[CR] [Spoil] The Greatest Showman หนังมิวสิคัลดีๆให้ 5 ดาว ปริ่มมวากกกกจนมานั่งเขียนรีวิวความรู้สึกต่อหนังหลังดู

กระทู้นี้เหมาะสำหรับคนที่ดูแล้วนะคะ แค่อยากจะเขียนเล่าความรู้สึกเฉยๆ อาจจะเขียนได้ไม่ดีเท่าไหร่นะ
ตอนแรกก็ว่าจะไม่เม้น ไม่ตั้งกระทู้อะไร แต่พอดีจะตอบกระทู้ของคนนึงแล้วมันยาว555 เลยคิดว่ามาตั้งกระทู้เองเลยดีกว่า
ถ้ามีอะไรอยากแสดงความเห็น เห็นด้วย เห็นต่างยังไง เราอยากอ่านนะ มาแชร์กันได้เลย



A Million Dreams
เราลองเข้ายูทูปเปิดฟังเพลง a million dreams และอ่านทอปคอมเม้น เจอคนนึงบอกว่าตอนดูในโรงว่าแปลกที่เพลงมันไม่เศร้าแต่เค้าน้ำตาคลอ พอหันไปรอบๆตัวก็เห้ย ไม่ใช่คนเดียวว่ะ!

เราก็เหมือนกันเลยค่ะ เราน้ำตาร่วง ตอนแรกก็คิดว่าเป็นคนเดียว แต่เปล่าเลย พ่อเราก็น้ำตาไหลอยู่ข้างๆ XD

พอกลับไปดูในโรงอีกรอบ สำหรับเพลง a million dreams เราคิดว่าที่มันจับใจขนาดนั้นเพราะความหมายเพลง มันเป็นฟีลที่แบบ เป็นโลกอีกโลกนึงที่พวกเราไม่สามารถทำได้ในโลกความเป็นจริงมั้งคะ... แบบเป็นโลกในฝัน ที่ใครๆก็ต้องเคยคิดแบบพระเอกอะ ไม่รู้นะ แต่เราคิดงั้น ตอนเด็กๆทุกคนก็มีความฝันที่ยิ่งใหญ่ด้วยกันทั้งนั้นน่ะ นอกจากนั้นก็ทำนองเพลงด้วย อะไรๆมันชวนให้เราคิดตามถึงความฝันของเรากับชีวิตเราตอนนี้นิดๆ แต่ก็ยังดูหนังต่อไป
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


ประเด็นของหนัง
ตอนดูครั้งแรกเราประทับใจมาก ตอนจบพ่อเราถามว่าให้เท่าไหร่ เราจะตอบ 10 (ในเรื่องอารมณ์ จบแล้วแฮปปี้มาก ปริ่มเว่อร์) แต่แล้วเราก็ลังเลบอกว่า อาจจะสัก 8-9 เพราะรู้สึกว่าเราจับพอยท์หลักของเรื่องไม่ได้ เหมือนมันไม่สุดสักประเด็น เอ๊ะ นี่พระเอกทำไปเพราะเงิน เพราะชื่อเสียง แต่ไม่ได้รักโชว์ของเขาจริงๆ(ละครสัตว์)รึเปล่า? เพราะมีตอนที่พระเอกกีดกันคนในกลุ่มละครสัตว์ไม่ให้เข้าไปเจอพวกชนชั้นสูงด้วย เหมือนพระเอกไม่ได้แคร์พวกเค้าจริงๆ เราอ่านคำวิจารณ์ในเพจบางเพจพูดเรื่องประเด็นไม่สุดสักทางก็เห็นด้วยบ้าง ไม่เห็นด้วยบ้าง

พอไปดูในโรงอีกครั้ง และลองพิจารณาดูอีกที เราถึงค่อยมาเห็นว่าเรื่องมันก็มีพอยท์ของมันที่ชัดเจนอยู่นะ อาจจะแค่หนังดูเหมือนเน้นไปที่เรื่องความเท่าเทียมเพราะมีกลุ่มคนประหลาดในละครสัตว์เป็นฉากหลังที่ใหญ่จนอาจจะบังตัวเรื่องที่เน้นที่ชีวิตความสำเร็จของตัวพระเอกเป็นหลักไป
บางคนที่ดูเลยเข้าใจว่ามันต้องเกี่ยวกับคนประหลาดพวกนี้เป็นหลัก ต้องเกี่ยวกับการยอมรับคนกลุ่มนี้ แต่จริงๆคือ 'การยอมรับตัวเอง' ต่างหากที่เป็นประเด็นหลัก

