? ถ้าใช้ภาษาอังกฤษไม่ได้ ก็รับรู้เรื่องราวจากศิลปินที่ผมชอบไม่ได้ เหตุผลนี้เลยดึงผมไปที่จุดเริ่มต้นในการฝึกภาษาอังกฤษ
ผมเริ่มจากการดูหนังโดยการเปิดซับไตเติ้ลคู่ บนเป็นไทย ล่างเป็นอังกฤษ (ผมโหลดมาจากเว็บ Subscene ครับ ในนั้นมีซับไตเติ้ลของหนังทุกเรื่องอยู่) ผมใช้วิธีนี้มาตลอดระยะเวลา 2 ปี น่าจะอยู่ในช่วงราวๆ ม.4 ถึง ม.5... ทำให้ผมสามารถรู้การสนทนาหรือคำพูดเบื้องต้นได้ แต่ไม่สามารถฟังและพูดได้.. แล้วทำไงล่ะทีนี้? ผมค่อยปรับวิธีการ โดยการทำเสียงสองตามในหนังที่ได้ยิน 555.. ไม่หรอกครับ จริงๆแล้วมันคือพูดตามในหนัง หน้าจอคอมตัวเอง กรอไปกรอมา พูดไม่ได้ก็เอาจนได้ เพราะการฝึกพูดตาม มันคือกระบวนการที่เกิดขึ้นหลังการฟัง เพราะคุณได้ฟัง แล้วถึงจะพูด
ฟังดูวิธีดูหนังของผมอาจจะดูน่าเบื่อนะครับ แต่ผมเลือกวิธีที่ผมสามารถทำได้เรื่อยๆ เพราะปกติผมดูหนังเป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้ว แค่เปลี่ยนจากพากย์ไทยเป็นการดูแบบ Original ใช้เปิดซับเอา (ดูหนังแบบภาษาอังกฤษได้อารมณ์กว่าเยอะเลยนะครับ ทั้งน้ำเสียงหรืออารมณ์ในคำพูด ดูเรียลกว่าเสียงที่เอามาถูกพากย์เยอะเลย)
ทุกคนแค่ลองหาสิ่งที่ตัวเองทำเป็นประจำแล้วลองคิดเปลี่ยนมันมาเป็นห้องเรียนเราดู เพราะผมจะไม่แนะนำให้ทุกคนต้องมาดูหนังทั้งวันทั้งคืนแบบผม แต่ผมอยากให้ทุกคนนึกถึงความเหมาะสมของตัวเอง อย่างหลายคนที่ชอบฟังเพลงสากล ถ้าร้องตามได้ ออกเสียงถูกตามนักร้องนี่ก็ถือว่าเก่งในระดับนึงแล้วนะครับ เพราะผมเองก็เคยฝึกภาษาโดยการร้องเพลงตามเหมือนกัน ตอนนั้นผมมี Passion เรื่องการพูด ว่าการพูดอังกฤษได้เร็ว = เท่ 5555 ก็เลยสรรหาเพลงที่ร้องเร็วๆมาร้องตาม ผลคือผมมีสติมากขึ้นด้วยนะ เข้าใจหลักการออกเสียง ควบเสียงมากขึ้น อ่านประโยคยาวๆได้ดีขึ้น ถ้าจำไม่ผิดตอนนั้นร้องเพลง I took a pill in Ibiza ของ Mike Posner, Legendary Lovers ของ Katy Perry, Bad Blood ของ Taylor Swift (ท่อนแร็พ) และอีกหลายๆ เพลง
หลังจากนั้นความประทับใจก็เกิดขึ้น เพราะผมสามารถเข้าใจข่าวสารของศิลปินที่ผมชอบได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็น Instagram, Twitter หรือรายการที่สัมภาษณ์เธอใน Channel Youtube ต่างประเทศ แน่นอนว่าผมไม่อาจเข้าใจทุกอย่างได้ 100% แต่ผมสามารถเข้าใจบริบทโดยรวมของข้อความต่างๆได้เป็นอย่างดี
