สมัยยุคกลางกษัตริย์ แค่อ่านออกก็ถือว่าเก่งมากแล้ว
(จีน)สมัยราชวงศ์ถัง อ่านขงจื้อเล่มเดียวก็เป็นจอหงวนได้
สมัยเรเนอซอง-ยุคศตวรรษที่19อ่านออกเขียนได้ถือว่าเก่งมากแล้ว
สมัย100ปีที่แล้วแค่ระบบการศึกษาขั้นต้น ก็ถือว่าเก่งแล้ว
50ปีก่อน เรียนจบป.ตรีถือว่าเก่งแล้ว
30ปีก่อนจบป.โทถือว่าเก่งแล้ว
ปัจจุบัน จบป.โทมา ต้องพูดให้ได้3ภาษา และต้องรู้หลายๆสาขาวิชา ทั้งศาสตร์และศิลป์ ระบบการศึกษาเด็กต้องเก่งทุกอย่าง ตั้งแต่แคลคูลัสยันเลื้อยไม้มีการสอบแข่งขันกันตั้งแต่อนุบาล
อนาคต 3ขวบทำแคลคูลัสไม่ได้ถือว่าพัฒนาการแย่มาก 3ขวบต้องพูดได้อย่างน้อย10ภาษาและต้องประกอบและขับเครื่องบินได้
ถ้าเราเอาคนธรรมดาที่มีความรู้ในสาขาวิชาที่ตัวเองถนัดไปซัก10คนย้อนเวลาไปอดีต 10คนนั้นอาจครองโลกสมัยก่อนได้เลย ยิ่งถ้าอาจเอาผู้เชี่ยวชาญส่งไปอดีตสัก10คน 10คนนั้นคงเป็นพระเจ้าในโลกยุคโบราณแน่ๆ
บางครั้งเราก็คิดนะว่าระบบการศึกษามันเฟ้อไปหรือเปล่า สมัยก่อนการศึกษามันเป็นโอกาส การศึกษาคือกุญแจสู่ความสำเร็จ แต่สมัยนี้ทุกคน ถือกุญแจ ถือคีย์การ์ด ถือรหัสผ่าน ยันคือกลอนประตู แต่ข้างในพื้นที่แห่งความสำเร็จมีน้อยมาก สุดท้ายความสำเร็จก็อยู่กับมือคนที่อยู่ในนั้นมาก่อนและต้อนลูกหลานตัวเองเข้ามาด้วยบัตรVIP
เราจำเป็นต้องรู้อะไรมากมายขนาดนี้หรือ แล้วมันจำเป็นขนาดนั้น เราโดนยัดถึงอย่างตั้งแต่สมัยเด็กและเด็กๆของเราก็ยังโดนยัดอยู่เหมือนเดิม แล้วไปมากมายแต่เราแทบไม่ได้ใช้ แถมจุดมุ่งหมายทางการศึกษาก็เปลี่ยนไปจกาเราเรียนหนังสือเพื่อศึกษาหาความรู้ กลายเป็นว่าเราเรียนเพื่อมาสอบแข่งขัน แต่เราเอามาใช้งานไม่ได้ เรียนมาจบมา99%ทิ้ง แล้วก็ไปอ่านใหม่เพื่อไปสอบแล้วก็ทิ้ง ใช้เส้นสายไต้ด้วยเต้าเอาด้วยไม่ต้องใช้ความรู้อะไรง่ายกว่า
ผมคิดว่าเราเรียนมากไป ให้ความสำคัญของสิ่งที่เราเรียกว่าการศึกษามากไป ทำไมงานต่างๆก็ต้องมีความหลากหลาย เราจะทำทุกอย่างไม่ได้ คนเราจะต้องพึ่งพาอาศัยกัน อาจใช้เทคโนโลยีช่วยเอา เราไม่จำเป็นต้องรู้10ภาษาถ้าเรามีโปรแกรมแปลภาษาที่ดีพอ มีล่ามแปล ผมเห็นพวกผู้นำประเทศหลายๆคนเขาก็ใช้ล่ามแปลทั้งนั้น การรู้ภาษาอื่นๆเพิ่มเติมถิอเป็นกำไรชีวิต เพราะเราสามารถเข้าใจสื่อของประเทศอื่นๆได้ เราเรียนรู้เพิ่มเติมทุกวันก็เพราะเราอยากรู้และสนุกที่จะเรียนรู้ ไม่ใช่เพื่อเตรียมไปสอบแข่งขัน
