พอดีว่าเพื่อนคนหนึ่งเจอปัญหามาครับ ผมเลยชวนให้เขามาอยู่ร่วมกับที่บ้านผมด้วย โดยนอนห้องเดียวกับผม เขาเป็นคนน่ารักครับ ที่บ้านรักเขามาก โดยเฉพาะคุณแม่ (ถามผมด้วยว่าคนนี้คือเขยแม่ใช่ไหม) จนตอนนี้ก็เดือนกว่าๆ จะสองเดือนแล้วครับ ซึ่งผมรักคนๆ นี้มามากกว่าสิบปีแล้ว (ตอนนี้สามสิบกว่าๆ แล้วครับ) และเขาเองก็รู้มาโดยตลอด (เขาก็ชอบผู้ชายครับแต่ก็เคยมีแฟนเป็นผู้หญิงและคบนานสุดมากกว่าแฟนผู้ชายคนไหนๆ เลย) แต่ที่ผ่านมาเรามีสิทธิ์ได้เป็นแค่พี่ชายเสมอ และเป็นคนที่เขาไม่ยอมเปิดใจให้เคลื่อนต่อไปเลย ในขณะที่คนอื่นๆ ที่เข้ามาเขายอมให้ตัวเองได้ทดลองคบหาขยับและสานความสัมพันธ์ได้ แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ผมน้อยใจมาเสมอครับแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะความรู้สึกผมมันข้ามผ่านความรักแบบอยากได้เป็นเจ้าของมากๆ มานานแล้ว เป็นอยากดูแลให้ดีที่สุดเมื่อเกิดปัญหา แต่แน่นอนว่าลึกๆ แล้วเราก็ยังหวังครับว่าเราจะมีโอกาสได้ใช้ชีวิตร่วมกับเขาบ้างสักที เพราะที่บ้านเองก็ชอบเขาทั้งนั้นครับ (ทั้งคู่ไม่แสดงออกนะครับ แต่คนที่บ้านผมทราบ)
ก่อนหน้านี้เขาเจอปัญหาหนักมาก ผมเลยรับเขามาอยู่ด้วยกันที่บ้าน จนผ่านไปประมาณหนึ่งสัปดาห์แม่ก็ให้เขาเข้ามาอยู่ด้วยยาวและให้เขาคืนที่อยู่เก่าครับ เพราะแม่เองก็เห็นว่ามันเปลือง เลยอยู่ด้วยกันตั้งแต่นั้นมา เขาเจอเรื่องร้ายที่ร้ายมากจริงๆ ผมก็ดีใจที่มีโอกาสได้ดูแลเขาในช่วงนั้น และบอกเสมอว่าอยากให้เขาหายดีและเตรียมก้าวต่อไปในชีวิตของตัวเองได้อีกครั้งครับ สิ่งที่ผมทำได้ก็แค่นั่งคุยเป็นเพื่อน คอยกอดแน่นๆ เวลาที่เค้าเกิดความเครียด และจับมือเขาไว้แน่นๆ และคอยบอกเขาว่าเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแล้วครับ
เหมือนทุกอย่างจะดีขึ้น ผมอาจคิดไปเอง แต่สำหรับผมคือเขาค่อยๆ ยิ้มจริงๆ ได้อีก และเหมือนจะเริ่มเปิดใจเปิดโอกาสให้ผมบ้าง ตอนนั้นผมมีความสุขมากเลยครับ และคิดกับตัวเองตลอดว่าจะดูแลให้ดีและจะไม่ให้เขาต้องเสียใจเรื่องแบบนี้อีก ผมเคยพูดกับเขาเสมอว่าเขาไม่ควรเจอเรื่องแบบนี้เลย ไม่ควรเป็นอันขาด และในตอนนั้นผมคิดว่าผมมีโอกาสแล้วจริงๆ ก็เลยดูแลเขาด้วยความรักแบบที่ผมให้ได้โดยลืมกั้นระยะให้ตัวเองไปเลยครับ
มันเป็นช่วงเวลาสั้นๆ มากครับ แค่ไม่กี่วันเท่านั้นเองที่ผมได้รู้สึกแบบนั้น ผมได้นอนกอดเขาได้ ดึงเขาเข้ามากอดได้ และพูดคุยเล่นด้วยโดยเขาก็ตอบข้อความหรือคุยกันตลอดได้อย่างไม่ตะขิดจะขวงใจ น่าจะเป็นครั้งแรกๆ เลยที่ผมได้รู้สึกแบบนั้นจริงๆ ตลอดช่วงห้า-หกปีหลังนี้ เหมือนผมไม่มีฟิลเตอร์กับเขาแล้ว และเขาก็ยอมให้ผมเข้าไปในโลกของเขาบ้าง แต่วันหนึ่งผมต้องเดินทางไปทำงานที่ต่างจังหวัดครับ มันเป็นช่วงเวลาที่ปัญหาเรื่องเดิมของเขากลับมาอีกครั้งพอดี เขาก็เครียด ผมเลยบอกว่างั้นไปกับผมเลย ถือโอกาสไปเที่ยวด้วยกันด้วย