สิ่งนึงที่ผมอยากจะให้กับทุกคนคือกำลังใจนะครับ อย่าให้สิ่งนี้มันขาดไปในระหว่างการพยายาม เพราะสิ่งที่คุณกำลังฝึกมันคือสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ในอนาคต อย่างน้อยก็การสื่อสารที่จะทำให้คุณสามารถเปิดสังคมได้กว้างขึ้น ยิ่งคนที่ใช้คอมเป็นประจำสร้างห้องเรียนด้วยตัวเองง่ายมากเลยครับ ทุกที่คือแหล่งเรียนรู้ นึกไว้เสมอว่า Passion เราคืออะไร และอย่าหยุดเรียนรู้ เพราะภาษาหรือการสื่อสารมันจะมีสิ่งอัพเดทอยู่ตลอดเวลา นับตั้งแต่จุดเริ่มต้นของผม เป็นระยะเวลา 4 ปี ตอนนี้ผมเขียนบทความภาษาอังกฤษยาวๆได้แล้ว โพสเรื่องราวของตัวเองเป็นภาษาอังกฤษลง Instagram ได้แล้ว คุยกับคนต่างชาติได้แล้ว.. สิ่งพวกนี้ล่ะครับ มันคือของขวัญของความพยายาม
มองภาพตัวเองให้ออกครับ คุณคือคนเดียวที่จะกำหนดความยากง่ายของสิ่งที่จะทำ ทำให้การฝึกภาษาของคุณมันง่าย และไม่น่าเบื่อ
“ในการทำงาน หลายคนอยากเป็นนายตัวเอง ในมุมของการเรียนรู้ คุณก็ควรเป็นครูตัวเองเช่นกัน”
-> อยากเก่งอังกฤษ ก็สร้างห้องเรียนขึ้นมาเองสิครับ
แต่ผมมาในฐานะคนที่มีพัฒนาการเพิ่มขึ้นมา เพียงแค่เปลี่ยนมุมมองเพียงนิดเดียว
ตามที่ผมได้พูดไปข้างบน อยากให้ทุกคนเริ่มมอง Life Style ของตัวเองก่อน ว่ามีความชื่นชอบอะไรที่เป็นของต่างประเทศบ้าง ยกตัวอย่างจากตัวผมนะครับ ผมชอบ Katy Perry มาก วาดฝันไว้ว่าวันนึงจะต้องได้ไปใกล้ชิดแบบตัวเป็นๆ เพราะผมติดตามอัลบั้มเธอมาโดยตลอด และฟังมาหมดแล้วทุกเพลง ทัวร์ตามดูมาแล้วทุกทัวร์ แต่ผมไม่สามารถที่จะรู้ข่าวสารอะไรเกี่ยวกับเธอได้เลย ข่าวเธอจากต่างประเทศก็อ่านไม่ออก สิ่งที่เธอทวีตลง Twitter ก็อ่านไม่ได้ แล้วผมต้องทำไงล่ะ? ถ้าใช้ภาษาอังกฤษไม่ได้ ก็รับรู้เรื่องราวจากศิลปินที่ผมชอบไม่ได้ เหตุผลนี้เลยดึงผมไปที่จุดเริ่มต้นในการฝึกภาษาอังกฤษ
ผมเริ่มจากการดูหนังโดยการเปิดซับไตเติ้ลคู่ บนเป็นไทย ล่างเป็นอังกฤษ (ผมโหลดมาจากเว็บ Subscene ครับ ในนั้นมีซับไตเติ้ลของหนังทุกเรื่องอยู่) ผมใช้วิธีนี้มาตลอดระยะเวลา 2 ปี น่าจะอยู่ในช่วงราวๆ ม.4 ถึง ม.5... ทำให้ผมสามารถรู้การสนทนาหรือคำพูดเบื้องต้นได้ แต่ไม่สามารถฟังและพูดได้.. แล้วทำไงล่ะทีนี้? ผมค่อยปรับวิธีการ โดยการทำเสียงสองตามในหนังที่ได้ยิน 555.. ไม่หรอกครับ จริงๆแล้วมันคือพูดตามในหนัง หน้าจอคอมตัวเอง กรอไปกรอมา พูดไม่ได้ก็เอาจนได้ เพราะการฝึกพูดตาม มันคือกระบวนการที่เกิดขึ้นหลังการฟัง เพราะคุณได้ฟัง แล้วถึงจะพูด
