(โพสต์นี้ใช้ทับศัพท์ตามภาษาฝรั่งเศสนะครับ)
M'Zab เป็นหุบเขากลางทะเลทรายซาฮาร่าที่เกิดจากแม่น้ำชื่อเดียวกัน เรียงรายด้วย ๕ เมืองที่ได้รับสถานะมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก้ ได้แก่ Ghardaïa (เมืองหลัก), Melika, Béni-Isguen, Bou-Noura และ El-Ateuf แต่ละเมืองมีแผนผังคล้ายกันคือ ยอดบนสุดเป็นสุเหร่า แล้วมีบ้านเรือนลดหลั่นรายรอบเป็นเขาวงกต และจบด้วยป้อมปราการที่ล้อมรอบตัวเมืองไว้ ทั้งเมืองเป็นโทนสีน้ำตาลอ่อนจนถึงน้ำตาลแดง เป็นสถาปัตยกรรมที่อาจดูเรียบง่าย แต่ทว่าแฝงด้วยหลักปรัชญาของศาสนาอิสลามอันลึกซึ้ง



ก่อนอื่นต้องท้าวความถึงประวัติศาสตร์และนิกายของศาสนาอิสลามอย่างคร่าว ๆ กันก่อนครับ
ทุกคนคงเคยได้ยินนิกายหลักของอิสาม ๒ นิกาย ได้แก่ ซุนหนี่ (le sunnisme) และ ชีอะห์ (le chiisme) มาแล้วซึ่งเป็นนิกายที่เกิดขึ้นหลังสิ้นพระศาสดามูฮัมหมัดและเกิดการแก่งแย่งอำนาจเพื่อขึ้นเป็นผู้นำทางศาสนา (คาลิฟ) จนชาวมุสลิมแบ่งออกเป็น ๒ นิกายข้างต้น ทีนี้ มีอีกนิกายหนึ่งที่แตกโดดออกมาจาก ๒ นิกาย เรียกว่า นิกายอิบาดี (l'ibadisme)
นิกายนี้นับถือแค่คาลิฟ ๒ คนแรกเท่านั้น ยึดถือคัมภีร์อัลกุรอานเป็นอันดับแรก ไม่ใช่ผู้นำทางศาสนาที่มักนักถือศาสนาแต่ในนามและแสวงหาประโยชน์ให้ตนเอง เป็นนิกายที่ยึดมั่นความเท่าเทียมกันระหว่างชาวมุสลิมทุกคนแม้ว่าจะเป็นชนชาติไหนก็ตาม
และหลักการความเท่าเทียมนี่เองเป็นที่ต้องใจของชาวมุสลิมที่เป็นชนเผ่าในทะเลทรายซาฮาร่า (les Berbères) ในดินแดนที่เป็นประเทศแอลจีเรียปัจจุบัน เพราะความเท่าเทียมกันย่อมหมายความว่า ใครก็ตามก็สามารถขึ้นเป็นผู้นำทางศาสนาได้ ไม่ใช่เฉพาะชาวอาหรับเท่านั้น จึงเป็นที่นิยมแพร่หลายในบรรดาชนเผ่าในทะเลทรายซาฮาร่า ก่อนจะถูกกำจัดโดยราชวงศ์ฟาติมิด (les Fatimides) ซึ่งเป็นพวกชีอะห์ (มีเมืองหลวงอยู่ที่กรุงไคโร) จนต้องเร่ร่อนมาถึงหุบเขา M'Zab เพื่อตั้งรกรากถิ่นฐาน และเป็นที่มาของชื่อชนเผ่าที่นี่ว่าโมซาบิต (les Mozabites)
ทีนี้มาเข้าเรื่องสถาปัตยกรรมกันต่อ
ตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่า ความเท่าเทียมกันคือหัวใจสำคัญของนิกายอิบาดี ด้วยเหตุนี้ บ้านเรือนจึงสร้างให้ดูเรียบง่ายและขึงขัง เป็นทรงกระบอกเหลี่ยม ๆ ทำด้วยอิฐ ดูกลมกลืนกันไปทั้งเมือง โดยไม่มีบ้านไหนดูโดดเด่นขึ้นมาแตกต่างจากบ้านหลังอื่นเพื่อไม่ให้เห็นความแตกต่างระหว่างคนรวยและคนจน

