หลังจากคราวที่แล้วเราจบกันไปในตอนที่นาดีร์ทำการปฏิรูปศาสนา วันนี้เราจะมาเพิ่มรายละเอียดในเรื่องนั้นอีกสักเล็กน้อย (ย้ำว่าเล็กน้อยจริงๆ)
ในปี 1741 มีร์ซา โมฮัมหมัด มาดีร์ ข่าน มองซี (Mīrzā Moḥammad Mahdī Khan Monšī) นักประวัติศาสตร์ประจำราชสำนัก (ผู้แต่งหนังสือประวัติศาสตร์สงครามของนาดีร์ Tarikh-e-Jahangoshay-e-Naderi) และนักบวชชาวมุสลิม 8 คน บทหลวงอีก 8 คน (ชาวยุโรป 3 คนและชาวอามีเนีย 5 คน) ได้ทำการแปลคัมภีร์อัล กรุอ่าน และพระวารสารเป็นภาษาเปอร์เซีย หลังจากทำการแปลแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายนปีเดียวกันก็ได้นำไปถวายให้นาดีร์ แต่พระองค์ก็ไม่ได้ประทับใจมากนัก
รูปคัมภีร์อัล กรุอ่านฉบับภาษาเปอร์เซียในศตวรรษที่ 18
เรามาทำความรู้จักกับผู้แปลกันหน่อยดีกว่า สำหรับประวัติย่อๆของมีร์ซามีดังนี้
มีซา มีร์ดี ข่าน อาสตาราบาดีร์ หรือที่รู้จักกันในตำแหน่ง โมชิออล มามาเล็ก (Monshi-ol-Mamalek) เป็นทั้งราชเลขา นักประวัติศาสตร์ ที่ปรึกษา นักยุทธศาสตร์ และเพื่อนสนิทของชาห์นาดีร์ แม้ว่าเขาจะเป็นชาวอิหร่านผู้ที่มีชื่อเสียงอย่างมากในช่วงศตวรรษที่ 18 แต่มีข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตของเขาน้อยมาก โดยเขาเป็นบุตรของ โมฮัมหมัก นาชีร์ (Mohammad-Nasir) ชาวออสตราราบัต และใช้ชีวิตอยู่ในอิสฟาฮานในช่วงปลายราชวงศ์ซาฟาวิด
ในช่วงท้ายของสุลต่านฮุสเซ็นแห่งราชวงศ์ซาฟาวิด พวกอัฟกันได้โจมตีอิสฟาฮาน หลังจากนั้นนาดีร์ก็ได้ทำการขับไล่พวกอัฟกันออกไป เขาจึงได้รับใช้นาดีร์มานับแต่นั้น ในตำแหน่งราชหัตเลขา (head of the royal correspondence) (Monshi-ol-Mamalek) จนกระทั่งนาดีร์สถาปนาตนเป็นชาห์ หลังจากนั้นเขาก็ได้กลายเป็นผู้เขียนประวัติของนาดีร์
ในช่วงท้ายของสุลต่านฮุสเซ็น พวกอัฟกันได้โจมตีอิสฟาฮาน ภายหลังเมื่อนาดีร์ได้ทำการขับไล่พวกอัฟกันออกไป เขาก็ได้รับใช้นาดีร์มานับแต่นั้น ในตำแหน่งราชหัตเลขา (head of the royal correspondence) (Monshi-ol-Mamalek) จนกระทั่งนาดีร์สถาปนาตนเป็นชาห์ หลังจากนั้นเขาก็ได้กลายเป็นผู้เขียนประวัติของนาดีร์
รูปของมีร์ซา
เขาได้ติดตามนาดีร์ไปในการรบที่ดาเกสถาน (Dagestan) และบันทึกเหตุการณ์ที่นาดีร์นำทัพขึ้นฝั่งไว้ว่า “บัดนี้ธงของผู้พิชิตโลกกำลังจากเปอร์เซียไปสู่ดาเกสถาน”
