นั่งรถไฟไปเชียงใหม่ เช่ามอไซค์ขึ้นดอยอ่างขาง 3 วัน 3 คืน

- ทริปนี้เราไปปีใหม่ วันที่ 28 ธค 60 - 1 มค 61

        ก่อนปีใหม่ 2 เดือน เราตกลงกับแฟนว่าจะไปเที่ยวเชียงใหม่  เริ่มแรกเลยเราโทรไปที่ 1690 เป็นเบอร์ของการรถไฟ ช่วงเทศกาลเป็นช่วงที่คนกลับจต่างจังหวัดเยอะ ถ้าเราไม่จองตั๋วมีหวังเราได้ยืนรากงอกแน่ ทางการรถไฟจะเปิดให้จองตั๋วล่วงหน้า 2 เดือน เราก็เลยโทรไปจอง สรุปได้เป็นตู้นั่งพัดลมชั้น 3 ทั้งขาไปและขากลับ  เพราะตู้นอนเต็มหมด (สำหรับใครที่ขากลับจะกลับรถไฟเราแนะนำให้จองทีเดียวเลย) หลังจากโทรจองตั๋วเรียบร้อยแล้วเจ้าหน้าที่ก็จะให้เราไปชำระเงินที่สถานีรถไฟที่เราสะดวกไปภายใน 2 วัน ถ้าไม่ไปถือว่าสละสิทธิ์

วันที่ 28 ธค 60

          เรานั่งรถตู้จากนครปฐมมาลงเดอะมอล์บางแค แล้วนั่งรถสายปอ.7 ไปลงสถานีหัวลำโพง เราถึงสถานีประมาณ 2 ทุ่มกว่า จากนั้นเราก็เดินซื้อของกินที่สถานีตุนเอาไว้เผื่อไปหิวบนรถ แล้วก็ทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย เวลา 4 ทุ่มตรง รถไฟออก เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 ชั่วโมง ตลอดทางเราก็หลับบ้างกินบ้าง บางคนอาจจะคิดว่านั่งรถไฟนานแล้วลำบาก แต่เราเป็นคนชอบนั่งรถไฟ มันก็เลยไม่ใช่ปัญหาสำหรับเรา

ปล. รถไฟจะมีตู้เสบียง เปิดกี่โมงเราไม่แน่ใจ แต่ปิด 4 ทุ่ม อาหารที่ตู้เสบียงแอบแพงนิดนึง เราแนะนำให้รอเขาเอามาขาย เดี๋ยวจะมีคนขายที่ตู้เสบียงเดินมาขาย แบบนั้นจะถูกกว่า แต่อาหารอร่อยอันนี้ยืนยัน

- วิวตอนเช้าที่จังหวัดลำปาง







Day 1 : 29 ธค 60

      เราถึงสถานีเชียงใหม่เที่ยงครึ่งตรงตามเวลาเป๊ะ พอลงรถไฟมาก็จะมีลุงๆที่ขับรถแดงหลายคนมายืนรอถามว่าเราจะไปไหน เราเลยบอกจะไปขนส่งอาเขต ตกลงราคาเรียบร้อยคนละ 50 บาท เราว่ามันแพงไปนะ เพราะบางกระทู้ที่เราเข้าไปอ่านมาแค่ 30 บาทต่อคน ยังไงตรงงนี้ก็ต้องเลือกดูกันดีๆ แต่เราไม่อยากเสียเวลาเลยตกลงไป

      ทริปนี้เราจะใช้มอเตอร์ไซค์ในการไปเที่ยวที่ต่างๆ เรามาเช่ามอไซค์กันที่ร้าน bikky ร้านตั้งอยู่บริเวณขนส่งอาเขต สงสัยตรงไหนเข้าไปถามที่เพจร้านได้เลย เดี๋ยวเราแจ้งชื่อเพจไว้ด้านล่าง เราเลือกรถ zumer x มา เพราะถามทางร้านแล้วว่าขี่ขึ้นดอยอ่างขางไว้มั๊ย ที่ร้านบอกไหวเราก็จัดเลย ราคารถแต่ละคันไม่เหมือนกัน ของเราตกอยู่ที่วันละ 300 บาท ไม่มีค่ามัดจำ แต่จะยึดบัตรประชาชนไว้ หลังจากได้รถแล้วเราก็ไปเช็คอินเข้าที่พัก ที่พักของเรา เราจองในแอพ booking ในแอพบอกว่าจ่ายเงินวันเช็คอินได้เลย แต่โรงแรมที่เราจองติดต่อกลับมา ให้เราโอนเงินให้เพราะเป็นช่วงเทศกาล เขาคงกลัวเราเบี้ยวประมาณนี้แหละ เราก็โอนให้เขาเลย หลังจากที่เก็บของเข้าที่พักแล้วเราก็เผลอหลับไป ตื่นมาอีกทีเกือบเย็น พอเย็นมันก็ไปไหนไกลไม่ได้แล้ว เราก็เลยไปที่ประตูท่าแพ ที่นี่จะมีให้อาหารนกพิราบ