นอกจากนี้ ถนนหนทางภายในตัวเมืองจะคับแคบและวกวนเหมือนเขาวงกต พอจะทายได้ไหมครับว่าเพราะทำไม?
คำตอบก็คือ เพื่อช่วยป้องกันความร้อนจากทะเลทรายนั่นเอง เพราะบ้านเรือนที่อยู่ติดกันและถนนที่คดเคี้ยว ทำให้เกิดร่มเงาจำนวนมาก รวมทั้งช่วยป้องกันจากพายุทรายอีกด้วย
แต่ในส่วนที่เป็นตลาด จะตั้งอยู่ริม ๆ เมือง เป็นพื้นที่เปิดเพื่อการค้าขาย และเพื่อไม่ให้กิจกรรมทางการค้ารบกวนผู้อยู่อาศัยในตัวเมือง สินค้าขึ้นชื่อ คือ พรมขนแกะ ที่ผู้หญิงมุสลิมทอเองจากมือและมอบให้ญาติฝ่ายชายนำมาขายที่ตลาด





การลำเลียงขยะจากตัวเมืองมาข้างนอก ต้องใช้ลา

ชาวโมซาบิตเป็นชนเผ่าที่เคร่งศาสนามาก ยังรักษาประเพณีดั้งเดิมไว้ได้ค่อนข้างดีแม้จะผ่านมาหลายร้อยปีแล้วก็ตาม ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์และความสามัคคีในชุมชน มักจะแต่งงานกันภายในกลุ่ม และแต่ละกลุ่มจะมีผู้ที่ทำหน้าที่คล้าย ๆ ผู้ใหญ่บ้าน คือ ดูแลทุกข์สุขของลูกบ้านและหายุติข้อขัดแย้งระหว่างคนในกลุ่มด้วย
ร้านนี้มีผ้าม่านกั้น เป็นสัญลักษณ์บอกว่า คนขายของเป็นผู้หญิง และผู้หญิงเท่านั้นที่จะเข้าไปซื้อของได้ครับ

ร้านทั่วไปไม่มีม่านกั้น

ชุดประจำเผ่าที่เป็นเอกลักษณ์ คือ ชุดของผู้หญิงที่เป็นผ้าคลุมสีขาวทั้งตัว และเปิดให้เห็นดวงตาเพียงหนึ่งดวงเท่านั้น การถ่ายภาพผู้หญิงมุสลิมจากข้างหน้าถือว่าเป็นการไม่สุภาพ แต่สามารถถ่ายจากข้างหลังได้ครับ ผมเลยไม่มีรูปถ่ายจากด้านหน้ามาฝากด้วยเหตุนี้