ทุกคนต้องการการยอมรับ ต้องการที่ที่ไม่ต้องหลบซ่อน ...แต่สำหรับพระเอก แค่ได้รับการยอมรับมันไม่พอ พระเอกทะเยอทะยานขึ้นเรื่อยๆ เพราะต้องการจะให้สิ่งที่ดีที่สุดกับตัวเอง กับลูก ดังนั้นมันเลยเหมือนความสำเร็จเท่าไหร่ ก็ไม่พอสักที

คาแรกเตอร์พระเอกคือพูดเป็น พูดชักจูงใจคนเก่ง ทำให้คนมีความหวังและก้าวออกมาทำ(เพื่อพระเอกจะได้ทำโชว์) พระเอกมีเสน่ห์มากกก พระเอกไม่ได้เป็นคนไม่ดี แต่ก็ไม่ได้เป็นคนดีที่แคร์คนอื่นขนาดนั้น
ด้วยความที่เป็นคนมีเสน่ห์ และพูดให้คนอื่นรู้สึกว่าสำคัญเก่งเลยทำให้เจนนี่ลินน์ชอบโดยที่พระเอกไม่ได้ตั้งใจ หรือทำให้เหล่าคนประหลาดเชื่อว่าพระเอกเป็นเพื่อน พระเอกเป็นคนที่มอบโอกาสให้มีที่ยืน แต่สุดท้ายพระเอกก็ไม่เห็นหัวพวกเค้าตอนที่ต้องเข้ากับชนชั้นสูง พระเอกแคร์แค่ตัวเองกับโชว์ แต่นั่นก็คือนิสัยพระเอก หนังไม่ได้จะสื่อว่าพระเอกเป็นตัวแทนความยุติธรรมหรืออะไรที่จะมาทำให้คนยอมรับคนอื่น ที่พระเอกทำก็แค่อยากให้คนอื่นยอมรับตัวเอง พระเอกเป็นนักธุรกิจ เป็น The Showman

นางเอกบอกกับพระเอกแต่แรกว่า "ไม่ต้องทำให้ทุกคนยอมรับหรอก แค่คนกลุ่มนึงก็พอ"

ผู้หญิงมีเคราบอกพระเอกว่า "ไม่รู้ว่าทุกอย่างที่คุณทำให้เราคุณทำไปเพราะเงินแค่นั้นรึเปล่า(เพราะมีตอนที่พระเอกกีดกันพวกเขาจากชนชั้นสูง จนคนพวกนี้น้อยใจ) แต่คุณมอบบ้านให้กับพวกเรา"

แซค เอฟรอน /ขออภัย จำชื่อไม่ได้ บอกพระเอกว่า "คุณทำให้ผมสูญเสียมรดก ชื่อเสียง และหลายๆสิ่ง แต่ที่คุณมอบให้ผมคืออิสระ และมิตรภาพ"

เราอาจจะจำบทไม่ได้เป๊ะๆ แต่สามประโยคนี้คือสรุปได้เลยว่าหนังมีสองประเด็นคือ
1.พระเอกกับการต้องการให้คนอื่นยอมรับ การรู้จักบริหารความสุขและความสำเร็จ ต้องรู้จักพอ
2.พระเอกเป็น Showman ผู้มอบความสุขให้ผู้อื่นจริงๆ ทั้งคนดู และคนที่หลอก อุ๊บส์55 ชวนให้ร่วมงานด้วย
(ถึงจะทำไปเพราะเงิน แต่พระเอกทำให้แซคได้เลือกทางเดินที่เขาอยากเดิน, ทำให้กลุ่มคนประหลาดมีบ้าน มีที่ยืน, ทำให้เจนนี่ ลินน์ได้มีชื่อเสียงนอกเหนือจากในยุโรป ทุกคนวินวินกับการร่วมธุรกิจกับพระเอก)