ว่าด้วยค่านิยมการศึกษาในสมัยใหม่
(จีน)สมัยราชวงศ์ถัง อ่านขงจื้อเล่มเดียวก็เป็นจอหงวนได้
สมัยเรเนอซอง-ยุคศตวรรษที่19อ่านออกเขียนได้ถือว่าเก่งมากแล้ว
สมัย100ปีที่แล้วแค่ระบบการศึกษาขั้นต้น ก็ถือว่าเก่งแล้ว
50ปีก่อน เรียนจบป.ตรีถือว่าเก่งแล้ว
30ปีก่อนจบป.โทถือว่าเก่งแล้ว
ปัจจุบัน จบป.โทมา ต้องพูดให้ได้3ภาษา และต้องรู้หลายๆสาขาวิชา ทั้งศาสตร์และศิลป์ ระบบการศึกษาเด็กต้องเก่งทุกอย่าง ตั้งแต่แคลคูลัสยันเลื้อยไม้มีการสอบแข่งขันกันตั้งแต่อนุบาล
อนาคต 3ขวบทำแคลคูลัสไม่ได้ถือว่าพัฒนาการแย่มาก 3ขวบต้องพูดได้อย่างน้อย10ภาษาและต้องประกอบและขับเครื่องบินได้
ถ้าเราเอาคนธรรมดาที่มีความรู้ในสาขาวิชาที่ตัวเองถนัดไปซัก10คนย้อนเวลาไปอดีต 10คนนั้นอาจครองโลกสมัยก่อนได้เลย ยิ่งถ้าอาจเอาผู้เชี่ยวชาญส่งไปอดีตสัก10คน 10คนนั้นคงเป็นพระเจ้าในโลกยุคโบราณแน่ๆ
บางครั้งเราก็คิดนะว่าระบบการศึกษามันเฟ้อไปหรือเปล่า สมัยก่อนการศึกษามันเป็นโอกาส การศึกษาคือกุญแจสู่ความสำเร็จ แต่สมัยนี้ทุกคน ถือกุญแจ ถือคีย์การ์ด ถือรหัสผ่าน ยันคือกลอนประตู แต่ข้างในพื้นที่แห่งความสำเร็จมีน้อยมาก สุดท้ายความสำเร็จก็อยู่กับมือคนที่อยู่ในนั้นมาก่อนและต้อนลูกหลานตัวเองเข้ามาด้วยบัตรVIP
เราจำเป็นต้องรู้อะไรมากมายขนาดนี้หรือ แล้วมันจำเป็นขนาดนั้น เราโดนยัดถึงอย่างตั้งแต่สมัยเด็กและเด็กๆของเราก็ยังโดนยัดอยู่เหมือนเดิม แล้วไปมากมายแต่เราแทบไม่ได้ใช้ แถมจุดมุ่งหมายทางการศึกษาก็เปลี่ยนไปจกาเราเรียนหนังสือเพื่อศึกษาหาความรู้ กลายเป็นว่าเราเรียนเพื่อมาสอบแข่งขัน แต่เราเอามาใช้งานไม่ได้ เรียนมาจบมา99%ทิ้ง แล้วก็ไปอ่านใหม่เพื่อไปสอบแล้วก็ทิ้ง ใช้เส้นสายไต้ด้วยเต้าเอาด้วยไม่ต้องใช้ความรู้อะไรง่ายกว่า
ผมคิดว่าเราเรียนมากไป ให้ความสำคัญของสิ่งที่เราเรียกว่าการศึกษามากไป ทำไมงานต่างๆก็ต้องมีความหลากหลาย เราจะทำทุกอย่างไม่ได้ คนเราจะต้องพึ่งพาอาศัยกัน อาจใช้เทคโนโลยีช่วยเอา เราไม่จำเป็นต้องรู้10ภาษาถ้าเรามีโปรแกรมแปลภาษาที่ดีพอ มีล่ามแปล ผมเห็นพวกผู้นำประเทศหลายๆคนเขาก็ใช้ล่ามแปลทั้งนั้น การรู้ภาษาอื่นๆเพิ่มเติมถิอเป็นกำไรชีวิต เพราะเราสามารถเข้าใจสื่อของประเทศอื่นๆได้ เราเรียนรู้เพิ่มเติมทุกวันก็เพราะเราอยากรู้และสนุกที่จะเรียนรู้ ไม่ใช่เพื่อเตรียมไปสอบแข่งขัน