การท่องเที่ยวที่นี่ต้องใช้ไกด์ท้องถิ่น เพราะคนที่นี่กลัวว่า นักท่องเที่ยวจะทำลายวัฒนธรรมท้องถิ่นทั้งรู้และไม่รู้ตัว การแต่งกายของนักท่องเที่ยวก็ต้องเหมาะสม ขาสั้นลืมไว้ที่บ้านได้เลยครับ
ตอนแรกผมว่าจะเที่ยวเองเลยไม่ได้จัดการอะไรมากมาย พอเจ้าของบ้านเสนอว่าจะจัดทัวร์ให้ แอดมินก็ปฏิเสธ ยืนกรานว่าจะเที่ยวเองอย่างเดียว พอเที่ยวเสร็จถึงมารู้ว่า ตัดสินใจถูกแล้วที่ไปกับทัวร์ (ส่วนตัว) เพราะเวลาน้อย และการเดินทางเองระหว่างเมืองลำบาก รวมทั้งต้องเสียเวลาหาไกด์ ทัวร์ที่เจ้าของบ้านจัด และ Mr. Morat คนขับรถที่ตามใจผม ทำให้ผมสามารถได้เห็น ได้สัมผัส และได้เรียนรู้อะไรเยอะมากภายในเวลา ๒ วัน ครับ
ไว้มารีวิวที่พักในซาฮาร่าครับ
---------------------------------
ติดตามเพิ่มเติมได้ที่แฟนบุ๊คแฟนครับ
https://www.facebook.com/MemoirsOfMrNomad
แอลจีเรีย (๑): Ghardaïa และหุบเขา M'Zab เมืองมรดกโลกสู่ซาฮาร่า
M'Zab เป็นหุบเขากลางทะเลทรายซาฮาร่าที่เกิดจากแม่น้ำชื่อเดียวกัน เรียงรายด้วย ๕ เมืองที่ได้รับสถานะมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก้ ได้แก่ Ghardaïa (เมืองหลัก), Melika, Béni-Isguen, Bou-Noura และ El-Ateuf แต่ละเมืองมีแผนผังคล้ายกันคือ ยอดบนสุดเป็นสุเหร่า แล้วมีบ้านเรือนลดหลั่นรายรอบเป็นเขาวงกต และจบด้วยป้อมปราการที่ล้อมรอบตัวเมืองไว้ ทั้งเมืองเป็นโทนสีน้ำตาลอ่อนจนถึงน้ำตาลแดง เป็นสถาปัตยกรรมที่อาจดูเรียบง่าย แต่ทว่าแฝงด้วยหลักปรัชญาของศาสนาอิสลามอันลึกซึ้ง
ก่อนอื่นต้องท้าวความถึงประวัติศาสตร์และนิกายของศาสนาอิสลามอย่างคร่าว ๆ กันก่อนครับ
ทุกคนคงเคยได้ยินนิกายหลักของอิสาม ๒ นิกาย ได้แก่ ซุนหนี่ (le sunnisme) และ ชีอะห์ (le chiisme) มาแล้วซึ่งเป็นนิกายที่เกิดขึ้นหลังสิ้นพระศาสดามูฮัมหมัดและเกิดการแก่งแย่งอำนาจเพื่อขึ้นเป็นผู้นำทางศาสนา (คาลิฟ) จนชาวมุสลิมแบ่งออกเป็น ๒ นิกายข้างต้น ทีนี้ มีอีกนิกายหนึ่งที่แตกโดดออกมาจาก ๒ นิกาย เรียกว่า นิกายอิบาดี (l'ibadisme)
นิกายนี้นับถือแค่คาลิฟ ๒ คนแรกเท่านั้น ยึดถือคัมภีร์อัลกุรอานเป็นอันดับแรก ไม่ใช่ผู้นำทางศาสนาที่มักนักถือศาสนาแต่ในนามและแสวงหาประโยชน์ให้ตนเอง เป็นนิกายที่ยึดมั่นความเท่าเทียมกันระหว่างชาวมุสลิมทุกคนแม้ว่าจะเป็นชนชาติไหนก็ตาม
และหลักการความเท่าเทียมนี่เองเป็นที่ต้องใจของชาวมุสลิมที่เป็นชนเผ่าในทะเลทรายซาฮาร่า (les Berbères) ในดินแดนที่เป็นประเทศแอลจีเรียปัจจุบัน เพราะความเท่าเทียมกันย่อมหมายความว่า ใครก็ตามก็สามารถขึ้นเป็นผู้นำทางศาสนาได้ ไม่ใช่เฉพาะชาวอาหรับเท่านั้น จึงเป็นที่นิยมแพร่หลายในบรรดาชนเผ่าในทะเลทรายซาฮาร่า ก่อนจะถูกกำจัดโดยราชวงศ์ฟาติมิด (les Fatimides) ซึ่งเป็นพวกชีอะห์ (มีเมืองหลวงอยู่ที่กรุงไคโร) จนต้องเร่ร่อนมาถึงหุบเขา M'Zab เพื่อตั้งรกรากถิ่นฐาน และเป็นที่มาของชื่อชนเผ่าที่นี่ว่าโมซาบิต (les Mozabites)