ต้นปี 1747 อาสตราราบาดีได้ส่งทูตไปยังออตโตมันเพื่อให้สัตยาบันในสนธิสัญญาเคอร์เด็น (Treaty of Kerden) แต่เมื่อทูตเดินทางไปถึงแบกแดด นารดีร์ชาห์ก็สวรรคตลง ทำให้คณะทูตต้องเดินทางกลับเปอร์เซีย หลังจากนั้นเขาก็เกษียณตัวเอง และอุทิศเวลาที่เหลือให้กับการทำงานทางด้านภาษาศาสตร์และประวัติศาสตร์ให้เสร็จ ที่เขาได้รวมรวมตั้งแต่สมัยรับราชการกับนาดีร์
งานของเขา
เขาได้เขียนหนังสือประวัติของนาดีร์ ซึ่งถูกนำไปใช้เรียนในมหาวิทยาลัยเยล และหนังสือคู่มือการเรียนภาษาเติร์กให้ชาวเปอร์เซีย (A Persian Guide to the Turkish Language)
ในปี 1768 พระเจ้าคริสเตียนที่ 7 แห่งเดนมาร์กได้เดินทางไปอังกฤษ และพบหนังสือประวัตินาดีร์ชาห์ ก่อนจะให้เซอร์วิลเลียม โจน (Sir William Jones (1746-1794) ทำการแปลเป็นภาษาฝรั่งเศส และทำการตีพิมพ์ในชื่อ Histoire de Nader Chah (ประวัติของนาดีร์ชาห์) ในปี 1770 ซึ่งฉบับการแปลของเซอร์วิลเลียมโจนนี้ ได้ถูกแปลต่อเป็นภาษาเยอรมันและจอร์เจียอีกต่อหนึ่ง
รูปหนังสือ Jahangusha-i Naderi ที่เมืองมาชฮัด
หนังสือ Jahangusha-i Naderi เป็นหนังสือเกี่ยวกับสงครามในสมัยของนาดีร์ชาห์ เขียนโดยมีร์ซา และเป็นหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อิหร่านในสมัยของนาดีร์ชาห์ที่ดีที่สุด โดยผู้เขียนนั้นได้เข้าร่วมและพบเจอเหตุการณ์จำนวนมากกับตาของตนเอง เดิมหนังสือนี้ชื่อ Tarikh-i Naderi แต่เป็นที่รู้จักกันในชื่อนี้ในสมัยหลัง ส่วนตัวผู้เขียนเรียกหนังสือเล่มนี้ว่า Ruznamcha-i Zafar หนังสือได้บรรยายเหตุการณ์ของเปอร์เซียในช่วงปี 1708 ถึง 1748 (ปีหลังจากนาดีร์สวรรคต) นอกจากนี้เขายังได้เขียนหนังสือ Darra-i Nader ซึ่งเป็นหนังสือ Jahangusha-i Naderi แบบย่อ
-ต้องขออภัยผู้อ่านทุกท่านสำหรับความล่าช้าในการทำกระทู้ครั้งนี้นะครับ โดยกระทู้นี้เป็นกระทู้สุดท้ายของชุดนาดีร์แล้ว ยังไงก็ติดตามกันต่อด้วยนะครับ ^ ^
ปล.กระทู้นี้ได้แก้คำผิดเท่าที่จะสามารถทำได้ออกไป โดยชื่อภาษาไทยบางชื่อจะแตกต่างไปจากกระทู้ก่อนๆ ก็เพราะว่าต้องการให้สะกดถูกต้อง และจะตามไปแก้ไขในกระทู้ก่อนๆโดยเร็วที่สุด ส่วนเรื่องคำทับศัพท์นั้นก็อาจจะมีผิดพลาดเหมือนเดิม ถ้ามีใครพบเห็นคำสะกดผิดหรือทับศัพท์ผิด รบกวนคอมเม้นท์ไว้เลยนะครับ จะได้ทำการแก้ไขให้ถูกต้อง
ลิ้งก์ตอนเก่าๆนะครับ
ตอนที่1 :
https://pantip.com/topic/36889747
ตอนที่2 :
https://pantip.com/topic/36974125
