ผมลงทุน
"โปรแกรมออมหุ้น" ของ บล.ฟิลลิป ครับผม (
Share Builders Plan)
ผมออมหุ้นตัวละ 1,000 บาท ซื้อครั้งแรกตอนเดือน มีนาคม 2560
นี่ก็สิ้นปีแล้ว ผ่านไปเป็นระยะเวลา 10 เดือนพอดี
หมายเหตุ :
AOT ซื้อทุกเดือน ตั้งแต่ มี.ค. - ธ.ค. 60
MAJOR ซื้อตั้งแต่ มี.ค. - ก.ย. 60 (ตั้งแต่เดือน ต.ค. ผมก็บอกให้ บล.ฟิลลิป หยุดซื้อ)
ลองวิเคราะห์พอร์ตตัวเอง ก็รู้สึกว่า ผมคิดถูกมาก ๆ ที่ซื้อหุ้น
AOT เอาไว้ (ตอนที่ผมซื้อครั้งแรกเดือน มี.ค. เป็นช่วงแรก ๆ ที่
AOT แตกพาร์)
ผมเชื่อว่า "การท่องเที่ยว" คือ รายได้หลักที่สำคัญกับประเทศไทยมาก ๆ และรัฐบาลทุกรัฐบาล ก็พยามโปรโมทการท่องเที่ยวไทยเสมอ
รวมถึง การที่
AOT พยามต่อเติมก่อสร้างส่วนต่อขยายสนามบินหลาย ๆ แห่ง ทั้ง สุวรรณภูมิ เฟส 2, ดอนเมือง เฟส 3, ท่าอากาศยานเชียงใหม่ เฟส 1
ประกอบกับ กทม. ได้รับการคัดเลือกจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก ให้เป็นเมืองที่น่าเที่ยวที่สุดในโลกประจำปี 2017
ด้วยหลาย ๆ ปัจจัยที่ผมกล่าวมา ก็อาจจะมีผลทำให้ราคาหุ้นทำ New High สูงขึ้นเรื่อย ๆ
แน่นอนว่าค่า PE ของหุ้น
AOT นั้น สูงทะลุจักรวาลไปแล้ว ต้องยอมรับว่ามันแพงโคตร ๆ แต่ผมก็อาศัย "วินัย" ซื้อทุกเดือน (เพราะผมวิเคราะห์มูลค่าหุ้นไม่เป็น)
แต่ถ้าดูจากกำไร ผมค่อนข้างโอเคกับ
AOT นะ ดีใจที่ตัวเองคิดถูกที่ซื้อหุ้นตัวนี้เก็บไว้ในพอร์ต (คิดว่า ก็คงเก็บยาวแหละ ถ้าเทรนด์การท่องเที่ยว ยังเป็นรายได้หลักของประเทศไทยในอนาคต)
ส่วนหุ้นอีกตัวคือ
MAJOR บอกตรง ๆ ว่า ผมซื้อเพราะชอบดูหนังในโรงหนังล้วน ๆ ประกอบกับ ตอนที่ซื้อครั้งแรก คิดว่าได้ปันผลเฉลี่ยประมาณ 4% ต่อปี ก็น่าจะอุ่นใจได้
แต่พูดตรง ๆ ก็คือ ผมคิดว่าในระยะยาวแล้ว ด้วยเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต ที่ทำให้คนเราสามารถดูหนังใหม่ ๆ ทางออนไลน์ได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น จะทำให้คนเข้าไปดูหนังในโรงหนังน้อยลง
ยกตัวอย่าง Netflix ที่เริ่มทำ Content สร้างหนัง สร้างซีรี่ส์ของตัวเองแล้ว และได้รับความนิยมสูงด้วย
ผมเข้าไปฟัง Opp Day ถึงแม้ว่า
MAJOR จะเคยบอกจุดเด่นเอาไว้ว่า ธุรกิจโรงภาพยนตร์ คือขาย "ความสดใหม่ของหนังภาพยนตร์"
แต่พอผมได้ไปดูหนังในโรงหนัง เสาร์-อาทิตย์ บ่อย ๆ ผมกลับรู้สึกว่า คนไม่ได้เต็มโรงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ถึงแม้จะหนังฟอร์มยักษ์ก็ตาม
