ว่าด้วยผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม.

กระทู้คำถาม
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเเห็นเรา.ตถาคต
ผู้ใดเห็นความเป็นธรรมชาติของจิตซึ่งเป็นเช่นนั้นเอง ก็เราผู้นั้นแหละ יהוה
ผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ ผู้นั้นจะได้เห็นพระเจ้า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุดังนี้แล : ธรรมธาตุใด ในกรณีนั้น
อันเป็น ตถตา คือความเป็นอย่างนั้น,
เป็น อวิตถตา คือความไม่ผิดไปจาก ความเป็นอย่างนั้น,
เป็น อนัญญถตา คือความไม่เป็นไปโดยประการอื่น,
เป็น อิทัปปัจจยตา คือความที่ เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น;

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ธรรมนี้ เราเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท
(คือธรรมอัน เป็นธรรมชาติ ซึ่งอาศัยกันแล้วเกิดขึ้น) ย่อมเป็นหนึ่งเดียวกัน.
(สี่งที่เป็นเหตุเป็นปัจจัย ย่อมพึ่งอิงอาศัยซึ่งกันและกันแล้วเกิดขึ้นมีชึ้นเป็นขึ้น ตัดกันไม่ขาดนั้นเอง
ดั่งว่ารวมกันเราอยู่แยกจากกันเราตายนั้นแหละ ชีวิต ห้ามใจกันไม่ได้ )

เปรียบเหมือนอะไรดี น้ำ ฯ เป็นแหล่งกำเนิดของสิ่งมีชีวิต เพื่อการดำรงอยู่ของพืช
และสรรพสัตว์ ที่ไหนไม่มีน้ำปรากฎ ที่นั้นย่อมไม่มีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้น
เหมือนน้ำบริสุทธิ์ไร้สิ่งเจือปนที่ไหลมารวมกันเป็นหนึ่งเดียว จะไหลมาจากแห่งหนใด
หรืออยู่ที่ไหน ย่อมเป็นสภาพเหมือนกันทั้งหมด แยกกันไม่ออก ถ้าเป็นอย่างอื่น
ก็เรียกว่าน้ำจืด. น้ำเค็ม น้ำผลไม้ ฯลฯ เป็นต้น ต่างกันที่ความบริสุทธิ์ของน้ำนั้น
ไม่มีสารพิษ ไม่มีสี ไม่มีรส ไร้กลิ่นนั่นแหละ .น้ำใสใจจริง

เช่นดั่ง เพชรเม็ดหนึ่ง ต่างกันตรงไหน ? ก็ยังเป็นเพชรอยู่นั้นเอง (ความแข็ง) ค่าของคนอยู่ตรงไหน
ผู้ใดเกลียดชังผู้อิ่น ก็เท่ากับผู้นั้นเกลียดชังตนเองเช่นกัน ที่ได้เกิดมานั้น
(ใครจะโกรธ จะเกลียด ก็ชังหัวมัน รัก โลภ โกรธ หลง กิเลสตัณหา สุดท้ายกลายเป็น
ขี้เถ้าเหมือนกัน ...ก็ทำนองนั้น) ซึ่งไร้แก่นสาร หาประโยชน์มิได้
ทั้งนี้ทั้งนั้นทั้งปวงรวมกันแล้ว ก็ให้เราทั้งหลานรักซึ่งกันและกัน
ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมโลกมีชะตากรรมเดียวกันทั้งสิ้น.กรรมย่อมยุติธรรมเสมอ อย่าไปเดือดร้อนใจเลย

ปฏิจจสุปบาท ว่าด้วยกระแสความดับไปแห่งปัจจัยาการ (เมื่อไม่มีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงดับไป;
ว่ามีเขามีเราเป็นตัวตนของตน.หรือสัตว์ บุคคล;
ซึ่งกลับไปยัง.ไม่มีตัวผู้กระทำหรือหาตัวผู้ถูกกระทำไม่ได้ การกระทำที่ไม่มีผล อันเป็นโมฆะนั้นแหละ
ดั่งคำกล่าวไว้ ครั้นจิตหลุดพ้นแล้วก็เกิดญาณหยั่งรู้ว่า “จิตพ้นวิเศษแล้ว”
มิใช่จิตกลายไปเป็นอมตะ หรือล่องลอยไปเกิดที่ไหน

เมื่อแสงตะวันตกลับขอบฟ้าถึงกำหนดเวลาเราก็นอนกำลังหลับอยู่ ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ว่าเป็น หรือตาย
เปรียบเหมือน ลิงหลับสนิทแล้ว(นั้นแหละ เป็นวันบริสุทธิ์ของพวกเรา ได้หลับสนิท.ไม่มีฝัน

เมื่อแสงตะวันออกขึ้นจากขอบฟ้าถึงกำหนดเวลาของมันเรารู้สึกตื่นขึ้นเอง หรือมีสิ่งเข้ามากระทบแล้ว
เช่นเวลาปลุก ผู้ตื่น(ครั้งที่สอง)นั้นแหละ ผัสสะ ลิงตื่นแล้ว เปรียบเหมือน จิต+เจตสิก+รูป
(จิตที่ถูกปรุงแต่งแล้วยังไม่หมดอาสวะกิเลสหรือถูกกรรมตัดรอนเสียก่อน)(ถ้าจิตเห็นจิต ก็เท่ากับว่าตายแล้วเกิตใหม่)

แค่หมดหน้าที่ของเหตุปัจจัยเป็นตามสภาพเช่นนั้นเอง ไม่ได้เป็นอะไรเลย
ไม่มีสิ่งใดมาเปรียบเทียบได้ เป็นความดับไป แห่งราคะ โลภะโทสะ โมฆะ
คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหานั้นเอง นั้นแหละ กระหาย.ความดับร้อน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่