ผมโชคดีอยู่อย่างที่ได้มีโอกาสลิ้มรสชาตของชีวิตแบบสองรสสองขั้ว ซึ่งหลายคนอาจจะไม่เคยได้สัมผัส เช่นว่า ตอนเรียนชั้นป.๑-๒ ต้องใช้แผ่นหินชนวนเขียนหนังสือแทนสมุด (หัดเขียนก-ฮ ก็จากแผ่นกระดานชนวน) แต่ปัจจุบันนี้ผมจะหิ้ว iPad หรือเคยกระโดดตัดใบกล้วยมาใช้ห่อของนู่นนี่แต่ตอนนี้ใช้ถุงพลาสติด, เคยถือพร้าเข้าป่าตัดฟืนมาก่อไฟหุงหาอาหาร, ปัจจุนี้แค่กดปุ่มแก๊สไฟก็ติดพรึ่บหุงหาอาหารได้, เคยเข้าป่าตักขี้ยางน้ำมาคลุกกับขุยไม้อ่อนเพื่อทำเชื้อไต้จุดให้แสงสว่างในบ้าน, ตอนนี้แค่กดสวิชก็สว่างจ้า ฯลฯ
อีกไม่ถึงเดือน ก็จะครบรอบวันที่ครึ่งหนึ่งของชีวิตผมเติบโตมาจากสังคมไทยและอีกครึ่งที่เหลือก็ถูกสังคมอังกฤษหล่อหลอม ผมได้เรียนรู้และถูกหล่อหลอมอะไรต่อมิอะไรมากมายจากเบ้าหลอมของ “สองสังคม” ที่ว่านี้ จนบางครั้งก็สับสนและเกิด conflict ในใจ เช่นว่าเมื่อต้องเผชิญปัญหากับเพื่อนร่วมงานหรือเจ้านาย เราจะใช้ปรัชญาชีวิตของสังคมไหนดี “สงบเงียบ” ตามแบบฉบับแบบไทยๆ ? หรือ “ถกเถียง อ้างเหตุผล” เพื่อนำไปสู่ข้อยุติตามแบบฉบับของฝรั่ง? เป็นต้น
คนไทยส่วนใหญ่ได้รับการหล่อหลอมจากวิถีพุทธหรือไม่ก็ปรัชญาตะวันออกอย่าง เต๋า เชน ขงจื้อ ครรลองชีวิตจึงอิงแอบแบบพุทธๆ และประเพณีไทยๆ การไปใช้ชีวิตในซีกโลกตะวันตกไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งการไม่ยอมก้าวออกจากความเคยชินและการยึดถือก็ยิ่งทำให้ยากขึ้นเป็นทวี และอาจจะเป็นดาบสองคมย้อนกลับเชือดเฉือนตัวเอง ตอนผมไปใช้ชีวิตในอังกฤษแรกๆ ผมทำงานโรงงานเล็กๆ แห่งหนึ่งคือล้างกล่องใสเห็ด โรงงานมีสองแผนก แผนกล้างคืองานหนักไม่มีใครอยากทำ อีกแผนกจะง่ายกว่าแค่แกะกล่องใส่เครื่องลำเลียงพานส่งมาให้แผนกล้าง ผมยึดถือคติว่าไม่บ่นให้เจ้านายได้ยิน หัวหน้ามอบหมายให้ทำอะไรก็ตามนั้นไม่ปริปาก ก้มหน้าก้มตาทำแม้จะงานหนัก สักวันหัวหน้าคงเห็นว่าเราเป็นคนขยันทำงานหนัก ไม่บ่น ไม่จู้จี้ ที่ไหนได้! นั่นถูกทำให้เข้าใจผิดว่า ผมกำลังชอบงานที่ผมทำอยู่ ผมจึงจมปลักและเปียกปอนอยู่กับการล้างกล่องเห็ดเพราะการยึดถือค่านิยมที่เคยชิน ทำได้ปีครึ่งผมก็ตัดสินใจลาออกเพราะไม่ไหว ตอนแรกก็ได้แต่โทษหัวหน้าฝรั่งว่าไม่เห็นความดีที่เราก้มหน้าก้มตาทำงาน ไม่บ่น ไม่จู้จี้เลย ต่อมาจึงได้เรียนรู้ที่จะหันกลับมาโทษตัวเองว่าการเงียบไม่ปริปากบ่นนั่นแหละคือตัวปัญหา และเริ่มเรียนรู้ที่จะกล้าพูด กล้าบ่นกล้าโต้แย้ง กล้าต่อรองขึ้นมาบ้าง
ความจริง ปรากฏการณ์และตัวอย่างการทำงานในโรงงานที่ผมอ้างไว้ข้างบนนั้นไม่จำเป็นต้องเกิดเฉพาะคนไทยที่อยู่ต่างประเทศ ตอนนี้มันสามารถเกิดขึ้นได้ที่เมืองไทยเช่นกัน และอาจจะซับซ้อนมากกว่าที่ต่างประเทศด้วยซ้ำ วัฒนธรรมจากซีกโลกตะวันตกไหลทะลักเข้าไทยมาอย่างต่อเนื่องในหลายสิบปีทีผ่านมา การปรับตัวของกลุ่มคนระดับ “บริหาร” ไม่น่าจะมีปัญหา (เพราะส่วนใหญ่จะไดัรับการศึกษาและอิทธิพลทางวัฒนธรรมมาก่อนแล้ว) หากแต่การปรับของกลุ่มคนระดับแรงงานอาจจะมีปัญหาและสับสนว่ากองไฟในเบ้าหลอมไหนร้อนกว่ากัน?
