แชร์ประสบการณ์ มีสโตกเกอร์ (โรคจิต) ตามถึงห้อง ณ ประเทศญี่ปุ่น

จากข่าวที่Youtuberชื่อดังของญี่ปุ่น (Hajime shacho)โดนสโตกเกอร์ตาม เมื่อวันอาทิตย์ก่อนเราเลยอยากจะนำเสนอกันว่าความน่ากลัวของสโตกเกอร์ญี่ปุ่นมันน่ากลัวเพียงใด เรื่องที่เกิดขึ้นนี้เกินขึ้นมาได้ 3-4 ปีแล้ว ที่เราเรียนอยู่ที่ญี่ปุ่น แต่เพิ่งคิดจะเอามาลง อยากจะให้น้องๆ ที่กำลังเรียนต่อเมืองนอกระวังตัวกันไว้ด้วยค่ะ

เราเชื่อว่าหลายๆ คน คงจะได้ยินคำๆ นี้มาจากอนิเมะบ้าง การ์ตูนบ้าง หรือตามหนังเกาหลี ญี่ปุ่น หรือคิดว่าสโตกเกอร์คือคนที่คลั่งใคล้ใครสักคนมากๆ จนถึงขั้นสะกดรอยตาม หรือมอบให้ของขวัญกับคนที่ชอบ หากใครที่ชอบพวกดารามากๆ ก็จะทุ่มทุนพร้อมเปย์แบบไม่อั้น เอาจริงๆ เราก็เคยเข้าใจแบบนั้นเหมือนกัน จนกระทั้งได้มีบุญ ?!? มีสโตกเกอร์กับชาวบ้านเขาเหมือนกัน จึงได้เข้าใจความรู้สึกของคนที่มีสโตกเกอร์ตามว่ามันโคดน่ากลัว ไม่ใช่แค่น่ากลัวธรรมดา แต่มันถึงขั้นหลอกหลอนไปเป็นเดือนๆ เลยทีเดียว


ครั้งแรกที่เรารู้สึกตัวถึงคำว่ามีสโตกเกอร์คือ วันที่มีจดหมาย จ่าหน้าซองถึงเราด้วยลายลืมห่วยๆ เขียนชื่อเล่นเราเป็นภาษาอังกฤษ ติดสแตมป์ 82 เยน พอเปิดอ่านเท่านั้นแหละ เจอลายมือที่เขียนด้วยภาษาญี่ปุ่นแบบง่ายๆ ว่า 会いたい会いましょう แปลเป็นไทยแบบง่ายๆ คือ อยากเจอ มาเจอกันเถอะ (ความจริงมันมีมากกว่านี้ แต่ด้วยที่อ่านลายมือไม่ออก อ่านออกแค่นั้น เลยจำได้แค่นี้) ด้วยความที่ตอนนั้นเป็นต่างด้าวเพิ่งมาญี่ปุ่นได้แค่ 2 ปีก็ยังงงๆ อ่านญี่ปุ่น+คันจิไม่ออกและยังเป็นต่างด้าวโลกสวยว่าญี่ปุ่นนั้นปลอดภัย จึงยังไม่เก็ทว่านี่คือภัยคุกคามอันแรกที่กำลังเผชิญ จึงได้ทิ้งจดหมายฉบับนั้นไป แถมบ้างฉบับ เขียนเป็นภาษาอังกฤษ ที่เราอ่านไม่เข้าใจ ผิดแกรมม่า คำศัพท์ที่ไม่มีความหมาย หรืออังกฤษคำ ญี่ปุ่นคำ สรุปคือ อ่านไม่เข้าใจ และนี่คือการเริ่มต้นความหลอนขั้นแรก