ให้อาหารนกเสร็จฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว เราก็เลยไปหาอะไรกินต่อที่ถนนนิมมานเหมินทร์ ถนนนี้ขึ้นชื่อเรื่องของกินเพราะของกินเยอะมาก เลี้ยวเข้าซอยไหนก็มีแต่ของกินเต็มไปหมด แต่เพราะของกินเยอะนี่แหละมันเลยทำให้เราไม่รู้จะกินอะไร เราก็เลยเปลี่ยนไปเดินเล่นที่ห้าง maya พอเดินเล่นไปเรื่อยๆก็หิว เราก็เลยหาอะไรกินที่นี่ซะเลย สรุปมาถนนนิมมานแต่ไม่ได้กินอะไรที่นิมมาน55555555555

พิกัด : ห้าง maya ขี่มาทาง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ห้างอยู่ตรงสี่แยก ถ้าเลี้ยวซ้ายจะเป็นถนนนิมมานเหมินทร์

ปล. ห้างmaya : มีชั้นดาดฟ้า มีจุดชมวิวและมีร้านเหล้านั่งชิวหลายร้านมาก มานิมมานเหมินทร์ก็ลองแวะเข้าไปดู

เพจเช่ารถ : bikkychiangmai



Day 2 : 30 ธค 60

     เราเช็คเอ้าท์ออกจากที่พัก 7 โมงเช้า ที่แรกที่เราจะไปก็คือ วัดพระธาตุดอยสุเทพ มาทำบุญก่อน จะได้ปลอดภัยเวลาเดินทางไปไหน ทางขึ้นที่นี่ไม่น่ากลัวเท่าไหร่ เพราะถนนใหญ่พอสมควร ที่นี่มีนักปั่นจักรยานและนักวิ่งขึ้นลงตลอดทาง เห็นแล้วเราเหนื่อยแทนเลยอะ5555555555555555

- วัดพระธาตุดอยสุเทพ




          หลังจากไหว้พระเสร็จเราก็ขึ้นไปที่จุดชมวิวดอยปุย แต่ปรากฏว่าหมอกหนามาก มองไม่เห็นวิวอะไรเลย เราก็เลยไม่ได้ถ่ายรูปมา จากนั้นเราก็จะไปต่อกันที่ขุนช่างเคี่ยน แต่พ่อค้าที่จุดชมวิวบอกว่าดอกพญาเสือโคร่งยังมีน้อยอยู่เลย ขึ้นไปก็ไม่คุ้ม อีกอย่างทางก็อันตรายด้วย เราก็เลยถอดใจขี่กลับและมุ่งหน้าไปเที่ยวต่อที่ดอยอ่างขางเลย


- ระหว่างทางลงเราเจอน้ำตก มณฑาธาร
ที่นี่มีน้ำตก 2 ชั้น ขึ้นไปบรรยากาศเงียบมาก มีลานกลางเต๊นท์ด้วย แต่วันที่เราไปไม่มีคนเลย หรือเพราะเป็นฤดูหนาว คนเลยไม่นิยมมาเที่ยวกัน






ระยะทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปดอยอ่างขางไกลมาก เรียกว่าแทบขี่ข้ามจังหวัดกันเลยทีเดียว เราใช้  GPS ในการนำทาง

- นี่คือระยะทางจากเมืองไปดอยอ่างขาง


ถ้าไปตามเส้นทางที่ GPS บอกจะผ่านอำเภอไชยปราการ เส้นทางขึ้นดอยทางนี้เป็นทางที่เขาว่ากันว่าน่ากลัว ซึ่งเราก็ว่ามันน่ากลัวจริงๆ ทางชันมาก โค้งหักศอกก็เยอะ ตอนที่เราอ่านรีวิวมีหลายรีวิวบอกว่าบางช่วงคนซ้อนท้ายต้องลงเดิน แต่ zumer x ไม่ทำให้เราผิดหวัง เราไม่ต้องลงเดิน แต่รถก็อืดพอสมควร บางช่วงบิดได้เต็มที่แค่ 20 ใครที่จะไปทางนี้ก็ระมัดระวังกันด้วย

ปล. ทางนี้มีเจ้าหน้าที่กระจายดูแลอยู่









      ขับขึ้นมาเรื่อยๆ จะเจอทางแยกอีกทางสำหรับคนที่ขี่ขึ้นลงทางเชียงดาว เส้นทางนี้เป็นทางขึ้นเขาตลอด มีจุดชมวิวให้แวะอยู่ตามทาง มีหมู่บ้าน ขากลับเราก็กลับทางนี้แหละ