ตอนที่3 :
https://pantip.com/topic/37068415
ชาร์นาร์เดอร์ นโปเลียนแห่งเปอร์เซีย IV
ในปี 1741 มีร์ซา โมฮัมหมัด มาดีร์ ข่าน มองซี (Mīrzā Moḥammad Mahdī Khan Monšī) นักประวัติศาสตร์ประจำราชสำนัก (ผู้แต่งหนังสือประวัติศาสตร์สงครามของนาดีร์ Tarikh-e-Jahangoshay-e-Naderi) และนักบวชชาวมุสลิม 8 คน บทหลวงอีก 8 คน (ชาวยุโรป 3 คนและชาวอามีเนีย 5 คน) ได้ทำการแปลคัมภีร์อัล กรุอ่าน และพระวารสารเป็นภาษาเปอร์เซีย หลังจากทำการแปลแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายนปีเดียวกันก็ได้นำไปถวายให้นาดีร์ แต่พระองค์ก็ไม่ได้ประทับใจมากนัก
รูปคัมภีร์อัล กรุอ่านฉบับภาษาเปอร์เซียในศตวรรษที่ 18
เรามาทำความรู้จักกับผู้แปลกันหน่อยดีกว่า สำหรับประวัติย่อๆของมีร์ซามีดังนี้
มีซา มีร์ดี ข่าน อาสตาราบาดีร์ หรือที่รู้จักกันในตำแหน่ง โมชิออล มามาเล็ก (Monshi-ol-Mamalek) เป็นทั้งราชเลขา นักประวัติศาสตร์ ที่ปรึกษา นักยุทธศาสตร์ และเพื่อนสนิทของชาห์นาดีร์ แม้ว่าเขาจะเป็นชาวอิหร่านผู้ที่มีชื่อเสียงอย่างมากในช่วงศตวรรษที่ 18 แต่มีข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตของเขาน้อยมาก โดยเขาเป็นบุตรของ โมฮัมหมัก นาชีร์ (Mohammad-Nasir) ชาวออสตราราบัต และใช้ชีวิตอยู่ในอิสฟาฮานในช่วงปลายราชวงศ์ซาฟาวิด
ในช่วงท้ายของสุลต่านฮุสเซ็นแห่งราชวงศ์ซาฟาวิด พวกอัฟกันได้โจมตีอิสฟาฮาน หลังจากนั้นนาดีร์ก็ได้ทำการขับไล่พวกอัฟกันออกไป เขาจึงได้รับใช้นาดีร์มานับแต่นั้น ในตำแหน่งราชหัตเลขา (head of the royal correspondence) (Monshi-ol-Mamalek) จนกระทั่งนาดีร์สถาปนาตนเป็นชาห์ หลังจากนั้นเขาก็ได้กลายเป็นผู้เขียนประวัติของนาดีร์
ในช่วงท้ายของสุลต่านฮุสเซ็น พวกอัฟกันได้โจมตีอิสฟาฮาน ภายหลังเมื่อนาดีร์ได้ทำการขับไล่พวกอัฟกันออกไป เขาก็ได้รับใช้นาดีร์มานับแต่นั้น ในตำแหน่งราชหัตเลขา (head of the royal correspondence) (Monshi-ol-Mamalek) จนกระทั่งนาดีร์สถาปนาตนเป็นชาห์ หลังจากนั้นเขาก็ได้กลายเป็นผู้เขียนประวัติของนาดีร์
รูปของมีร์ซา
เขาได้ติดตามนาดีร์ไปในการรบที่ดาเกสถาน (Dagestan) และบันทึกเหตุการณ์ที่นาดีร์นำทัพขึ้นฝั่งไว้ว่า “บัดนี้ธงของผู้พิชิตโลกกำลังจากเปอร์เซียไปสู่ดาเกสถาน”