คำว่า “ผู้ดีอังกฤษ” คือหลักฐานอันหนึ่งที่ชี้ให้เราได้รับรู้ว่าสังคมไทยมี “สองเบ้าหลอม” มานานแล้ว หลายท่านอาจจะเข้าใจว่าคำว่า “ผู้ดีอังกฤษ” หมายถึงคนอังกฤษ หากแต่ความเป็นจริงแล้ว มันเป็นพหุนามที่ใช้เรียกคนไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณที่รับเอาวัฒนธรรมผู้ดีอังกฤษมาใช้ เริ่มจากภายในราชสำนักก่อน แล้วค่อยๆ แพร่ออกมาสู่ชนชั้นล่างหลังปี 2475 เป็นต้นมา ยิ่งในสมัยจอมพลป. ก็ยิ่งเด่นชัด และบางทีเราเองก็ไม่ได้เฉลียวใจด้วยซ้ำว่าพฤติกรรมและความคิดบางอย่างของเรานั้นมาจากเบ้าหลอมที่ไม่ใช้เบ้าหลอมดั้งเดิมของเรา เช่นการรัปประทานข้าวด้วยช้อนและซ่อม หรือแม้กระทั่งการพูดที่ได้ยินกันชินหูเช่น ออกจากบ้านอย่าลืม
ล็อคประตูนะ จะเห็นว่าแตกต่างกับ “ออกจากบ้านอย่าลืม
ลั่นดาลประตูบ้านนะ” ซึ่งเป็นประโยคที่ค่อยๆ จางจากหูเรา หรือแทบจะไม่เคยได้ยินเอาเสียเลย วันหยุดเสาร์อาทิตย์ก็เป็นอิทธิพลจากอีกเบ้าหลอม แตกต่างจากอีกเบ้าหลอมหนึ่งที่ยึดเอาวันขึ้นและแรม ๘ และ ๑๕ ค่ำ เป็นวันหยุด
เฮ้อ ! พรุ่งนี้ก็ “วันจันทร์” แล้วต้องกลับไปทำงาน....ไม่ใช่สิ! ต้องพูดใหม่ว่า
พรุ่งนี้ก็วันแรม ๗ ค่ำแล้วต้องไปทำงาน
….หนึ่งสังคมสองเบ้าหลอม..../วัชรานนท์
อีกไม่ถึงเดือน ก็จะครบรอบวันที่ครึ่งหนึ่งของชีวิตผมเติบโตมาจากสังคมไทยและอีกครึ่งที่เหลือก็ถูกสังคมอังกฤษหล่อหลอม ผมได้เรียนรู้และถูกหล่อหลอมอะไรต่อมิอะไรมากมายจากเบ้าหลอมของ “สองสังคม” ที่ว่านี้ จนบางครั้งก็สับสนและเกิด conflict ในใจ เช่นว่าเมื่อต้องเผชิญปัญหากับเพื่อนร่วมงานหรือเจ้านาย เราจะใช้ปรัชญาชีวิตของสังคมไหนดี “สงบเงียบ” ตามแบบฉบับแบบไทยๆ ? หรือ “ถกเถียง อ้างเหตุผล” เพื่อนำไปสู่ข้อยุติตามแบบฉบับของฝรั่ง? เป็นต้น
คนไทยส่วนใหญ่ได้รับการหล่อหลอมจากวิถีพุทธหรือไม่ก็ปรัชญาตะวันออกอย่าง เต๋า เชน ขงจื้อ ครรลองชีวิตจึงอิงแอบแบบพุทธๆ และประเพณีไทยๆ การไปใช้ชีวิตในซีกโลกตะวันตกไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งการไม่ยอมก้าวออกจากความเคยชินและการยึดถือก็ยิ่งทำให้ยากขึ้นเป็นทวี และอาจจะเป็นดาบสองคมย้อนกลับเชือดเฉือนตัวเอง ตอนผมไปใช้ชีวิตในอังกฤษแรกๆ ผมทำงานโรงงานเล็กๆ แห่งหนึ่งคือล้างกล่องใสเห็ด โรงงานมีสองแผนก แผนกล้างคืองานหนักไม่มีใครอยากทำ อีกแผนกจะง่ายกว่าแค่แกะกล่องใส่เครื่องลำเลียงพานส่งมาให้แผนกล้าง ผมยึดถือคติว่าไม่บ่นให้เจ้านายได้ยิน