ตอนแรกเขาก็ลังเลครับ แต่ไม่ได้ลังเลว่าไม่อยากไป แต่ลังเลเพราะมีนัดงานสำคัญของเพื่อนคนหนึ่งในวันที่ต้องเดินทางไป แต่เค้าก็โทรไปแคลเซิลเพื่อตั้งใจว่าจะไปด้วยกันครับ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ไปเพราะหลังจากเช็คไฟลต์บินที่ตอนแรกคิดว่ามีแน่ๆ ก็ติดปัญหาเรื่องไฟลต์บินที่ไม่มีเวลาหลังจากที่เขาเลิกงานแล้ว เลยทำให้ตามไปไม่ได้ วันรุ่งขึ้นผมเลยต้องไปคนเดียวกัน ระหว่างนั้นผมรู้ว่าเขาเครียดก็พยายามทำให้หายเครียด คุยด้วยเสมอทางไลน์ และโทรหาเมื่อทำได้ครับ ซึ่งเหมือนทุกอย่างจะดีมากแล้วจริงๆ เหมือนเขาจะเปิดโอกาสให้ผมแล้วจริงๆ ครับ แต่ท้ายที่สุดผมก็คิดไปเองอยู่ดี ขนาดพยายามมากแค่ไหนแล้วที่จะไม่คิดเองเอออ้างอีกครั้ง เพราะก็ไม่อยากจะเจ็บอีกแล้ว
ผมไปทำงาน วันนั้นเขาก็ไปงานเพื่อนครับ ผมทำตัวงี่เง่านิดหน่อยเพราะผมคิดถึงเขาและเป็นห่วงไม่อยากให้อยู่คนเดียว เลยเสร็จงานแล้วรีบเลื่อนไฟลต์บินกลับมา ซึ่งเขาบอกผมว่าคืนนั้นเค้าจะไม่กลับ เค้าจะไปต่อกับเพื่อนเพราะเป็นงานฉลอง ผมก็เฟลนิดๆ ครับเพราะเราอยากกลับมาหากลัวเขาคิดมาก และเราเหนื่อยและอยากมาหากอดอุ่นๆ ของเขาเพื่อชาร์จพลังหน่อย ก็งอแงนิดๆ แต่ก็ไม่เป็นไร ก็ต้องให้เขาไปกับเพื่อนเค้าถ้ามันทำให้เค้าหายคิดมากได้ครับ
วันต่อมาเขาก็กลับมาที่บ้าน ก็ไม่มีอะไร ผมก็เหมือนจะงี่เง่าแสดงอาการงอนๆ ไปหน่อย (เป็นคนน้อยใจง่ายแต่หายไวครับ) อาจเพราะเหนื่อยๆ จากงานอยู่ด้วย เย็นวันนั้นเขาก็ชวนผมออกไปวิ่งครับ เลยออกไปวิ่งกันในหมู่บ้าน วิ่งไปสักพักเขาก็บอกผมว่ามีคนหนึ่งเข้ามาคุยด้วยตอนวันที่เขาไปงานเพื่อน ในใจผมสะดุดครับ สะดุดมาก และเหมือนจะค่อยๆ รู้ตัวแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป อยากรั้งมากครับ อยากรั้งและถามเขาว่าแล้วผมล่ะ แต่ผมก็รู้ว่าไม่มีสิทธิ์อะไร แต่ในหัวก็คิดอีกแง่ว่ามันก็ดี เผื่อคนๆ นี้จะช่วยให้เขาเดินออกจากความเครียดในเรื่องก่อนหน้าที่เป็นอยู่ได้ เลยบอกเขาว่าให้ลองดูครับ และก็บอกเขาว่าผมคิดยังไง ผมยังรักเขาอยู่เสมอและยังอยากให้มันเป็นไปได้ แต่เขาก็บอกว่าเขาให้ผมเป็นพี่ชายเท่านั้น ผมถามว่าทำไม เขาบอกว่ามันก็ไม่มีเหตุผล แต่หากต้องการเหตุผลจริงๆ ก็เพราะเขาไม่เคยเชื่อความสัมพันธ์แบบนี้เลย (ชาย-ชาย) เพราะแฟนเขาที่เคยคบนานสุดก็เป็นผู้หญิง ส่วนผู้ชายนั้นเต็มที่ก็ 4 เดือน เขาเลยไม่เชื่อความสัมพันธ์แบบนี้ และเขาจะคีฟผมไว้เป็นพี่ชาย
ผมเสียใจครับ เสียใจมาก แต่ไม่เคยจะร้องไห้ต่อหน้าเขา และไม่ทำแน่ๆ เพราะเมื่อไหร่ผมแค่เผลอน้ำตาคลอ เขาจะนิ่งและน้ำตาคลอและถามว่าเขาทำผมร้องไห้เหรอ แล้วก็เศร้าไปอยู่ในโลกตรงนั้น ต้องคอยบอกเขาว่าไม่เป็นไร ปัญหาเรื่องนี้เป็นของผมดังนั้นผมต้องเป็นคนจัดการกับความเศร้านี้เอง ส่วนเขาก็ต้องมูฟออนไปไม่ว่าเรื่องอะไร แล้วหลังจากนั้นเขาก็เริ่มคุยกับคนที่เข้ามาใหม่ในวันนั้นครับ