ต้นปี 1747 อาสตราราบาดีได้ส่งทูตไปยังออตโตมันเพื่อให้สัตยาบันในสนธิสัญญาเคอร์เด็น (Treaty of Kerden) แต่เมื่อทูตเดินทางไปถึงแบกแดด นารดีร์ชาห์ก็สวรรคตลง ทำให้คณะทูตต้องเดินทางกลับเปอร์เซีย หลังจากนั้นเขาก็เกษียณตัวเอง และอุทิศเวลาที่เหลือให้กับการทำงานทางด้านภาษาศาสตร์และประวัติศาสตร์ให้เสร็จ ที่เขาได้รวมรวมตั้งแต่สมัยรับราชการกับนาดีร์
งานของเขา
เขาได้เขียนหนังสือประวัติของนาดีร์ ซึ่งถูกนำไปใช้เรียนในมหาวิทยาลัยเยล และหนังสือคู่มือการเรียนภาษาเติร์กให้ชาวเปอร์เซีย (A Persian Guide to the Turkish Language)
ในปี 1768 พระเจ้าคริสเตียนที่ 7 แห่งเดนมาร์กได้เดินทางไปอังกฤษ และพบหนังสือประวัตินาดีร์ชาห์ ก่อนจะให้เซอร์วิลเลียม โจน (Sir William Jones (1746-1794) ทำการแปลเป็นภาษาฝรั่งเศส และทำการตีพิมพ์ในชื่อ Histoire de Nader Chah (ประวัติของนาดีร์ชาห์) ในปี 1770 ซึ่งฉบับการแปลของเซอร์วิลเลียมโจนนี้ ได้ถูกแปลต่อเป็นภาษาเยอรมันและจอร์เจียอีกต่อหนึ่ง
รูปหนังสือ Jahangusha-i Naderi ที่เมืองมาชฮัด
หนังสือ Jahangusha-i Naderi เป็นหนังสือเกี่ยวกับสงครามในสมัยของนาดีร์ชาห์ เขียนโดยมีร์ซา และเป็นหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อิหร่านในสมัยของนาดีร์ชาห์ที่ดีที่สุด โดยผู้เขียนนั้นได้เข้าร่วมและพบเจอเหตุการณ์จำนวนมากกับตาของตนเอง เดิมหนังสือนี้ชื่อ Tarikh-i Naderi แต่เป็นที่รู้จักกันในชื่อนี้ในสมัยหลัง ส่วนตัวผู้เขียนเรียกหนังสือเล่มนี้ว่า Ruznamcha-i Zafar หนังสือได้บรรยายเหตุการณ์ของเปอร์เซียในช่วงปี 1708 ถึง 1748 (ปีหลังจากนาดีร์สวรรคต) นอกจากนี้เขายังได้เขียนหนังสือ Darra-i Nader ซึ่งเป็นหนังสือ Jahangusha-i Naderi แบบย่อ
-ต้องขออภัยผู้อ่านทุกท่านสำหรับความล่าช้าในการทำกระทู้ครั้งนี้นะครับ โดยกระทู้นี้เป็นกระทู้สุดท้ายของชุดนาดีร์แล้ว ยังไงก็ติดตามกันต่อด้วยนะครับ ^ ^
ปล.กระทู้นี้ได้แก้คำผิดเท่าที่จะสามารถทำได้ออกไป โดยชื่อภาษาไทยบางชื่อจะแตกต่างไปจากกระทู้ก่อนๆ ก็เพราะว่าต้องการให้สะกดถูกต้อง และจะตามไปแก้ไขในกระทู้ก่อนๆโดยเร็วที่สุด ส่วนเรื่องคำทับศัพท์นั้นก็อาจจะมีผิดพลาดเหมือนเดิม ถ้ามีใครพบเห็นคำสะกดผิดหรือทับศัพท์ผิด รบกวนคอมเม้นท์ไว้เลยนะครับ จะได้ทำการแก้ไขให้ถูกต้อง
ลิ้งก์ตอนเก่าๆนะครับ
ตอนที่1 : https://pantip.com/topic/36889747
ตอนที่2 : https://pantip.com/topic/36974125
ตอนที่3 : https://pantip.com/topic/37068415