บทเพลง Never enough ก็คือไฮไลท์ของเรื่อง เพราะเรื่องมันคือพระเอกไม่พอ ไม่พอ.. จนเกือบหลุด จนตอนสุดท้ายพระเอกคิดได้ก็กลับมาหานางเอก กลับมาหาความพอดี กลับมาบ้าน สุดท้ายพระเอกได้เรียนรู้ว่าเขาไม่จำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากทุกคน...แค่เรียนรู้ที่จะพอใจในจุดจุดหนึ่ง เรียนรู้ที่จะ Be Enough หันมาใส่ใจคนรอบข้าง แบ่งเวลาให้ครอบครัว แคร์คนที่เรารัก ให้เวลาให้คุณค่ากับพวกเค้า ชื่อเสียงนั้นไม่ใช่ทุกอย่าง
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
อย่างคู่แซคกับเซนดาย่าก็เช่นกัน มันคือเรื่องความพอใจของคนสองคน ความรักที่จะไม่ถูกจำกัดโดยสายตาของใคร ตอนแรกพวกเขาอาจกลัว รู้สึกว่าถูกดูถูก ไม่ได้รับการยอมรับ เลยรักกันไม่ได้ แต่สุดท้ายบทสรุปก็คือแค่คนสองคนยอมรับกันและกันให้ได้แค่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับความรัก



หนังมันตระการตาไปทุกสิ่งอย่าง ประหนึ่งมีกากเพชรโรยลงมาจากเพดาน ไอนู่นก็ระยิบระยับ ไอนี่ก็แวววาว และค่อนข้างดำเนินเรืองเร็ว ซึ่งสำหรับเราก็รู้สึกว่ากระชับฉับไวดี แต่มันอาจจะทำให้เป็นผลให้การเล่าเรื่องที่มีหลายประเด็นต้องเร็วไปด้วย แต่เราว่ามันก็โอเคอะ เราอิน
มีคนบอกว่าหนังจับใส่มาหลายประเด็นเกินทั้งเรื่องครอบครัว เรื่องการแบ่งชนชั้น มิตรภาพ การยอมรับตัวตน มันเลยเหมือนคนดูไม่รู้ว่าจะดูอะไรดี และไม่สุดสักทาง เราก็เห็นด้วยอยู่ว่าประเด็นเยอะ เล่าไม่สุดบางเรื่องและเล่าเรื่องเร็วไปนิด

แต่สำหรับเราเราว่าถ้ามองดีๆจะเห็นนะว่าจริงๆแล้วประเด็นสำคัญสุดอยู่ตรงไหน ประเด็นรองคืออะไร ซึ่งหนังเล่าได้ดีเลยนะในเวลาจำกัดเท่านั้น สำหรับคนอื่นไม่รู้ แต่สำหรับเราโอเค อินกว่าหนังบางแนวที่แบบ มีแนวหลักๆมาเลยว่าเป็น 'หนังรัก' หรือ 'หนังชีวิต' แต่ดูแล้วกลับไม่อินเท่าไหร่ แต่สำหรับเรื่องนี้มันผสมๆแนว มีทั้งรัก ครอบครัว ชีวิต และสำหรับเราหนังเรื่องนี้เล่าเรื่องทุกแนวได้ดีในระดับน่าพอใจเลยทีเดียว


แต่ถึงจะเห็นหรือไม่เห็น ยังไงมันก็สนุกมากอยู่ดี หรือไม่จริง?
แบบดูจบแล้วผู้ชมมีความสุขมากกว่าตอนที่เดินเข้าไปดูอะ ยิ้ม
แฮปปี้จนน้าตาคลอเลย เชื่อว่าคนที่ดูต้องเสียน้ำตาให้เรื่องนี้อย่างน้อยก็ต้องสักฉากสองฉากล่ะ


ความประทับใจต่องานภาพ/งานเพลง/นักแสดง
ที่เราชอบมากๆคือ ภาพ แสง สี เสียง โชว์และการออกแบบท่าเต้น ความหมายของแต่ละเพลง มันสวยงามมาก เพลงมันเล่าเรื่องทุกฉากออกมาได้อย่างดี ไม่รู้สึกว่ายัดเยียดหรือยืดเยื้อ เพลงทุกเพลงเข้ากับประเด็นในแต่ละฉากของหนัง และที่สำคัญมันเพราะมากกกก ติดหูจนออกจากโรงมาฮึมฮัมได้