เดตแรกของเขาผมก็ถามว่าเป็นไง เขาก็บอกว่าเขาก็คิดว่าโอเคนะ ผมเลยถามเขาว่าตอบตัวเองให้ได้แค่มีความสุขไหม และเขาบอกว่ามีนะ มีจนเขาถามตัวเองว่าเขาสมควรมีความสุขเหรอ ในเมื่อคนที่รักเขา (ผมคิดว่าหมายถึงผม) ยังไม่มีโอกาสมีความสุขเลย ผมก็ถามเขาว่าแล้วคำตอบที่เขาตอบตัวเองคืออะไร เขาก็เงียบ ผมเลยบอกเขาว่าเขาไม่สามารถไม่เป็นบาดแผลในชีวิตผมได้หรอก ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องเสียใจอยู่แล้ว ดังนั้นเอาตัวเองให้หายดี ถ้ามันมีความสุข ก็ควรเดินหน้าต่อไป และอยู่กับความสุขนั้น ซึ่งผมคิดแบบนั้นจริงๆ เพราะเขาบอกว่าเขาได้หัวเราะ ได้ยิ้มออก และผมอยากให้เขาหัวเราะและยิ้มได้มากกว่าอะไรทั้งสิ้นเลยครับ เคยบอกเขาหลายครั้งมากว่าผมมีความสุขที่เห็นเขายิ้มและได้ยินเสียงหัวเราะของเขา แต่ก็บอกเขาไปในวันนั้นเหมือนกันว่าผมน้อยใจนิดๆ ที่ผมเหมือนจะไม่สามารถทำให้เขายิ้มหรือหัวเราะได้เลย (ทั้งๆ ที่ตามที่บอกไปข้างบน ผมคิดว่าผมทำได้แล้วจริงๆ เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้า) เรานั่งคุยกัน ผมบอกให้เขาเดินหน้าต่อ เขาก็จับเข่าผมแล้วบอกว่าขอบคุณมากนะ ขอบคุณมากครับ ผมก็ยิ้ม แต่จะว่ายังไงก็ได้ ในใจผมเจ็บจริงๆ ครับ อยากร้องไห้แต่ก็ไม่รู้จะต้องทำยังไงจริงๆ ในตอนนั้น ซี่งแน่นอนว่าผมเก็บไว้ ไม่ได้ร้องไห้ครับ อยากให้เขาสบายใจที่สุด แต่ก็รู้แล้วว่าผมคงหมดสิทธิ์อีกแล้ว
เช้าวันนั้นก่อนเขาไปทำงานผมดึงเขาเข้ามากอดครับ แล้วบอกเค้าว่าผมอาจจะสู้เรื่องอื่นๆ กับคนที่เขามาไม่ได้ ไม่ว่าจะหน้าตา ส่วนสูง ซึ่งไม่ใช่สเป็กเขา แต่ผมมั่นใจว่าผมรักเขากว่าใครที่ผมเคยเห็นแน่ๆ และเขาน่าจะรู้ตรงนั้นอยู่แล้ว เขาไม่ตอบอะไรครับ และไม่ได้กอดผมกลับ พอผมปล่อยมือเขาก็ไปเก็บของเตรียมไปทำงาน และก่อนเดินออกจากห้องนอนเขาก็บอกผมว่าฝันดีนะครับ Bro (เรามีบางครั้งที่ใช้ภาษาอังกฤษกันบ้างครับ) เช้าวันนั้นผมหมดแรงแม้แต่จะไปทำงานเลยครับ และหลังจากนั้นผมก็เพิ่งจะหยุดร้องไห้เวลาอยู่คนเดียวได้จริงๆ ก็เมื่อวานซืนนี้เอง แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังคงเสียใจมากๆ แต่เนื่องจากเราต้องเจอกันทุกวัน ผมก็หน้าที่คนคอยซัพพอร์ตในสิ่งที่เขาเลือก ยิ้ม และคุยกับเขาไป แต่ผมเสียใจมากจริงๆ ครับ
ผมไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี เพราะผมคิดถึงเขาเสมอๆ เลย และเวลาที่คิดว่าเขาอาจจะไปเที่ยว ไปอยู่กับคนนั้น ผมก็จะรู้สึกเหมือนโดนดึงวิญญาณออกไปทีครับ ผมกลายเป็นคนคิดมาก เก่งเรื่องการเชื่อมโยงไปหมดเลย และแม้ตอนอยู่ต่อหน้าเขาจะปกติกับผมเหมือนเดิม แต่ผมก็รู้สึกได้ครับว่าเมื่อเขาไม่ได้อยู่ข้างหน้า เขาเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นความอยากที่จะคุยกัน