ทีนี้มาเข้าเรื่องสถาปัตยกรรมกันต่อ
ตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่า ความเท่าเทียมกันคือหัวใจสำคัญของนิกายอิบาดี ด้วยเหตุนี้ บ้านเรือนจึงสร้างให้ดูเรียบง่ายและขึงขัง เป็นทรงกระบอกเหลี่ยม ๆ ทำด้วยอิฐ ดูกลมกลืนกันไปทั้งเมือง โดยไม่มีบ้านไหนดูโดดเด่นขึ้นมาแตกต่างจากบ้านหลังอื่นเพื่อไม่ให้เห็นความแตกต่างระหว่างคนรวยและคนจน
นอกจากนี้ ถนนหนทางภายในตัวเมืองจะคับแคบและวกวนเหมือนเขาวงกต พอจะทายได้ไหมครับว่าเพราะทำไม?
คำตอบก็คือ เพื่อช่วยป้องกันความร้อนจากทะเลทรายนั่นเอง เพราะบ้านเรือนที่อยู่ติดกันและถนนที่คดเคี้ยว ทำให้เกิดร่มเงาจำนวนมาก รวมทั้งช่วยป้องกันจากพายุทรายอีกด้วย
แต่ในส่วนที่เป็นตลาด จะตั้งอยู่ริม ๆ เมือง เป็นพื้นที่เปิดเพื่อการค้าขาย และเพื่อไม่ให้กิจกรรมทางการค้ารบกวนผู้อยู่อาศัยในตัวเมือง สินค้าขึ้นชื่อ คือ พรมขนแกะ ที่ผู้หญิงมุสลิมทอเองจากมือและมอบให้ญาติฝ่ายชายนำมาขายที่ตลาด
การลำเลียงขยะจากตัวเมืองมาข้างนอก ต้องใช้ลา
ชาวโมซาบิตเป็นชนเผ่าที่เคร่งศาสนามาก ยังรักษาประเพณีดั้งเดิมไว้ได้ค่อนข้างดีแม้จะผ่านมาหลายร้อยปีแล้วก็ตาม ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์และความสามัคคีในชุมชน มักจะแต่งงานกันภายในกลุ่ม และแต่ละกลุ่มจะมีผู้ที่ทำหน้าที่คล้าย ๆ ผู้ใหญ่บ้าน คือ ดูแลทุกข์สุขของลูกบ้านและหายุติข้อขัดแย้งระหว่างคนในกลุ่มด้วย
ร้านนี้มีผ้าม่านกั้น เป็นสัญลักษณ์บอกว่า คนขายของเป็นผู้หญิง และผู้หญิงเท่านั้นที่จะเข้าไปซื้อของได้ครับ
ร้านทั่วไปไม่มีม่านกั้น
ชุดประจำเผ่าที่เป็นเอกลักษณ์ คือ ชุดของผู้หญิงที่เป็นผ้าคลุมสีขาวทั้งตัว และเปิดให้เห็นดวงตาเพียงหนึ่งดวงเท่านั้น การถ่ายภาพผู้หญิงมุสลิมจากข้างหน้าถือว่าเป็นการไม่สุภาพ แต่สามารถถ่ายจากข้างหลังได้ครับ ผมเลยไม่มีรูปถ่ายจากด้านหน้ามาฝากด้วยเหตุนี้
การท่องเที่ยวที่นี่ต้องใช้ไกด์ท้องถิ่น เพราะคนที่นี่กลัวว่า นักท่องเที่ยวจะทำลายวัฒนธรรมท้องถิ่นทั้งรู้และไม่รู้ตัว การแต่งกายของนักท่องเที่ยวก็ต้องเหมาะสม ขาสั้นลืมไว้ที่บ้านได้เลยครับ
ตอนแรกผมว่าจะเที่ยวเองเลยไม่ได้จัดการอะไรมากมาย พอเจ้าของบ้านเสนอว่าจะจัดทัวร์ให้ แอดมินก็ปฏิเสธ ยืนกรานว่าจะเที่ยวเองอย่างเดียว พอเที่ยวเสร็จถึงมารู้ว่า ตัดสินใจถูกแล้วที่ไปกับทัวร์ (ส่วนตัว) เพราะเวลาน้อย และการเดินทางเองระหว่างเมืองลำบาก รวมทั้งต้องเสียเวลาหาไกด์ ทัวร์ที่เจ้าของบ้านจัด และ Mr. Morat คนขับรถที่ตามใจผม ทำให้ผมสามารถได้เห็น ได้สัมผัส และได้เรียนรู้อะไรเยอะมากภายในเวลา ๒ วัน ครับ
ไว้มารีวิวที่พักในซาฮาร่าครับ
---------------------------------
ติดตามเพิ่มเติมได้ที่แฟนบุ๊คแฟนครับ https://www.facebook.com/MemoirsOfMrNomad