หัวหน้ามอบหมายให้ทำอะไรก็ตามนั้นไม่ปริปาก ก้มหน้าก้มตาทำแม้จะงานหนัก สักวันหัวหน้าคงเห็นว่าเราเป็นคนขยันทำงานหนัก ไม่บ่น ไม่จู้จี้ ที่ไหนได้! นั่นถูกทำให้เข้าใจผิดว่า ผมกำลังชอบงานที่ผมทำอยู่ ผมจึงจมปลักและเปียกปอนอยู่กับการล้างกล่องเห็ดเพราะการยึดถือค่านิยมที่เคยชิน ทำได้ปีครึ่งผมก็ตัดสินใจลาออกเพราะไม่ไหว ตอนแรกก็ได้แต่โทษหัวหน้าฝรั่งว่าไม่เห็นความดีที่เราก้มหน้าก้มตาทำงาน ไม่บ่น ไม่จู้จี้เลย ต่อมาจึงได้เรียนรู้ที่จะหันกลับมาโทษตัวเองว่าการเงียบไม่ปริปากบ่นนั่นแหละคือตัวปัญหา และเริ่มเรียนรู้ที่จะกล้าพูด กล้าบ่นกล้าโต้แย้ง กล้าต่อรองขึ้นมาบ้าง
ความจริง ปรากฏการณ์และตัวอย่างการทำงานในโรงงานที่ผมอ้างไว้ข้างบนนั้นไม่จำเป็นต้องเกิดเฉพาะคนไทยที่อยู่ต่างประเทศ ตอนนี้มันสามารถเกิดขึ้นได้ที่เมืองไทยเช่นกัน และอาจจะซับซ้อนมากกว่าที่ต่างประเทศด้วยซ้ำ วัฒนธรรมจากซีกโลกตะวันตกไหลทะลักเข้าไทยมาอย่างต่อเนื่องในหลายสิบปีทีผ่านมา การปรับตัวของกลุ่มคนระดับ “บริหาร” ไม่น่าจะมีปัญหา (เพราะส่วนใหญ่จะไดัรับการศึกษาและอิทธิพลทางวัฒนธรรมมาก่อนแล้ว) หากแต่การปรับของกลุ่มคนระดับแรงงานอาจจะมีปัญหาและสับสนว่ากองไฟในเบ้าหลอมไหนร้อนกว่ากัน?
คำว่า “ผู้ดีอังกฤษ” คือหลักฐานอันหนึ่งที่ชี้ให้เราได้รับรู้ว่าสังคมไทยมี “สองเบ้าหลอม” มานานแล้ว หลายท่านอาจจะเข้าใจว่าคำว่า “ผู้ดีอังกฤษ” หมายถึงคนอังกฤษ หากแต่ความเป็นจริงแล้ว มันเป็นพหุนามที่ใช้เรียกคนไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณที่รับเอาวัฒนธรรมผู้ดีอังกฤษมาใช้ เริ่มจากภายในราชสำนักก่อน แล้วค่อยๆ แพร่ออกมาสู่ชนชั้นล่างหลังปี 2475 เป็นต้นมา ยิ่งในสมัยจอมพลป. ก็ยิ่งเด่นชัด และบางทีเราเองก็ไม่ได้เฉลียวใจด้วยซ้ำว่าพฤติกรรมและความคิดบางอย่างของเรานั้นมาจากเบ้าหลอมที่ไม่ใช้เบ้าหลอมดั้งเดิมของเรา เช่นการรัปประทานข้าวด้วยช้อนและซ่อม หรือแม้กระทั่งการพูดที่ได้ยินกันชินหูเช่น ออกจากบ้านอย่าลืมล็อคประตูนะ จะเห็นว่าแตกต่างกับ “ออกจากบ้านอย่าลืมลั่นดาลประตูบ้านนะ” ซึ่งเป็นประโยคที่ค่อยๆ จางจากหูเรา หรือแทบจะไม่เคยได้ยินเอาเสียเลย วันหยุดเสาร์อาทิตย์ก็เป็นอิทธิพลจากอีกเบ้าหลอม แตกต่างจากอีกเบ้าหลอมหนึ่งที่ยึดเอาวันขึ้นและแรม ๘ และ ๑๕ ค่ำ เป็นวันหยุด
เฮ้อ ! พรุ่งนี้ก็ “วันจันทร์” แล้วต้องกลับไปทำงาน....ไม่ใช่สิ! ต้องพูดใหม่ว่า พรุ่งนี้ก็วันแรม ๗ ค่ำแล้วต้องไปทำงาน