ทั้งทางข้อความ และทางโทรศัพท์ เช่นเมื่อสักครู่ตอนเที่ยงผมโทรหา เพราะหลังจากนี้เขาจะไปต่างจังหวัดและกลับมาอีกทีก็ปีหน้าเลย ผมเลยอยากคุยเล่นก่อน อยากบอกเขาว่าเดี๋ยวไปหาที่สนามบินนะ ไปนั่งโง่ๆ รอเครื่องบินเป็นเพื่อนๆ แต่ก็คุยได้ไม่นาน ยังไม่ทันได้บอกเขาก็บอกว่าเดี๋ยวเขาโทรกลับนะ ในตอนนั้นก็ไม่คิดอะไรครับ ก็บอกว่าโอเค ก่อนจะผ่านไปสักครึ่งชั่วโมงเขาถึงจะข้อความมาบอกว่าเดี๋ยวเขาโทรกลับ ผมกลายเป็นคนคิดมากไปเลยครับ เรื่องแค่นี้ ผมก็เชื่อมโยงต่อไปอีก จนต้องบอกตัวเองว่าพอ อย่าเลย ทำไมต้องทำ ทำไมต้องคิด ผมก็เลยพิมพ์ตอบไปว่าไม่เป็นไป แค่คิดถึงน่ะเลยโทรไป สักพักเขาก็อ่าน แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาครับ
ผมรู้ว่าผมเองก็คงต้องมูฟออนแล้ว มั่นใจว่าไม่ใช่คนขี้เหร่ และการหาคนอื่นเข้ามาในชีวิตก็ไม่เคยเป็นเรื่องยากอะไร แต่ครั้งนี้ผมทำแบบนั้นไม่ได้แล้วครับ ที่ผ่านมาผมพาตัวเองผ่านเรื่องนี้โดยการเปิดให้คนอื่นเข้ามาและบอกตัวเองว่าผมจะไปต่อไป แต่สุดท้ายผมก็เป็นคนทำร้ายพวกเขาด้วยการเป็นฝ่ายหมดความสนใจไปเอง และมีคนหนึ่งที่มันไปได้สวยแล้วจริงๆ แต่ท้ายที่สุดผมก็ไม่ยอมรับเขาเข้ามาอย่างเต็มตัวเพราะยังคิดถึงน้องของผมอยู่ และเป็นเหตุให้ผมทำให้คนที่เขามาเจ็บและก็ต้องไปเอง ซึ่งผมรู้สึกผิดมากเพราะเขาคือคนที่ดูแลผมดีมากๆ จริงๆ แต่ผมก็เข้าใจ ความสัมพันธ์ที่ผ่านมานานหลายเดือนนั้น ผมกลับไม่เคยให้เขาขึ้นห้องนอนเลย เวลามานอนที่บ้านก็นอนได้แค่ห้องดูหนังของผม เป็นผมก็คงทนไม่ได้เหมือนกัน
มาตอนนี้ผมเลยคิดว่าผมคงต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับสิ่งนี้แล้วครับ เรียนรู้ที่จะต้องรู้สึกเวลานอนหลับก็เจอ ตื่นมาก็เจอ และได้เห็นเขาคุยไลน์หรือโทรศัพท์กับคนอื่น ใจหนึ่งผมก็คิดว่าอยากให้เขาออกไปจากจุดๆ นี้ แต่อีกใจผมก็ทำไม่ได้เพราะผมเต็มไปด้วยคำถามว่าเขาจะไปไหนต่อ และเขาจะเป็นยังไงต่อ และเหนือสิ่งอื่นใดคือผมไม่สามารถและไม่ต้องการผลักเขาออกไปจากชีวิตเลย ยิ่งเวลาที่ผมยังนึกไม่ออกว่าเขาจะผ่านหลายต่อหลายเรื่องไปด้วยตัวคนเดียวได้ยังไงด้วยแล้ว แต่ปัญหาคือผมจะทำยังไงกับตัวเอง จะจัดการความรู้สึกยังไงดีครับให้ผมสามารถอยู่ในสถานการณ์นั้นได้โดยไม่ต้องเศร้า ไม่ต้องรู้สึก หรือถึงจะเศร้าหรือรู้สึกก็ไม่ทำให้ชีวิตตัวเองแย่ไป ล่าสุดผมบอกเขาว่าผมมูฟออนแล้วเพื่อให้เขาสบายใจ แต่จริงๆ แล้วผมยังไม่ไปไหน และผมยังไม่อยากไป เพราะผมกลัวจะไปทำร้ายคนอื่น และผมรู้ดีว่าความรู้สึกมันเป็นยังไง เพราะตัวผมเองก็เจอแบบนั้นมากับคนๆ นี้
ผมไม่ได้เหนื่อยนะครับ ไม่เคยเหนื่อยเลยที่ได้ดูแลคนๆ นี้ แต่ผมแค่เศร้าและเสียใจ และอยากหาทางออกให้ตัวเอง เลยได้แต่มาระบายในที่ๆ ไม่มีใครจะรู้จักว่าผมจะเป็นใครมาจากไหน และในที่ๆ น่าจะมีคนให้คำแนะนำอะไรดีๆ ได้ ในเวลาที่สมองผมมันไม่ยอมทำงาน และกลับปล่อยให้หัวใจตัวเองโดนทำร้ายแบบนี้ครับ