ปล. ถนนทางเชียงดาวไม่น่ากลัว รถมอเตอร์ไซค์ส่วนใหญ่จะขึ้นทางนี้




- นี่คือทางขึ้นดอยอ่างขางทางเชียงดาว เราแนะนำให้มาทางนี้




- และแล้วเราก็มาถึงดอยอ่างขางเป็นที่เรียบร้อย




- จะเห็นว่ารถที่นี่เยอะมาก




       ที่นี่มีจุดชมวิวให้เราเลือกกางเต๊นท์เยอะมาก แต่เราเลือกนอนกันที่ จุดชมวิวม่อนสน



   
   หลังจากที่เราหาที่ว่างสำหรับกางเต๊นท์ได้แล้ว เราก็ไปแจ้งเจ้าหน้าที่ที่จุดบริการนักท่องเที่ยวเพื่อเสียค่าเช่าพื้นที่  ที่จุดบริการนักท่องเที่ยวจะมีเต๊นท์ ถุงนอน ผ้าห่มเอาไว้ให้เช่าสำหรับใครที่ไม่ได้เอามาด้วย แต่สำหรับใครที่ไม่อยากเช่าที่จุดบริการก็จะมีร้านค้าข้างหน้าอีกหลายร้านที่เราสามารถไปเช่าได้




       หลังจากที่เรากางเต๊นท์เสร็จเราก็เดินไปหาอะไรกิน อย่างที่บอกไปว่าที่นี่มีร้านค้าหลายร้าน แต่ละร้านก็จะมีพวกเต๊นท์ให้เช่า มีอาหารตามสั่งขาย และอาการหนาวๆแบบนี้ก็ต้องมีอะไรร้อนๆ


-  หมูจุ่ม หมูกะทะ ชุดละ 300 บาท




- บรรยากาศตอนเย็นที่มองไม่เห็นพระอาทิตย์ตก เนื่องจากหมอกหนาเกินกว่าเหตุ






ปล. 1   เราซื้อจิ้มจุ่ม เช่ากระติกน้ำแข็ง ตะเกียงไฟ ผ้าใบคุมเต๊นท์และทุกอย่างที่ร้านยอดเขา พี่คนขายใจดีมาก

ปล. 2   สำหรับใครที่เช่าของตามร้านค้าจะมีค่ามัดจำ เวลาเอาของมาคืนเขาจะคืนค่ามัดจำให้ แต่ถ้าใครเช่าที่อุทยานเจ้าหน้าที่จะยึดบัตรประชาชน

ปล. 3   จุดบริการเช่าเต๊นท์และร้านค้ามีที่ชาตแบต เสียค่าบริการประมาณ 20 บาท


Day 3 : 31 ธค 60

- ตื่นมาพร้อมกับอากาศที่หนาวและฝนตกปรอยๆกับหมอกหนาๆ








- หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อยแล้ว ที่ที่เราจะไปต่อก็คือสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง


















ปล. สถานีเกษตรหลวงอ่างขางมีต้นซากุระญี่ปุ่นแท้


-  ขี่ขึ้นดอยมาอีกเรื่อยๆ เราก็จะเจอกลับไร่ชา 2000














- ขี่ขึ้นมาต่อจะเจอกับ ไร่สตอเบอร์รี่ขอบด้ง หมู่บ้านนอแล








- ขี่ขึ้นมาอีกจะเป็นหมู่บ้านนอแล จุดชมวิวชายแดนไทย - พม่า




ปล. เนื่องจากหมอกหนา เราไม่สามารถถ่ายวิวได้55555555555555


          หลังจากเที่ยวเพลินจนลืมดูเวลาก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยง คือเรานัดคืนรถตอนบ่ายสอง  ยังไงก็กลับไม่ทันแน่ๆ เราก็เลยโทรไปแจ้งร้าน จากนั้นก็ขี่รถกลับเข้าตัวเมืองกัน  อย่างที่บอกไปข้างต้นว่าขากลับเรากลับทางเชียงดาว ทางไม่น่ากลัว แต่จะมีชันบ้างเล็กน้อย ยังไงก็ประมาทไม่ได้

- ระหว่างทางขี่กลับเจอร้านกาแฟที่มีลำธารไหลผ่าน ชื่อร้าน  กาแฟฮิมน้ำ พิกัด : เชียงดาว








      เรากลับมาถึงตัวเมืองเชียงใหม่ก็รีบไปเช็คอินโรงแรมที่เราจองผ่าน booking คืนนี้เราเลือกนอนที่โรงแรมแถวสถานีรถไฟเลย เพราะเราต้องเดินทางกลับตอนเช้า  หลังจากเช็คอินเสร็จเราก็รีบเอารถไปคืน  เราเสียค่าปรับไป 200 บาท  เพราะเกินเวลาไป 4 ชั่วโมง ชั่วโมงละ 50 บาท  คืนรถเสร็จอะไรเสร็จเราก็นั่งวินไปที่ประตูท่าแพต่อ วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์พอดี ที่ประตูท่าแพจะมีถนนคนเดิน ชาวต่างชาติเยอะมาก ของขายก็เยอะ  เราเดิน 2 ชั่วโมงก็ยังเดินไม่สุดถนนซักที สุดท้ายเราเลยถอดใจเดินวนกลับ5555555555555
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่