ฟังดูวิธีดูหนังของผมอาจจะดูน่าเบื่อนะครับ แต่ผมเลือกวิธีที่ผมสามารถทำได้เรื่อยๆ เพราะปกติผมดูหนังเป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้ว แค่เปลี่ยนจากพากย์ไทยเป็นการดูแบบ Original ใช้เปิดซับเอา (ดูหนังแบบภาษาอังกฤษได้อารมณ์กว่าเยอะเลยนะครับ ทั้งน้ำเสียงหรืออารมณ์ในคำพูด ดูเรียลกว่าเสียงที่เอามาถูกพากย์เยอะเลย)
ทุกคนแค่ลองหาสิ่งที่ตัวเองทำเป็นประจำแล้วลองคิดเปลี่ยนมันมาเป็นห้องเรียนเราดู เพราะผมจะไม่แนะนำให้ทุกคนต้องมาดูหนังทั้งวันทั้งคืนแบบผม แต่ผมอยากให้ทุกคนนึกถึงความเหมาะสมของตัวเอง อย่างหลายคนที่ชอบฟังเพลงสากล ถ้าร้องตามได้ ออกเสียงถูกตามนักร้องนี่ก็ถือว่าเก่งในระดับนึงแล้วนะครับ เพราะผมเองก็เคยฝึกภาษาโดยการร้องเพลงตามเหมือนกัน ตอนนั้นผมมี Passion เรื่องการพูด ว่าการพูดอังกฤษได้เร็ว = เท่ 5555 ก็เลยสรรหาเพลงที่ร้องเร็วๆมาร้องตาม ผลคือผมมีสติมากขึ้นด้วยนะ เข้าใจหลักการออกเสียง ควบเสียงมากขึ้น อ่านประโยคยาวๆได้ดีขึ้น ถ้าจำไม่ผิดตอนนั้นร้องเพลง I took a pill in Ibiza ของ Mike Posner, Legendary Lovers ของ Katy Perry, Bad Blood ของ Taylor Swift (ท่อนแร็พ) และอีกหลายๆ เพลง
หลังจากนั้นความประทับใจก็เกิดขึ้น เพราะผมสามารถเข้าใจข่าวสารของศิลปินที่ผมชอบได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็น Instagram, Twitter หรือรายการที่สัมภาษณ์เธอใน Channel Youtube ต่างประเทศ แน่นอนว่าผมไม่อาจเข้าใจทุกอย่างได้ 100% แต่ผมสามารถเข้าใจบริบทโดยรวมของข้อความต่างๆได้เป็นอย่างดี
สิ่งนึงที่ผมอยากจะให้กับทุกคนคือกำลังใจนะครับ อย่าให้สิ่งนี้มันขาดไปในระหว่างการพยายาม เพราะสิ่งที่คุณกำลังฝึกมันคือสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ในอนาคต อย่างน้อยก็การสื่อสารที่จะทำให้คุณสามารถเปิดสังคมได้กว้างขึ้น ยิ่งคนที่ใช้คอมเป็นประจำสร้างห้องเรียนด้วยตัวเองง่ายมากเลยครับ ทุกที่คือแหล่งเรียนรู้ นึกไว้เสมอว่า Passion เราคืออะไร และอย่าหยุดเรียนรู้ เพราะภาษาหรือการสื่อสารมันจะมีสิ่งอัพเดทอยู่ตลอดเวลา นับตั้งแต่จุดเริ่มต้นของผม เป็นระยะเวลา 4 ปี ตอนนี้ผมเขียนบทความภาษาอังกฤษยาวๆได้แล้ว โพสเรื่องราวของตัวเองเป็นภาษาอังกฤษลง Instagram ได้แล้ว คุยกับคนต่างชาติได้แล้ว.. สิ่งพวกนี้ล่ะครับ มันคือของขวัญของความพยายาม
มองภาพตัวเองให้ออกครับ คุณคือคนเดียวที่จะกำหนดความยากง่ายของสิ่งที่จะทำ ทำให้การฝึกภาษาของคุณมันง่าย และไม่น่าเบื่อ
“ในการทำงาน หลายคนอยากเป็นนายตัวเอง ในมุมของการเรียนรู้ คุณก็ควรเป็นครูตัวเองเช่นกัน”