ผมขอโทษทุกๆ คนที่มันยาวมากๆ แต่หากมีใครอ่าน ผมขอบคุณที่อย่างน้อยก็รับฟังที่ผมระบาย และยังหวังที่จะได้ยินคำแนะนำดีๆ จากทุกๆ คน อย่างน้อยก็เพื่อเป็นการเติมแรงใจ หรือเพื่อหาหนทางสู่ทางออกให้กับตัวเองได้ต่อไปครับ
ปีใหม่นี้ผมว่าจะไปสวดมนต์ข้ามปี เผื่อปีหน้าจะเป็นปีที่ความรู้สึกของผมมันจะได้พักผ่อนบ้างเสียทีครับ
ต้องนอนร่วมห้องกับคนที่เรารักมาเป็นสิบปีแล้ว แต่เราไม่ใช่คนที่เขารัก แต่กลับต้องให้กำลังใจให้เขาเริ่มคบกับคนอื่นครับ
ก่อนหน้านี้เขาเจอปัญหาหนักมาก ผมเลยรับเขามาอยู่ด้วยกันที่บ้าน จนผ่านไปประมาณหนึ่งสัปดาห์แม่ก็ให้เขาเข้ามาอยู่ด้วยยาวและให้เขาคืนที่อยู่เก่าครับ เพราะแม่เองก็เห็นว่ามันเปลือง เลยอยู่ด้วยกันตั้งแต่นั้นมา เขาเจอเรื่องร้ายที่ร้ายมากจริงๆ ผมก็ดีใจที่มีโอกาสได้ดูแลเขาในช่วงนั้น และบอกเสมอว่าอยากให้เขาหายดีและเตรียมก้าวต่อไปในชีวิตของตัวเองได้อีกครั้งครับ สิ่งที่ผมทำได้ก็แค่นั่งคุยเป็นเพื่อน คอยกอดแน่นๆ เวลาที่เค้าเกิดความเครียด และจับมือเขาไว้แน่นๆ และคอยบอกเขาว่าเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแล้วครับ
เหมือนทุกอย่างจะดีขึ้น ผมอาจคิดไปเอง แต่สำหรับผมคือเขาค่อยๆ ยิ้มจริงๆ ได้อีก และเหมือนจะเริ่มเปิดใจเปิดโอกาสให้ผมบ้าง ตอนนั้นผมมีความสุขมากเลยครับ และคิดกับตัวเองตลอดว่าจะดูแลให้ดีและจะไม่ให้เขาต้องเสียใจเรื่องแบบนี้อีก ผมเคยพูดกับเขาเสมอว่าเขาไม่ควรเจอเรื่องแบบนี้เลย ไม่ควรเป็นอันขาด และในตอนนั้นผมคิดว่าผมมีโอกาสแล้วจริงๆ ก็เลยดูแลเขาด้วยความรักแบบที่ผมให้ได้โดยลืมกั้นระยะให้ตัวเองไปเลยครับ
มันเป็นช่วงเวลาสั้นๆ มากครับ แค่ไม่กี่วันเท่านั้นเองที่ผมได้รู้สึกแบบนั้น ผมได้นอนกอดเขาได้ ดึงเขาเข้ามากอดได้ และพูดคุยเล่นด้วยโดยเขาก็ตอบข้อความหรือคุยกันตลอดได้อย่างไม่ตะขิดจะขวงใจ น่าจะเป็นครั้งแรกๆ เลยที่ผมได้รู้สึกแบบนั้นจริงๆ ตลอดช่วงห้า-หกปีหลังนี้ เหมือนผมไม่มีฟิลเตอร์กับเขาแล้ว และเขาก็ยอมให้ผมเข้าไปในโลกของเขาบ้าง แต่วันหนึ่งผมต้องเดินทางไปทำงานที่ต่างจังหวัดครับ มันเป็นช่วงเวลาที่ปัญหาเรื่องเดิมของเขากลับมาอีกครั้งพอดี เขาก็เครียด ผมเลยบอกว่างั้นไปกับผมเลย ถือโอกาสไปเที่ยวด้วยกันด้วย
ตอนแรกเขาก็ลังเลครับ แต่ไม่ได้ลังเลว่าไม่อยากไป แต่ลังเลเพราะมีนัดงานสำคัญของเพื่อนคนหนึ่งในวันที่ต้องเดินทางไป แต่เค้าก็โทรไปแคลเซิลเพื่อตั้งใจว่าจะไปด้วยกันครับ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ไปเพราะหลังจากเช็คไฟลต์บินที่ตอนแรกคิดว่ามีแน่ๆ ก็ติดปัญหาเรื่องไฟลต์บินที่ไม่มีเวลาหลังจากที่เขาเลิกงานแล้ว เลยทำให้ตามไปไม่ได้ วันรุ่งขึ้นผมเลยต้องไปคนเดียวกัน ระหว่างนั้นผมรู้ว่าเขาเครียดก็พยายามทำให้หายเครียด คุยด้วยเสมอทางไลน์ และโทรหาเมื่อทำได้ครับ ซึ่งเหมือนทุกอย่างจะดีมากแล้วจริงๆ เหมือนเขาจะเปิดโอกาสให้ผมแล้วจริงๆ ครับ แต่ท้ายที่สุดผมก็คิดไปเองอยู่ดี ขนาดพยายามมากแค่ไหนแล้วที่จะไม่คิดเองเอออ้างอีกครั้ง เพราะก็ไม่อยากจะเจ็บอีกแล้ว