หลังจากนั้นนี่คือ มีเบอร์แปลกๆ โทรเข้ามาทั้ง เช้าสายบ่ายเย็นและก่อนนอน ตอนแรกก็รับนะ แต่ก็เป็นเสียงผู้ชายคุยกลับมาขอสายเรา แล้วก็คุยประมาณว่าวันนี้ว่างไหม เจอกันได้ไหม ? ถ้าเราตอบไปว่าวันนี้ไม่ว่าง พี่แกก็จะถามไปอีกแล้ว พรุ่งนี้ล่ะว่างไหม มะรืนล่ะว่างไหม เสาร์อาทิตย์หน้าว่างไหม ? โทรมาถามแบบนี้ เช้าสายบ่ายเย็นและก่อนนอน จนเราต้องบล็อกเบอร์ทิ้งไปเลย พอคิดว่าแค่บล็อกแล้วเรื่องจะจบ พี่สโตกเกอร์ของเราก็ใช้เบอร์อื่นโทรตามมาจ้า และด้วยการแอดไลน์ ส่งสติ๊กเกอร์มาบ้าง หรือไม่ก็ถามว่าว่างไหม ? จนตอนแรกที่ตอบ จนเลิกตอบ และกลายเป็นการบล็อกไปเลย หลังจากที่บล็อกการติดต่อทางมือถือและโซเชี่ยว ความหลอนขั้นที่ระยะที่ 2 ก็จบลงที่การบล็อก


พี่แกก็เริ่มส่งจดหมายมาให้เราอีกครั้ง ส่งมาเรื่อยๆ จนบุรุษไปรษณีย์จำห้องเราได้ แถมจำชื่อเล่นเราได้อีก ถึงขั้นวันหนึ่งได้มีโอกาสเจอกับบุรุษไปรษณีย์พูดกับเราว่า มันส่งเยอะจนผิดปรกตินะ มีไรผิดปรกติไหม ? มีสโตกเกอร์หรือป่าว ?? และนี่คือครั้งแรกที่รู้สึกตัวเองว่าเห้ย หรือนี่คือสโตกเกอร์จริงๆว่ะ เราจึงเริ่มปฏิเสธที่จะรับจดหมาย และวันนั้นคือวันแรกที่บอกบุรุษไปรณีย์ว่าจดหมายฉบับนี้ส่งมาจากทางไหน ให้ส่งกลับไปทางนั้นเลย และก้ไม่ได้จดหมายมาประมาณอาทิตย์ สองอาทิตย์ ความหลอนระยะ 3 จึงจบลงตรงที่ลุงบุรุษไปรษณีย์ตีจดหมายกลับ


มาเริ่มความหลอนระยะที่ 4 คือมีจดหมายอีกทีคือ จดหมายที่มาอยู่ในตู้จดหมายแบบไม่ได้ติดสแตมป์ อยากจะร้องกรี๊ดดังๆๆ ตอนนั้นว่า Hereeeeee เพราะมันหมายถึงคุณพี่สโตกเกอร์แกมาส่งจดหมายด้วนตัวเองถึงห้องเราเลยนะเฟ้ย ไม่ผ่านลุงบุรุษไปรษณีย์แล้วด้วย ตอนนั้นคือความหลอนขั้นที่ 4 และคิดในใจว่าพีคสุดๆ แล้ว นั้นหมายถึงสโตกเกอร์รู้จักบ้านเราและมาห้องเราแล้วด้วยนะเฟ้ย ?? หรือมันมาหลายครั้งแล้วแต่เราไม่รู้ตัวว่ะ ?