เพลงที่ทำให้มีอารมณ์ร่วม เล่าเรื่องได้ดี และไพเราะผลคือเป็นหนัง musical ที่เราดูแล้วรู้สึกว่า ตื่นตา รื่นหู ไม่มีตอนที่น่าเบื่อเลย ทุกโชว์น่าสนใจมาก (ส่วนใหญ่เราดูหนังเพลงเราจะมีหาวๆบ้าง หรือบางทีรู้สึกว่าเพลงมันไม่ตรงอารมณ์ หรือแบบตัดออกไปก็ได้) อีกเรื่องที่รู้สึกแบบเรื่องนี้ สำหรับเรามีแค่ Chicago ที่แบบทุกเพลงทุกโชว์คือแบบว้าวว คำเดียว

แต่ละโชว์ทำให้มีอารมณ์คล้อยตาม อินไปได้ทุกฉากทุกบทเพลงจริงๆ อันนี้ยกนิ้วให้เลย อย่างเช่นตัวอย่าง
ฉากเจนนี่ร้องเพลง Never Enough เนี่ย คือหน้าเราอารมณ์แบบป๋าฮิวจ์เลยอะค่ะ แบบคือมันขนลุกเกรียว และเจนนี่คือสวยมากกกกก นางเอ้ย สวยอะไรขนาดนั้น ทั้งสวย ทั้งร้องเพราะ(ถึงจะไม่ใช่เสียงจริง) คือโดยรวมเพอร์ฟอร์แมนซ์นั้นคือมันตะลึงอ้าปากค้างไปเลย (อย่างที่หนังตั้งใจให้เรารู้สึก) ทำให้เชื่อจริงๆว่านี่คือตัวแทนชนชั้นสูง คือด้านอีกด้านที่สวยงาม ฉาบฉวย ที่ทำให้พระเอกหลงอยากจะก้าวสูงขึ้นไปอีก ขึ้นไปอีก...


พูดถึงนักแสดงหามาได้สวย หล่อ เหมาะกับบทบาท และเล่นดีมาก ถ่ายทอดอารมณ์กันได้ดีมากจริงๆ
อย่างตัวละครแชริตี้ แฟนพระเอก ก็เลือกมิเชล วิลเลี่ยมที่หน้าหวานๆ ชวนฝัน ดูใจดี ดูเป็นคนแบบ เออ ตรงกับคาแรกเตอร์อะ นายไปไหนชั้นไปด้วย แชร์ความฝันของเธอกับฉันสิ ให้ฉันเป็นส่วนหนึ่งในนั้น

ส่วนอันนี้ไบแอสเล็กน้อย 555 ชอบที่สุดคือชอบเจนนี่ ลินน์ สวยมวากกกกกกกกกกกกกก แล้วสวยแบบนี้ใครจะไม่หวั่นไหวคะแม่! ตอนดูล่ะเสียวพระเอกจะนอกใจนางเอกจริงๆ นึกว่าจะมาม่า แล้วเพลงที่นางร้องก็แบบ เธอออกเดินทางตามหาฝันร่วมกับฉัน... (แหม ท่อนนี้มีหันมาหาพระเอก) แสงไฟที่ดึงมาจากสปอร์ตไลท์ ดาวนับพันที่เราขโมยมาจากฟากฟ้า...ก็ไม่เคยเพียงพอสำหรับฉันเลย
หาคนมาได้ Slayyy บทมาก

นี่มันคือรีวิวตามความรู้สึกปะคะ 555 สำหรับคนดูแล้วเท่านั้นเลยถึงจะรู้ว่าเราบ่นอะไร แหะๆ
สรุปแล้ว เราชอบมากๆเลยค่ะ ดูแล้วอิ่ม ประทับใจ มันปริ่ม มีความสุข หลงรักหนังเรื่องนี้ หลงรักบทเพลง ขนลุกเกรียวกับหลายๆเพลงเลยตอนดู
ชอบเพลง A Million Dreams กับ Never Enough มากสุด รองมาก็ How Do We Rewrite The Stars
เพื่อนๆล่ะคะประทับใจอะไรบ้าง
ชื่อสินค้า:   The Greatest Showman
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่