ผมไปทำงาน วันนั้นเขาก็ไปงานเพื่อนครับ ผมทำตัวงี่เง่านิดหน่อยเพราะผมคิดถึงเขาและเป็นห่วงไม่อยากให้อยู่คนเดียว เลยเสร็จงานแล้วรีบเลื่อนไฟลต์บินกลับมา ซึ่งเขาบอกผมว่าคืนนั้นเค้าจะไม่กลับ เค้าจะไปต่อกับเพื่อนเพราะเป็นงานฉลอง ผมก็เฟลนิดๆ ครับเพราะเราอยากกลับมาหากลัวเขาคิดมาก และเราเหนื่อยและอยากมาหากอดอุ่นๆ ของเขาเพื่อชาร์จพลังหน่อย ก็งอแงนิดๆ แต่ก็ไม่เป็นไร ก็ต้องให้เขาไปกับเพื่อนเค้าถ้ามันทำให้เค้าหายคิดมากได้ครับ
วันต่อมาเขาก็กลับมาที่บ้าน ก็ไม่มีอะไร ผมก็เหมือนจะงี่เง่าแสดงอาการงอนๆ ไปหน่อย (เป็นคนน้อยใจง่ายแต่หายไวครับ) อาจเพราะเหนื่อยๆ จากงานอยู่ด้วย เย็นวันนั้นเขาก็ชวนผมออกไปวิ่งครับ เลยออกไปวิ่งกันในหมู่บ้าน วิ่งไปสักพักเขาก็บอกผมว่ามีคนหนึ่งเข้ามาคุยด้วยตอนวันที่เขาไปงานเพื่อน ในใจผมสะดุดครับ สะดุดมาก และเหมือนจะค่อยๆ รู้ตัวแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป อยากรั้งมากครับ อยากรั้งและถามเขาว่าแล้วผมล่ะ แต่ผมก็รู้ว่าไม่มีสิทธิ์อะไร แต่ในหัวก็คิดอีกแง่ว่ามันก็ดี เผื่อคนๆ นี้จะช่วยให้เขาเดินออกจากความเครียดในเรื่องก่อนหน้าที่เป็นอยู่ได้ เลยบอกเขาว่าให้ลองดูครับ และก็บอกเขาว่าผมคิดยังไง ผมยังรักเขาอยู่เสมอและยังอยากให้มันเป็นไปได้ แต่เขาก็บอกว่าเขาให้ผมเป็นพี่ชายเท่านั้น ผมถามว่าทำไม เขาบอกว่ามันก็ไม่มีเหตุผล แต่หากต้องการเหตุผลจริงๆ ก็เพราะเขาไม่เคยเชื่อความสัมพันธ์แบบนี้เลย (ชาย-ชาย) เพราะแฟนเขาที่เคยคบนานสุดก็เป็นผู้หญิง ส่วนผู้ชายนั้นเต็มที่ก็ 4 เดือน เขาเลยไม่เชื่อความสัมพันธ์แบบนี้ และเขาจะคีฟผมไว้เป็นพี่ชาย
ผมเสียใจครับ เสียใจมาก แต่ไม่เคยจะร้องไห้ต่อหน้าเขา และไม่ทำแน่ๆ เพราะเมื่อไหร่ผมแค่เผลอน้ำตาคลอ เขาจะนิ่งและน้ำตาคลอและถามว่าเขาทำผมร้องไห้เหรอ แล้วก็เศร้าไปอยู่ในโลกตรงนั้น ต้องคอยบอกเขาว่าไม่เป็นไร ปัญหาเรื่องนี้เป็นของผมดังนั้นผมต้องเป็นคนจัดการกับความเศร้านี้เอง ส่วนเขาก็ต้องมูฟออนไปไม่ว่าเรื่องอะไร แล้วหลังจากนั้นเขาก็เริ่มคุยกับคนที่เข้ามาใหม่ในวันนั้นครับ