ทีแรก ผมคิดว่าไว้ว่า จะรอให้ห้าง Icon Siam เปิดให้บริการก่อน แล้วค่อยดูฟีดแบ็คอีกที
เพราะที่สาขา Icon Siam จะมีโรง IMAX ด้วย ผมก็เลยคิดว่า สาขาใหม่ อาจจะช่วยสร้างกำไรให้
MAJOR เพิ่มขึ้นได้บ้าง
ลองมาดูงบการเงิน ผลการดำเนินของบริษัท MAJOR ผมว่าก็ "ทรง ๆ" คือ ไม่โตแบบก้าวกระโดด แต่ก็ไม่ได้กำไรเพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่ (แต่ไม่ขาดทุน)
ถ้ามองแค่ว่า เอาปันผลประมาณ 4% ก็อาจจะพอลงทุนได้ เพราะรายได้ค่อนข้างสม่ำเสมอ
แต่มาลองคิด ๆ ดูแล้ว ผมว่าเทรนด์การดูหนังในโรงหนัง มันไม่ค่อยได้รับความนิยมสำหรับคนส่วนใหญ่ซักเท่าไหร่แล้ว
ก็เลยคิดว่า หลังปีใหม่ ผมขาย MAJOR แน่ ๆ เพราะถ้าขืนปล่อยเอาไว้ ก็กลัวราคามันจะตกลงไปมากกว่านี้ (ได้ปันผลมา ก็ไม่คุ้มกับราคาหุ้นที่ลดลง)
ทั้งหมดเป็นความเห็นส่วนตัว เกี่ยวกับพอร์ตของผมเอง ลองวิเคราะห์เล่น ๆ ดู
ตอนนี้ก็ยังคิดไม่ออกว่า ขายหุ้น
MAJOR ไปแล้ว จะไปออมหุ้นตัวไหนดี
จะให้มีแต่
AOT ตัวเดียวทั้งพอร์ต ถึงบริษัทจะโตมากขนาดไหน แต่ก็ดูจะเสี่ยงมากไปหน่อย (อยากได้ในพอร์ตซัก 3-5 ตัว)
ก็ประมาณนี้แหละครับ
ขอบคุณทุกคำตอบครับ
โชว์พอร์ตตัวเอง DCA ระยะเวลา 10 เดือน + ลองวิเคราะห์พอร์ตตัวเอง
ผมลงทุน "โปรแกรมออมหุ้น" ของ บล.ฟิลลิป ครับผม (Share Builders Plan)
ผมออมหุ้นตัวละ 1,000 บาท ซื้อครั้งแรกตอนเดือน มีนาคม 2560
นี่ก็สิ้นปีแล้ว ผ่านไปเป็นระยะเวลา 10 เดือนพอดี
หมายเหตุ : AOT ซื้อทุกเดือน ตั้งแต่ มี.ค. - ธ.ค. 60
MAJOR ซื้อตั้งแต่ มี.ค. - ก.ย. 60 (ตั้งแต่เดือน ต.ค. ผมก็บอกให้ บล.ฟิลลิป หยุดซื้อ)
ลองวิเคราะห์พอร์ตตัวเอง ก็รู้สึกว่า ผมคิดถูกมาก ๆ ที่ซื้อหุ้น AOT เอาไว้ (ตอนที่ผมซื้อครั้งแรกเดือน มี.ค. เป็นช่วงแรก ๆ ที่ AOT แตกพาร์)
ผมเชื่อว่า "การท่องเที่ยว" คือ รายได้หลักที่สำคัญกับประเทศไทยมาก ๆ และรัฐบาลทุกรัฐบาล ก็พยามโปรโมทการท่องเที่ยวไทยเสมอ
รวมถึง การที่ AOT พยามต่อเติมก่อสร้างส่วนต่อขยายสนามบินหลาย ๆ แห่ง ทั้ง สุวรรณภูมิ เฟส 2, ดอนเมือง เฟส 3, ท่าอากาศยานเชียงใหม่ เฟส 1
ประกอบกับ กทม. ได้รับการคัดเลือกจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก ให้เป็นเมืองที่น่าเที่ยวที่สุดในโลกประจำปี 2017
ด้วยหลาย ๆ ปัจจัยที่ผมกล่าวมา ก็อาจจะมีผลทำให้ราคาหุ้นทำ New High สูงขึ้นเรื่อย ๆ