ความหลอนขั้นพีคสุด อันนี้คือขั้นที่สุดท้ายที่เราได้แจ้งความเหมือนที่ฮาจิเมะคนในคลิปทำ Feeling ณ ตอนนั้นยังคงจำได้ดีจริงๆ วันนั้นเราจำได้ว่าตัวเองตั้งแต่จะอ่านหนังสือสอบซะหน่อย แต่อ่านไปแค่แปปเดียวเท่านั้นแหละ ก็ได้ยินเสียงปิ๊งป่อง คนกดอ๊อดอยู่หน้าบ้าน ด้วยความที่ห้องของเรามันมี จอมอนิเตอร์เวลามีคนมากดออดจะเห็นหน้าคนที่มากดได้ สิ่งที่ตอนนั้นเราเห็นคือ หน้าของผู้ชายที่เรียนอยู่ที่มหาลัยเดียวกัน แต่คนละคณะและคนละชั้นปี เคยคุยกันประมาณ 2-3 ครั้ง คือคุยกันเรื่องทั่วไป เช่นเรามาเรียนอะไร มาจากประเทศอะไร ภาษาญี่ปุ่นเก่งจัง (ซึ่งมันเป็นมารยาทการชมสไตล์คนญี่ปุ่น) แค่นี้เองจริงๆ แล้วทีเหลือที่เจอคือ บังเอิญเจอตามมหาลัยแล้วก็ทักทาย สวัสดีตามปรกติ พี่แกมาอยู่หน้าห้อง จังหวะนั้นเราตัวแข็งแบบ ไม่รู้จะทำอะไรดี จากปิ๊งป๋องเดียว ก็เริ่มกลายเป็นเป็นการกดออดรัวๆ ถี่ขึ้น ถี่ขึ้น และจบลงด้วยการที่พี่แกพยายามที่จะเปิดประตูห้องเรา เพราะว่าเราเห็นว่าพี่แกเริ่มวุ่นวายกับประตูผ่านจอมอนิเตอร์ บวกกับ ได้ยินเสียงลูกบิดประตูที่ถูกหมุน แต่หมุนไม่ออกดัง แก๊กๆ อยู่ด้านล่าง โชคดีว่าห้องที่อยู่ตอนนั้นประตูหนาพอที่จะทำให้สโตกเกอร์พังเข้ามาไม่ได้ สโตกเกอร์คนนั้นจึงกลับไป และเราก็ผ่านพ้นความหลอนในคืนนั้นแบบงงๆ จังหวะนั้นคือ เราทำได้อย่างเดียวคือ ยืนตัวแข็ง และไลน์หาเพื่อนที่จำได้ว่าตอนนั้นมันกำลังเข้าสปาอยู่ที่ฮาราจุกุ  ว่า "ช่วย GUด้วย" และคืนนั้นทั้งคืนคือ ไม่กล้าแม้แต่จะออกจากบ้านเลย จำได้ว่าคืนนั้นนั่งต้มม่ามาจากไทยกิน

พอรุ่งขึ้นเราได้ไปขอคำปรึกษาจากรุ่นพี่คนไทยซึ่งมีอยู่น้อยนิดในมหาลัย พร้อมกับคำชมว่าหน้าตาอย่างนี้ก็มีสโตกเกอร์ว่ะ คิดว่าจะมีแต่พวกหน้าตาดีโดนตามอย่างเดียวเสียอีก - -" และขอคำปรึกษาจากเพจนักเรียนไทยในญี่ปุ่นเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงทำให้ตัดสินใจว่าเราควรแจ้งความ

เราจึงได้ไปแจ้งความกับป้อมตำรวจใกล้ๆ บ้าน คุณตำรวจก็น่ารัก ถามซะละเอียดเลย ว่าเกิดอะไรขึ้น เกิดมานานหรือยัง แล้วที่ว่ามีจดหมายนี่ มีหลักฐานเอามาให้ตำรวจไหม ? บอกแล้วว่าเราโลกสวยได้มาก็ทิ้งหมด เพราะรู้สึกขยะแขยะ หลังๆ เริ่มไม่คิดจะเปิดอ่านเลย ถึงเปิดอ่านก็อ่านไม่ออก55+ ดังนั้นใครที่มีบุญเจอสโตกเกอร์จงเก็บทุกอย่างไว้ให้เป็นหลักฐานซะ