เดตแรกของเขาผมก็ถามว่าเป็นไง เขาก็บอกว่าเขาก็คิดว่าโอเคนะ ผมเลยถามเขาว่าตอบตัวเองให้ได้แค่มีความสุขไหม และเขาบอกว่ามีนะ มีจนเขาถามตัวเองว่าเขาสมควรมีความสุขเหรอ ในเมื่อคนที่รักเขา (ผมคิดว่าหมายถึงผม) ยังไม่มีโอกาสมีความสุขเลย ผมก็ถามเขาว่าแล้วคำตอบที่เขาตอบตัวเองคืออะไร เขาก็เงียบ ผมเลยบอกเขาว่าเขาไม่สามารถไม่เป็นบาดแผลในชีวิตผมได้หรอก ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องเสียใจอยู่แล้ว ดังนั้นเอาตัวเองให้หายดี ถ้ามันมีความสุข ก็ควรเดินหน้าต่อไป และอยู่กับความสุขนั้น ซึ่งผมคิดแบบนั้นจริงๆ เพราะเขาบอกว่าเขาได้หัวเราะ ได้ยิ้มออก และผมอยากให้เขาหัวเราะและยิ้มได้มากกว่าอะไรทั้งสิ้นเลยครับ เคยบอกเขาหลายครั้งมากว่าผมมีความสุขที่เห็นเขายิ้มและได้ยินเสียงหัวเราะของเขา แต่ก็บอกเขาไปในวันนั้นเหมือนกันว่าผมน้อยใจนิดๆ ที่ผมเหมือนจะไม่สามารถทำให้เขายิ้มหรือหัวเราะได้เลย (ทั้งๆ ที่ตามที่บอกไปข้างบน ผมคิดว่าผมทำได้แล้วจริงๆ เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้า) เรานั่งคุยกัน ผมบอกให้เขาเดินหน้าต่อ เขาก็จับเข่าผมแล้วบอกว่าขอบคุณมากนะ ขอบคุณมากครับ ผมก็ยิ้ม แต่จะว่ายังไงก็ได้ ในใจผมเจ็บจริงๆ ครับ อยากร้องไห้แต่ก็ไม่รู้จะต้องทำยังไงจริงๆ ในตอนนั้น ซี่งแน่นอนว่าผมเก็บไว้ ไม่ได้ร้องไห้ครับ อยากให้เขาสบายใจที่สุด แต่ก็รู้แล้วว่าผมคงหมดสิทธิ์อีกแล้ว
เช้าวันนั้นก่อนเขาไปทำงานผมดึงเขาเข้ามากอดครับ แล้วบอกเค้าว่าผมอาจจะสู้เรื่องอื่นๆ กับคนที่เขามาไม่ได้ ไม่ว่าจะหน้าตา ส่วนสูง ซึ่งไม่ใช่สเป็กเขา แต่ผมมั่นใจว่าผมรักเขากว่าใครที่ผมเคยเห็นแน่ๆ และเขาน่าจะรู้ตรงนั้นอยู่แล้ว เขาไม่ตอบอะไรครับ และไม่ได้กอดผมกลับ พอผมปล่อยมือเขาก็ไปเก็บของเตรียมไปทำงาน และก่อนเดินออกจากห้องนอนเขาก็บอกผมว่าฝันดีนะครับ Bro (เรามีบางครั้งที่ใช้ภาษาอังกฤษกันบ้างครับ) เช้าวันนั้นผมหมดแรงแม้แต่จะไปทำงานเลยครับ และหลังจากนั้นผมก็เพิ่งจะหยุดร้องไห้เวลาอยู่คนเดียวได้จริงๆ ก็เมื่อวานซืนนี้เอง แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังคงเสียใจมากๆ แต่เนื่องจากเราต้องเจอกันทุกวัน ผมก็หน้าที่คนคอยซัพพอร์ตในสิ่งที่เขาเลือก ยิ้ม และคุยกับเขาไป แต่ผมเสียใจมากจริงๆ ครับ
ผมไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี เพราะผมคิดถึงเขาเสมอๆ เลย และเวลาที่คิดว่าเขาอาจจะไปเที่ยว ไปอยู่กับคนนั้น ผมก็จะรู้สึกเหมือนโดนดึงวิญญาณออกไปทีครับ ผมกลายเป็นคนคิดมาก เก่งเรื่องการเชื่อมโยงไปหมดเลย และแม้ตอนอยู่ต่อหน้าเขาจะปกติกับผมเหมือนเดิม แต่ผมก็รู้สึกได้ครับว่าเมื่อเขาไม่ได้อยู่ข้างหน้า เขาเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นความอยากที่จะคุยกัน ทั้งทางข้อความ และทางโทรศัพท์ เช่นเมื่อสักครู่ตอนเที่ยงผมโทรหา เพราะหลังจากนี้เขาจะไปต่างจังหวัดและกลับมาอีกทีก็ปีหน้าเลย ผมเลยอยากคุยเล่นก่อน อยากบอกเขาว่าเดี๋ยวไปหาที่สนามบินนะ ไปนั่งโง่ๆ รอเครื่องบินเป็นเพื่อนๆ แต่ก็คุยได้ไม่นาน ยังไม่ทันได้บอกเขาก็บอกว่าเดี๋ยวเขาโทรกลับนะ ในตอนนั้นก็ไม่คิดอะไรครับ ก็บอกว่าโอเค ก่อนจะผ่านไปสักครึ่งชั่วโมงเขาถึงจะข้อความมาบอกว่าเดี๋ยวเขาโทรกลับ ผมกลายเป็นคนคิดมากไปเลยครับ เรื่องแค่นี้ ผมก็เชื่อมโยงต่อไปอีก จนต้องบอกตัวเองว่าพอ อย่าเลย ทำไมต้องทำ ทำไมต้องคิด ผมก็เลยพิมพ์ตอบไปว่าไม่เป็นไป แค่คิดถึงน่ะเลยโทรไป สักพักเขาก็อ่าน แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาครับ
ผมรู้ว่าผมเองก็คงต้องมูฟออนแล้ว มั่นใจว่าไม่ใช่คนขี้เหร่ และการหาคนอื่นเข้ามาในชีวิตก็ไม่เคยเป็นเรื่องยากอะไร แต่ครั้งนี้ผมทำแบบนั้นไม่ได้แล้วครับ ที่ผ่านมาผมพาตัวเองผ่านเรื่องนี้โดยการเปิดให้คนอื่นเข้ามาและบอกตัวเองว่าผมจะไปต่อไป แต่สุดท้ายผมก็เป็นคนทำร้ายพวกเขาด้วยการเป็นฝ่ายหมดความสนใจไปเอง และมีคนหนึ่งที่มันไปได้สวยแล้วจริงๆ แต่ท้ายที่สุดผมก็ไม่ยอมรับเขาเข้ามาอย่างเต็มตัวเพราะยังคิดถึงน้องของผมอยู่ และเป็นเหตุให้ผมทำให้คนที่เขามาเจ็บและก็ต้องไปเอง ซึ่งผมรู้สึกผิดมากเพราะเขาคือคนที่ดูแลผมดีมากๆ จริงๆ แต่ผมก็เข้าใจ ความสัมพันธ์ที่ผ่านมานานหลายเดือนนั้น ผมกลับไม่เคยให้เขาขึ้นห้องนอนเลย เวลามานอนที่บ้านก็นอนได้แค่ห้องดูหนังของผม เป็นผมก็คงทนไม่ได้เหมือนกัน
มาตอนนี้ผมเลยคิดว่าผมคงต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับสิ่งนี้แล้วครับ เรียนรู้ที่จะต้องรู้สึกเวลานอนหลับก็เจอ ตื่นมาก็เจอ และได้เห็นเขาคุยไลน์หรือโทรศัพท์กับคนอื่น ใจหนึ่งผมก็คิดว่าอยากให้เขาออกไปจากจุดๆ นี้ แต่อีกใจผมก็ทำไม่ได้เพราะผมเต็มไปด้วยคำถามว่าเขาจะไปไหนต่อ และเขาจะเป็นยังไงต่อ และเหนือสิ่งอื่นใดคือผมไม่สามารถและไม่ต้องการผลักเขาออกไปจากชีวิตเลย ยิ่งเวลาที่ผมยังนึกไม่ออกว่าเขาจะผ่านหลายต่อหลายเรื่องไปด้วยตัวคนเดียวได้ยังไงด้วยแล้ว แต่ปัญหาคือผมจะทำยังไงกับตัวเอง จะจัดการความรู้สึกยังไงดีครับให้ผมสามารถอยู่ในสถานการณ์นั้นได้โดยไม่ต้องเศร้า ไม่ต้องรู้สึก หรือถึงจะเศร้าหรือรู้สึกก็ไม่ทำให้ชีวิตตัวเองแย่ไป ล่าสุดผมบอกเขาว่าผมมูฟออนแล้วเพื่อให้เขาสบายใจ แต่จริงๆ แล้วผมยังไม่ไปไหน และผมยังไม่อยากไป เพราะผมกลัวจะไปทำร้ายคนอื่น และผมรู้ดีว่าความรู้สึกมันเป็นยังไง เพราะตัวผมเองก็เจอแบบนั้นมากับคนๆ นี้
ผมไม่ได้เหนื่อยนะครับ ไม่เคยเหนื่อยเลยที่ได้ดูแลคนๆ นี้ แต่ผมแค่เศร้าและเสียใจ และอยากหาทางออกให้ตัวเอง เลยได้แต่มาระบายในที่ๆ ไม่มีใครจะรู้จักว่าผมจะเป็นใครมาจากไหน และในที่ๆ น่าจะมีคนให้คำแนะนำอะไรดีๆ ได้ ในเวลาที่สมองผมมันไม่ยอมทำงาน และกลับปล่อยให้หัวใจตัวเองโดนทำร้ายแบบนี้ครับ
ผมขอโทษทุกๆ คนที่มันยาวมากๆ แต่หากมีใครอ่าน ผมขอบคุณที่อย่างน้อยก็รับฟังที่ผมระบาย และยังหวังที่จะได้ยินคำแนะนำดีๆ จากทุกๆ คน อย่างน้อยก็เพื่อเป็นการเติมแรงใจ หรือเพื่อหาหนทางสู่ทางออกให้กับตัวเองได้ต่อไปครับ
ปีใหม่นี้ผมว่าจะไปสวดมนต์ข้ามปี เผื่อปีหน้าจะเป็นปีที่ความรู้สึกของผมมันจะได้พักผ่อนบ้างเสียทีครับ