แน่นอนว่าค่า PE ของหุ้น AOT นั้น สูงทะลุจักรวาลไปแล้ว ต้องยอมรับว่ามันแพงโคตร ๆ แต่ผมก็อาศัย "วินัย" ซื้อทุกเดือน (เพราะผมวิเคราะห์มูลค่าหุ้นไม่เป็น)
แต่ถ้าดูจากกำไร ผมค่อนข้างโอเคกับ AOT นะ ดีใจที่ตัวเองคิดถูกที่ซื้อหุ้นตัวนี้เก็บไว้ในพอร์ต (คิดว่า ก็คงเก็บยาวแหละ ถ้าเทรนด์การท่องเที่ยว ยังเป็นรายได้หลักของประเทศไทยในอนาคต)
ส่วนหุ้นอีกตัวคือ MAJOR บอกตรง ๆ ว่า ผมซื้อเพราะชอบดูหนังในโรงหนังล้วน ๆ ประกอบกับ ตอนที่ซื้อครั้งแรก คิดว่าได้ปันผลเฉลี่ยประมาณ 4% ต่อปี ก็น่าจะอุ่นใจได้
แต่พูดตรง ๆ ก็คือ ผมคิดว่าในระยะยาวแล้ว ด้วยเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต ที่ทำให้คนเราสามารถดูหนังใหม่ ๆ ทางออนไลน์ได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น จะทำให้คนเข้าไปดูหนังในโรงหนังน้อยลง
ยกตัวอย่าง Netflix ที่เริ่มทำ Content สร้างหนัง สร้างซีรี่ส์ของตัวเองแล้ว และได้รับความนิยมสูงด้วย
ผมเข้าไปฟัง Opp Day ถึงแม้ว่า MAJOR จะเคยบอกจุดเด่นเอาไว้ว่า ธุรกิจโรงภาพยนตร์ คือขาย "ความสดใหม่ของหนังภาพยนตร์"
แต่พอผมได้ไปดูหนังในโรงหนัง เสาร์-อาทิตย์ บ่อย ๆ ผมกลับรู้สึกว่า คนไม่ได้เต็มโรงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ถึงแม้จะหนังฟอร์มยักษ์ก็ตาม
ทีแรก ผมคิดว่าไว้ว่า จะรอให้ห้าง Icon Siam เปิดให้บริการก่อน แล้วค่อยดูฟีดแบ็คอีกที
เพราะที่สาขา Icon Siam จะมีโรง IMAX ด้วย ผมก็เลยคิดว่า สาขาใหม่ อาจจะช่วยสร้างกำไรให้ MAJOR เพิ่มขึ้นได้บ้าง
ลองมาดูงบการเงิน ผลการดำเนินของบริษัท MAJOR ผมว่าก็ "ทรง ๆ" คือ ไม่โตแบบก้าวกระโดด แต่ก็ไม่ได้กำไรเพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่ (แต่ไม่ขาดทุน)
ถ้ามองแค่ว่า เอาปันผลประมาณ 4% ก็อาจจะพอลงทุนได้ เพราะรายได้ค่อนข้างสม่ำเสมอ
แต่มาลองคิด ๆ ดูแล้ว ผมว่าเทรนด์การดูหนังในโรงหนัง มันไม่ค่อยได้รับความนิยมสำหรับคนส่วนใหญ่ซักเท่าไหร่แล้ว
ก็เลยคิดว่า หลังปีใหม่ ผมขาย MAJOR แน่ ๆ เพราะถ้าขืนปล่อยเอาไว้ ก็กลัวราคามันจะตกลงไปมากกว่านี้ (ได้ปันผลมา ก็ไม่คุ้มกับราคาหุ้นที่ลดลง)
ทั้งหมดเป็นความเห็นส่วนตัว เกี่ยวกับพอร์ตของผมเอง ลองวิเคราะห์เล่น ๆ ดู
ตอนนี้ก็ยังคิดไม่ออกว่า ขายหุ้น MAJOR ไปแล้ว จะไปออมหุ้นตัวไหนดี
จะให้มีแต่ AOT ตัวเดียวทั้งพอร์ต ถึงบริษัทจะโตมากขนาดไหน แต่ก็ดูจะเสี่ยงมากไปหน่อย (อยากได้ในพอร์ตซัก 3-5 ตัว)
ก็ประมาณนี้แหละครับ
ขอบคุณทุกคำตอบครับ