แต่ด้วยความที่เรายังไม่ได้โดนทำอะไร (ในข่วญี่ปุ่นคือ พี่แกเจอสโตกเกอร์อยู่ในบ้าน) บ้านก็ยังไม่ได้เข้า ข้าวของก็ไม่ได้มีอะไรหาย ? หรือหายแต่ไม่รู้ตัว ? ไม่รู้แหะ พี่ตำรวจเลยรับปากว่าเดี๋ยวจะหมั่นไปตรวจบริเวณรอบๆ บ้านให้บ่อยๆ นะ ช่วงนั้นก็เจอพี่ตำรวจปั่นจักรยาน ผ่านหน้าห้องอยู่บ่อยๆ จริงๆ แถมความซวยอีกเรื่องของเราคือ แอดรู้จักหน้าสโตกเกอร์แต่ดันจำชื่อไม่ได้
รู้แค่ว่าเป็นเด็กในมหาลัยนี่แหละ แล้วคุณตำรวจก็แนะนำว่าให้เปลี่ยนเส้นทางการกลับบ้าน เพราะปรกติเราจะกลับบ้านโดยการเดินทางลัด ซึ่งมันจะเป็นซอยเปลี่ยวๆ หน่อยแต่เป็นทางตรง คุณตำรวจก็แนะว่าช่วงนี้ก็ให้เปลี่ยนเส้นทาง ให้แต่ละวันใช้เส้นทางกลับบ้านให้ต่างกัน ก็เดินอ้อมบ้าง เดินแวะซุปเปอร์บ้าง เซเว่นบ้าง ให้เป็นหลักฐานให้กล้องวงจรปิดสามารถจับภาพเราได้ จากที่เดินถึงบ้าน 10 นาที ก็เดินนานถึงเป็น 20 นาที 30 นาทีเลย และนั้นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เราริเริ่มการย้ายบ้านครั้งที่ 3 ค่ะ


ส่วนใครที่สงสัยว่า แล้วเราเคยเจอสโตกเกอร์ และคุยกันทำไมเราต้องขอแจ้งตรงนี้เลยว่า อย่างที่แจ้งไปช่วงแรกๆ คือตอนนั้นเรายังเป็นต่างด้าวโลกสวยอยู่ในทุ่งดอกลาเวนเดอร์ ไม่เข้าใจคำว่าสโตกเกอร์ที่แท้จริง เข้าใจว่าสโตกเกอร์คือกลุ่มคนที่บ้าดารา นักร้อง อย่างบ้าคลั่ง หรือคนที่ตามพวกหน้าตาดี แต่เราไม่ใช่ไง แถมครั้งแรกที่เจอพี่แกเข้ามาทักเราก่อนด้วยซ้ำ คงเพราะเห็นว่าเราเป็นต่างด้าวคนเดียวในห้องหรือป่าว ? ไอ้เราก็ต่างด้าวอัธยาศัยดี ใครทักมาเราทักตอบ ยิ้มมายิ้มตอบสไตล์คนไทย ที่พีคคือหลังจากที่พี่สโตกเกอร์เข้ามาทักทายเราเสร็จแล้วเดินจากไป ก็มีเพื่อนคนญี่ปุ่นอีกคนเดินเข้ามาคุยกับเราประมาณว่า เออไอ้คนนั้นอ่ะ มันおかしいนะ (แปลก) อย่าไปยุ่งกับเขาเลย หรือถ้าเขามาขอเบอร์หรือไลน์อย่าให้ไปนะ ซึ่งเราเองก็จำได้ว่าเราไม่เคยให้เบอร์โทร หรือไลน์ไปเหมือนกัน ซึ่งเราก็ยังไม่เข้าใจว่าพี่แกเอาเบอร์เรามาจากไหน ที่พีคสุดคือ พี่สโตกเกอร์มาบ้านเราถูกได้ไง ???? มันก็ยังคงเป็นปริศนาที่ถูกแก้ไขไม่ได้จนทุกวันนี้ ?

จากสมมุติฐานส่วนตัวเราเชื่อว่าพี่สโตกเกอร์คนนั้นน่าจะแอบดูข้อมูลส่วนตัวของเรา  ตอนที่เราไปห้องสมุดของมหาลัย แล้วทิ้งกระเป๋าไว้บนโต๊ะ โดยที่ไม่ใช่ใครเฝ้าโต๊ะ ก็ไปคนเดียวอ่ะนะ แล้วตอนนั้นกำลังเขียนใบสมัครงานพิเศษอยู่ ที่เขียนข้อมูลส่วนตัวของเราไว้ เพราะตอนที่เราเดินกลับมาที่โต๊ะเราเจอสโตกเกอร์นั่งอยู่บนโต๊ะตัวนั้น ไอ้เราก็งงๆ คิดเอ๊ะใจอยู่ แต่ไม่คิดว่าเรื่องมันจะลุกลามได้น่ากลัวแบบนี้


แต่หลังจากที่เราย้ายบ้าน เปลี่ยนเบอร์มือถือ พี่สโตกเกอร์ของเราก็หายไป แต่สิ่งที่หลงเหลือคือความหลอนของเราเอง ช่วงนั้นเราไม่กล้าแม้แต่รับสายโทรศัพทื์เบอร์แปลกๆ เพราะช่วงนั้นเราได้สมัครงานพิเศษไว้หลายที่ การที่รับแต่ละครั้งคืออาการหวาดผวา รวมถึงอาการผวา หลอน เวลามีเสียงกดออด ถ้าใครกดออดแล้วไม่โชว์หน้าเข้ามอนอเตอร์เราไม่รับ ไม่เปิด ไม่ส่งเสียง บ้างครั้งเป็นบุรุษไปรษณีย์ เรายอดเสียเวลาอีก 1 วัน เพื่อรับของจากไปรษณีย์เลยทีเดียว

และอีกหนึ่งสมมุติฐานจากเพื่อนๆ พี่ๆ ที่รู้จัก สาเหตุที่ทำให้ครั้งหนึ่งเรามีสโตกเกอร์เป็นของตัวเองคือ ด้วยความที่มหาลัยที่เราเรียนเป็นมหาลัย70-80% ของนักศึกษาเป็นผู้ชาย ส่วนผู้หญิงคือกลุ่มน้อย เขาเลยเข้ามาทักเราหรือป่าว ? พอเราทักตอบไป 2-3 ครั้ง เลยมโนไปเองว่าเราก็มีใจตรงกันอะไรประมาณนี้หรือป่าว? แต่ก็เป็นหนึ่งในสมมุติฐานที่เรากับเพื่อนช่วยกันคิด ที่อาจจะเป็นไปได้หรือไม่ได้ก็ได้

ดังนั้นเวลาเราเห็นข่าวสโตกเกอร์ หรืออ่านการ์ตูนที่เกี่ยวกับสโตกเกอร์เราเข้าใจดีเลยว่า มันไม่ใช่เรื่องสนุก มันหลอน มันน่ากลัวมากๆ แต่ให้คนที่ีเป็นสโตกเกอร์เป็นผู้หญิง แล้วเราเป็นผู้ชาย แต่การที่จู่ๆ คนแปลกหน้าเข้ามาแบบแปลกๆ จู่ๆ ก็โผ่ลเข้ามาในบ้าน หรือเข้ามาบอกว่าอยากเจอ คิดถึง มาถามว่าว่างไหม มาเจอกันหน่อย มันรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยในชีวิตมากๆ เลย

โชคดีของเราตรงที่พอเราย้ายบ้าน เรื่องก็จบ แต่ถ้าสโตกเกอร์คนไหนที่บ้าคลั่งอย่างรุนแรงอย่างเคสของฮาจิเมะ(คนในคลิป) คลิปก่อนที่จะมีข่าว เจ้าตัวเองก็พอรู้ตัวอยู่ว่ามีสโตกเกอร์คอยตาม ทำให้เจ้าตัวต้องย้ายบ้านหนีเหมือนกัน แต่ครั้งล่าสุดคือ สโตกเกอร์เล่นเข้าไปในบ้านเลยไง ถึงได้เป็นข่าวออกมา ถ้าเจอแบบคนไม่รู้จักอยู่ในบ้าน เราไม่มีทางรู้เลยว่า สโตกเกอร์จะทำอะไรเรามากไปกว่านี้ ? อย่างฮาจิเมะในคลิปช่อง YOUTUBE ของฮาจิเมะเขาบอกไว้ละเอียดกว่าในข่าวว่า หลังจากที่ฮาจิเมะเจอผู้หญิงอยู่ในบ้าน เขาก็ขอร้องให้ผู้หญิงคนนั้นออกไปซึ่งผู้หญิงคนนั้นก็ทำตามโดยดี ฮาจิเมะจึงโทรแจ้งตำรวจ แต่ถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่ยอมออกไป แล้วเกิดบ้าเอามีดแทงตายขึ้นมา โอ้ยย ไม่อยากจะคิด - -"

อ่านข่าวเรื่องนี้แล้วอาการหลอกหลอน มันหวนคืนมาเป็นความทรงจำในญี่ปุ่นที่ไม่อยากจะนึกถึงเลยจริงๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่